ตอนที่14 ตะลึงงันกับภาพฉากตรงหน้า
เช้าวันรุ่งขึ้น ฮูหยินเฉิงสั่งคนให้นำสินสอดทองหมั่นทั้งหมดที่เป็นของท่านแม่และเหรียญทองของเซียถงมาคืน ซึ่งจำนวนเบี้ยรายเดือนที่ถูกหักไปหลายปีที่ผ่านมา สิริรวมได้สองร้อยเหรียญทอง
ด้วยเงินจำนวนนี้ จะยิ่งทำให้เซียถงดำเนินการต่างๆได้สะดวกยิ่งขึ้น ทั้งน้ำเงินไปซื้อสมุนไพรมาต้มดื่ม เพื่อขัดเกลาไขกระดูกและเส้นลมปราณ ทั้งนี้เหลือเวลาอีกไม่นานแล้วก็จะถึงงานชุมนุมลมปราณ
ทุกเย็นเซียถงจะแบ่งเวลาประมาณสองชั่วยาม สำหรับระดมใช้ลมปราณขับก้อนพิษสีดำที่แสนติดทนออกจากร่างกาย ทว่าผลลัพธ์ที่ได้ทุกครั้งที่ออกมากลับน้อยมาก ปริมาณพิษสีดำที่ออกมาน้อยจนแทบมองไม่เห็น
ด้วยอัตราคาวมเร็วในการขับพิษเช่นนี้ สงสัยว่านางต้องใช้ระยะเวลาอย่างน้อยสิบปีกว่าจะรักษาใบหน้าให้กลับเป็นดั่งปกติ
แต่กว่าจะถึงตอนนั้น เกรงว่าพิษเหล่านี้คงกระจายไปทั่วร่างฆาตชีวิตนางตายก่อน ดูท่าคงจะต้องเสาะหาวิธีอื่นมาเสียแล้ว
เพียงพริบตาเดียว เวลาได้ล่วงเลยผ่านไปหนึ่งเดือน
ณ ปัจจุบัน งานชุมนุมลมปราณกำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว
เงื่อนไขในการเข้าร่วมงานชุมนุมลมปราณก็ง่ายมาก ตราบเท่าที่อายุของผู้สมัครมิได้ต่ำกว่าสิบสามปีย่อมสามารถเข้าร่วมได้ทั้งนั้น ไม่ว่าจะจะเป็นใคร มีศักดิ์สถานะต่ำหรือสูงย่อมมิได้สนใจ เพราะสถานที่แห่งนี้มีเพียงผู้แข็งแกร่งกับผู้อ่อนแอเท่านั้น! ผู้ใดกำปั้นใหญ่กว่าย่อมกลายเป็นผู้ชนะ!
ด้านหน้าจัตตุรัสแท่นหินใจกลางเมืองเฟิ่งหลี่ อัดแน่นเบียดเสียดไปด้วยฑารฝูงชนที่อยู่เรียงรายเป็นแถวนาง พวกเขาเหล่านี้คือคนที่จะมาลงทะเลียนเข้าร่วมงานชุมนุมดังกล่าว โดยมีชายชราสุดสีเทาที่กำลังนั่งจับพู่กันลงบันทึกผู้เข้าสมัครทีละคนด้วยความขยันขันแข็ง ขณะที่ด้านข้างมีลูกแก้วทดสอบลมปราณวางไว้อยู่ข้างโต๊ะ
แต่ทันใดนั้น ธารฝูงชนทั้งหมดพลันเงียบสงัดลงในทัใด แต่ละคนต่างหันมองไปยังหญิงสาวนางหนึ่งที่มาในชุดรัดรูปสีดำ ดูสง่าผ่าเผย แต่เมื่อเลื่อนสายตาขึ้นไปมองใบหน้าของนาง ไม่ว่าใครต่างต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่
“นี่หาใช่เซียถงที่จุดตันเถียนถูกทำลายไปแล้วงั้นรึ?”
“หรือนางยังจะต้องการเข้าร่วมงานชุมนุมลมปราณ?”
“แต่นี่เป็นไปไม่ได้! หากไม่มีลมปราณแล้วจะเข้าร่วมได้อย่างไร? นั่นไม่ต่างอะไรกับรนหาที่ตายในสนามประลองหรอกรึ?”
เซียถงเมินเหล่าเสียงวิพากษ์วิจารณ์และบรรดาสายตาที่จับจ้องจากผู้คนรอบข้างโดยสิ้นเชิง เดินตรงไปหาชายชราชุดสีเทา เปล่งวาจาเอ่ยขึ้นอย่างเฉยเมยว่า
“ท่านอาวุโส ข้ามาสมัครเข้าร่วมงานชุมนุมลมปราณ”
ชายชราชุดเทาเงยหน้ามองเซียถงอยู่แวบหนึ่ง ก่อนที่ดวงตาคู่ชราจะฉายแววเสียอกเสียดายออกมาเช่นกัน
“คุณหนูเซี่ย ต้องขออภัยด้วย คนที่ไม่มีลมปราณไม่สามารถเข้าร่วมงานชุมนุมนี้ได้ ท่านโปรดกลับไปเถิด”
ยังไม่ทันที่เซียถงจะพูดอะไรด้วยซ้ำ จู่ๆพลันมีสุ้มเสียงเย้ยหยันดูแคลนดังขึ้นจากด้านหลัง
“เหอะ…ก็ว่ากลิ่นเน่าเหม็นจากที่ใด? ที่แท้ก็ขยะอย่างเจ้าเสียนี่เอง”
เซียถงเหลือบหางตามองย้อนกลับไปเล็กน้อย เห็นเพียงจางเสวี่ยหรงในชุดแพรพรรณโปร่งสีชมพูดอ่อน ลวดลายสลับซับซ้อนดูวิจิตงดงาม คงจังหวะเดินย่างสามขุมเข้ามาด้วยท่าทีแสนหยิ่งยโส ส่ายหน้าไปมาเบาๆ ประดุจเทพธิดาล้ำฟ้าที่กำลังดูแคลนชาวมนุษย์เดินดิน
ส่วนคนที่อยู่เคียงข้างนางก็มิใช่ใครอื่น ก็คือองค์รัชทายาทไป๋หลี่เย่และเซี่ยเสวี่ยเหลียนที่ทั่วแขนขาพันแผลเนื่องจากอาการบาดเจ็บยังไม่หายดี ดูจากการแต่งกายของสองสาวแล้ว น่าจะมาทำคะแนนซื้อใจของไป๋หลี่เย่คนนี้
“เซียถง ตอนนี้ตัวเจ้าหาใช่อัจฉริยะดั่งเมื่อสามปีก่อนอีกแล้ว แต่เป็นได้แค่…นังอัปลักษณ์ที่ไม่มีอะไรดีสักอย่าง หุหุ…”
จางเสวี่ยหรงเดินไปหยุดตรงหน้าเซียถง มองศีรษีจรดปลายเท้าของอีกฝ่ายไปทีหนึ่ง ก่อนแบะปากกล่าวขึ้นด้วยความรังเกียจ
เซี่ยเสวี่ยเหลียนที่เห็นหน้าเซียถงเองก็โกรธจัดจนกัดฟันแน่น ขบเคี้ยวเสียงดังกรอด เหตุการณ์ครั้งก่อนหน้า นางยังโกรธไม่หาย ในเมื่อยามนี้มีโอกาสแก้แค้นแล้ว มีหรือจะไปปล่อยให้หลุดมือโดยง่าย?
“เจ้าออกมาทีนี่ทำไม? ยังไม่รีบไสหัวกลับไปอีก! เศษขยะอย่างเจ้ามาที่นี่ไม่อายชาวบ้านชาวช่องหรืออย่างไร? เลิกตัวตัวให้จวนเสนาบดีของเราเสื่อมเสียชื่อเสียงได้แล้ว!”
ทันทีทันใด เสียงวิพากษ์วิจารณ์ของทุกคนโดยรอบก็ยิ่งดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง บางคนรู้สึกเห็นอกเห็นใจเซียถง แต่ก็ยังมีอีกหลายคนเช่นกันที่ เฝ้ามองด้วยสายตาดูแคลนราวกับว่ากำลังรับชมละครตลกฉากหนึ่ง
เซียถงเมินคำกล่วาของทั้งสองไปโดยสิ้นเชิง และหันกลับไปมองลูกแก้วใสบนโต๊ะของชายชราชุดสีเทา จากนั้นก็ยื่นมือออกไปวางบนลูกแก้วโดยตรง ทันใดนั้น มันปรากฏแสงสีแดงจางๆออกมา ก่อนจะเริ่มส่องสว่างกลายเป็นสีแดงสดงดงามประดุจดอกไม้ไฟ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นแสงสีเหลืองในเวลาถัดมา
ผู้คนรอบข้างที่กำลังหัวเราะคิกคักต้องการดูละครตลกฉากหนึ่ง ช่างตื่นตะลึงไปชั่วขณะ นี่…นี่สายตาของพวกเขามิได้มีปัญหาอันใดกระมัง?
ไม่ใช่ว่าจุดตันเถียนของเซียถงถูกทำลายไปแล้วหรอกรึ? แล้วไฉนนางถึงยังมีลมปราณอยู่?! ไม่ว่าพวกเขาจะพยายามขยี้ตาสักกี่สิบรอบ แต่แสงสีเหลืองตรงหน้าของพวกเขายังคงส่องประกายสว่างจ้าไม่มีคลายอ่อน
เซียเสวี่ยเหลียน จางเสวี่ยหรงและไป๋หลี่เย่ต่างยืนตะลึงงันค้างแข็งยิ่งกว่ารูปปั้นหิน แต่ก่อนที่พวกเขาจะได้สติขึ้นมา แสงสีเหลืองอำพันก็ค่อยๆแปรเปลี่ยนเป็นสีเขียว! ช่างเป็นแสงสีเขียวขจีที่ใสบริสุทธิ์ประดุจหยกงามอย่างแท้จริง!
เงียบกริบ…
คราวนี้ทุกคนทั่วทั้งจัตตุรัสใจกลางเมืองถึงกับอ้าปากค้าง ยืนอึ้งไปทั้งแบบนั้นเสมือนถูกฟ้าผ่า
สวรรค์! นี่มันขอบเขตเสาหลักเขียว! หาใช่ว่ายอดฝีมือขอบเขตเสาหลักเขียวจะไม่มีในทวีปเทียนหลางมาก่อน แต่จำนวนยอดฝีมือที่สำเร็จขอบเขตเสาหลักเขียวได้ก่อนอายุยี่สิบปีมีน้อยมาก!
“ท่านอาวุโส เช่นนี้แล้ว ข้ายังสามารถเข้าร่วมงานชุมนุมลมปราณได้อยู่หรือไม่?”
เซียถงชักมือเก็บกลับมา พร้อมเลิกคิ้วเอ่ยถาม หากไม่ใช่เพราะว่านางจงใจสะกดกลั้นลมปราณไว้ส่วนหนึ่ง เกรงว่าลูกแก้วบนโต๊ะคงแปรเปลี่ยนเป็นสีฟ้าครามสว่างแล้ว
ชายชราชุดสีเทาคนนั้นเองก็เพิ่งได้สติกลับมา ถึงกับลุกขึ้นยืนพรวดพราดด้วยความตื่นอกตื่นเต้นกล่าวว่า
“ได้แน่นอน! คุณสมบัติของเจ้ามากเพียงพอที่จะเข้าร่วมได้! อีกสามวันให้หลัง เจ้าสามารถเดินทางเข้ามาร่วมประลองรอบคัดเลือกได้เลย!”
ชายชราชุดสีเทาหยุดชะงักไปชั่วครู่ ก่อนกล่าวต่อว่า
“เจ้าหนู พรสวรรค์ของเจ้าไม่เลวเลย! สมแล้วที่เป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งจักรวรรดิตงหลี่!”
จากนั้นไม่นาน ทุกคนก็ได้สติฟื้นตัวกลับมาอีกครั้ง บ้างมองไปทางเซียถงด้วยสายตาสุดตื่นตกใจ บ้างก็มองด้วยความอิจฉาริษยา…
เซี่ยเสวี่ยเหลียนและอีกสองคนปั้นสีหน้าราวกับดินเผาไหม้เกรียม ภายในใจเต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ
หรือเป็นไปได้ไหมว่า…จุดตัยเถียนของเซียถงจะหายดีแล้ว? ยิ่งไปกว่านั้น…ยังมีระดับพลังสูงถึงขอบเขตเสาหลักเขียว!?
“เซียถง! เรื่องที่ว่าจุดตันเถียนของเจ้าถูกทำลายคงจงใจเสแสร้งกระมัง? นี่เจ้าขาดความอบอุ่นจนถึงขนาดที่ต้องเรียกร้องความเห็นใจและรักใครจากองค์รัชทายาทปานน้เชียวรึ?!”
เซี่ยเสวี่ยเหลียนขบฟันแน่นไปทั้งกราม ไม่แปลกใจเลยว่า ไฉนครั้งก่อนนังแพศยานี่ถึงเอาชนะนางได้อย่างง่ายดาย ที่แท้ความแข็งแกร่งของมันก็กลับคืนสู่สภาพดังเดิมแล้ว แต่กลับแสร้งทำตัวเป็นแกะน้อยไร้เดียงสา!
น่าสะอิดสะเอียนนัก! น่ารังเกียจสิ้นดี! นังแพศยาช่างไร้ยางอาย! ความแค้นนี้มิอาจถูกชำระหายไปไหนแน่หากมิได้ฆ่ามัน!
สีหน้าของจางเสวี่ยหรงเองก็มิได้ดีไปกว่ากันเลยสักนิด ภายใต้แขนเสื้อยาว นางกำลังกำหมัดแน่นจนสั่นเทาด้วยความอาฆาต แววตาฉายแววริษยาออกมาโดยไม่มีเก็บซ่อน เดิมทีจางเสวี่ยหรงมักจะคิดเสมอว่า ตนนี่แหละคืออัจฉริยะอันดับหนึ่งที่แท้จริงแห่งจักรวรรดิตงหลี่ แต่ใครจะไปคิดว่า รัศมีบารมีอันเฉิดฉายของนางจะถูกเซียถงกลบจนมิดแบบนี้!
ความรู้สึกดังกล่าวมันไม่ต่างอะไรกับถูกตบหน้าฉะใหญ่ต่อสายตาสาธารณะชนเลย นี่มันคือความอัปยศ!
ยิ่งเป็นเซียถงด้วยซ้ำ จางเสวี่ยหรงยิ่งรู้สึกอัปยศและขายหน้าเป็นพิเศษ
“พรสวรรค์เหล่านี้เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ แม้พวกเจ้าจะรู้สึกอิจฉาหรือพยายามใส่ร้ายข้าอย่างไร แต่พวกเจ้ายังคงอยู่ต่ำต้อยใต้เท้าของข้าอยู่ดี”
มุมปากกระตุกขึ้นทีหนึ่ง เซียถงเชิดยิ้มสบประมาทใส่เล็กน้อย เชิดหน้าชูคอด้วยท่าทีแสนหยิ่งผยองจองเดช
ในขณะเดียวกัน ร่างของเซียถงก็คล้ายกับว่าปลดปล่อยรัศมีแพรวพราวจรัสจ้าออกมา ท่ามกลางฟ้าดินมีเพียงความสง่างามร่างนี้เท่านั้นที่ยืนหนึ่ง!
ทุกคนต่างจับจ้องไปที่ใบหน้าของเซียถึงอย่างอดมิได้ ชั่วอึดใจหนึ่งพลันรู้สกว่า อันที่จริง…เซียถงก็มิได้อัปลักษณ์อย่างที่คิดเลย
ได้แค่เฝ้ามองเงาร่างของเซียถงเดินจากออกไป ดวงตาคู่นั้นของไป๋หลี่เย่หรี่แคบลงเล็กน้อย เผยสะท้อนให้เห็นความลึกล้ำปรากฏขึ้นโดยไม่ทันรู้ตัว
ณ โรงเตี๊ยมแห่งนี้ที่อยู่ไกลออกไป
ปรากฏชายชุดดำกำลังนั่งอยู่ริมหน้าต่าง ใบหน้าสวมหน้ากากสีเงินปิดบังเอาไว้ เผยให้เห็นแค่เรียวตายาวที่เผยแววชั่วร้ายออกมา แม้จะเป็นแค่แววตาคู่หนึ่ง แต่มันก็เพียงพอที่จะสร้างความตื่นตะลึงต่อผืนพิภพแห่งนี้แล้ว
ชายคนนี้มิใช่ใดอื่น เขาคือราชันหมาป่าสวรรค์ หรือมีนามจริงว่า ไป๋หลี่หาน
“น่าสนใจ”
ไป๋หลี่หานหัวเราะเสียงแผ่วอ่อน พลางเล่นกับจอกสุราภายในมือ
คนสนิทของเขามีนามว่าโม่ซวนคอยยืนเฝ้าอยู่ด้านหลัง ยามนี้ปั้นสีหน้าสงสัยและกล่าวว่า
“เป็นนางจริงงั้นรึ? แต่ในวันนั้นข้าเห็นชัดเต็มสองตาเลยว่า…”
เขายังจดจำได้แม่นยำ ครั้งสุดท้ายที่พบกับนางในป่าสนตอนนั้น อีกฝ่ายยังไม่มีลมปราณเลยมิใช่รึไง? แต่ไฉนถึงเลื่อนระดับชั้นกลายมาเป็นขอบเขตเสาหลักเขียวได้ภายในเดือนเดียว?
นี่มันไม่มีทางเป็นไปได้เลย!
“ข้าเองก็อยากรู้เหมือนกัน เช่นนั้นเจ้าลองไปตรวจสอบดู”
ไป๋หลี่หานเอ่ยเสียงเรียบ แต่แววความสนใจที่ส่องสะท้อนจากนัยน์ตาของเขากลับยิ่งชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ
โม่ซวนรับคำสั่งและอันตรธานหายวับจากโรงเตี๋ยมไปในพริบตา