ตอนที่18 ขู่ให้หลาบจำ (2)
“ท่านพี่ เห็นบอดแผลที่คอข้าหรือไม่เจ้าค่ะ? คอของข้าแทบขาดเพราะนังเดรัจฉานนี่!”
เซี่ยอี้เฉินที่ได้ฟังประโยคคำกล่าวที่ฮูหยินเฉิงกล่าวออกมา ก็พลันหันกลับไปมองเซียถงอีกครั้ง ยามนี้เขารู้สึกโกรธเกรี้ยวเป็นอย่างยิ่ง สายตาที่จับจ้องมองไปที่นางช่างเปี่ยมล้นไปด้วยความเย็นชา
เขาเหยียดมือขวาขึ้นมา ชี้นิ้วใส่หน้าเซียถงพร้อมคำรามลั่นน้ำเสียงเคร่งขรึมยิ่งว่า
“นังเดรัจฉาน! ยืนหันหลังแล้วกอดอกบัดเดี๋ยวนี้! ข้าจะนำแส้หางเหล็กมาฟาดเจ้า! ลงโทษตามกฎของตระกูล!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฮูหยินเฉิงก็ดีใจเป็นอย่างยิ่ง จึงรีบตะโกนเรียกบ่าวรับใช้ให้ไปนำแส้หางเหล็กมาโดยไว นางไม่เชื่อว่า ครานี้ นังสารเลวตัวน้อยจะรอดชีวิตกลับไปได้!
บ่าวรับใช้คนนั้นรีบวิ่งไปหยิบแส้หางเหล็กมาโดยไว ตามกฎการลงโทษของตระกูลเซี่ย สิ่งที่ใช้โบยฟาดเพื่อลงโทษสมาชิกภายในตระกูลจะต้องเป็นแส้หางเหล็กกล้า ผิวเต็มไปด้วยหนามแหลมคม
เซียถงทราบดีว่า เซี่ยอี้เฉินเป็นคนมีอคติกับนาง แถมยังค่อนข้างลำเอียง แต่ใครจะไปคิดไปฝันว่า มันจะลำเอียงได้ถึงขนาดนี้ รู้ทั้งรู้ว่าฮูหยินรองเฉิงมีเจตนาคิดร้ายกับท่านแม่ของนาง แต่มันก็ยังชอบยังรัก?
เซียถงยกแขนขึ้นกอดอก เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย สายตาคู่นั้นของนางในยามนี้เต็มไปด้วยความรังเกียจ กรนเสียงเย็นชาขึ้นว่า
“หากเป็นครอบครัวที่มีคุณธรรมพอ ข้าเองก็ยอมรับโทษทัณฑ์แต่โดยดี ทว่าเจ้า เซี่ยอี้เฉิง เจ้าลืมสิ่งที่ข้าเคยกล่าวไปโดยสิ้นแล้วกระมัง? คนที่ไม่มีคุณสมบัติเป็นพ่อคนอย่างเจ้า ไม่มีสิทธิ์มาสั่งสอนบทเรียนให้แก่ข้าผู้นี้!”
คล้อยหลังชะงักหยุดไปชั่วจังหวะหนึ่ง สายตาดุจเพชฌฆาตคมกริบสาดเข้าใส่อีกฝ่าย นางเอ่ยต่อว่า
“ยามที่เจ้าอ้าปากแอบอ้างกฎของตระกูลเพื่อใช้ลงโทษ เจ้าเคยใช้สมองอันน้อยนิดที่มีสืบค้นหาความจริงแล้วรึยัง? หรือมีสักคราที่เจ้าเคยเอ่ยถึงความเป็นอยู่ของท่านแม่ข้าบ้างหรือไม่? นางเองก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง ย่อมมีหัวใจย่อมมีความรู้สึก สิบห้าปีมานี้ เจ้าเคยคิดถึงนางบ้างหรือไม่?”
น้ำเสียงของผู้สาวมิได้ดังมาก ทว่าทุกคำกล่าวที่เปล่งออกมาล้วนชัดเจน มากคารมคมคายพร้อม
เซี่ยอี้เฉินถึงกับชะงักหยุดไปชั่วจังหวะ เสมือนโดนสอบสวนจนเถียงไม่ออก แต่ชั่วครู่ต่อมา เขาก็คว้าแส้หางเหล็กออกแรงหวดฟาดพื้นไปทีหนึ่งอย่างแรง เสียงแส้ที่ฉีกกระฉากห้วงอากาศดังลั่น แค่ได้ยินก็สัมผัสได้แล้วว่า หากโดนเข้าไปต้องเจ็บปวดเกินบรรยายเพียงใด
เซี่ยอี้เฉินคล้ายจะตรงเข้ามาฟาดเซี่ยถงที่ยืนท้าทายกอดอกแน่น แต่ท่าทางการแสดงออกยังมีลังเลเล็กน้อย อ้าปากราวกับต้องการกล่าวอะไรสักอย่าง แต่สุดท้ายก็ไม่พูด
เมื่อเห็นเช่นนี้ ฮูหยินรองเฉิงก็รีบคุกเข่าลงกับพื้น คลานเข้ามากอดขาของเซี่ยอี้เฉิน ร้องไห้โฮ กล่าวทั้งน้ำตาว่า
“ท่านพี่ นังเดรัจฉานตัวนี้ มันอิจฉาที่ข้าเป็นที่โปรดปรานต่อท่านมากกว่าแม่ของนาง! ก็เลยพยายามทำลายชื่อเสียงของข้าใส่มัวหมอง ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ข้าตั้งใจทำงานอย่างหนักเพื่อบริหารจัดการครอบครัวของเราให้กินดีอยู่ดี ถึงกระนั้นก็ยังถูกนังเดรัจฉานรังแก แถมยังจะลอบสังหารข้าอีก หากท่าน…ซิก ซิก…หากท่านยังเข้าข้างมัน เกรงว่าข้าเองคงไม่มีอะไรจะพูดแล้วเช่นกัน ท่านพี่เป็นถึงขุนนางในราชสำนัก สิ่งใดยุติธรรมหรืออยุติธรรมย่อมพึงทราบดีแก่ใจ โปรดตัดสินด้วยความเป็นธรรมด้วยเถิดเจ้าค่ะ!”
นางระเบิดน้ำตาร้องไห้ออกมาไม่หยุดหย่อน ราวกับชีวิตหลายปีที่ผ่านมาของนางเต็มไปด้วยความคับข้องใจเหลือเกิน
“เจ้านี่มันยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉานด้วยซ้ำ! เลี้ยงเสียข้าวสุกโดยแท้!”
เซี่ยอี้เฉินกระชับจับด้ามแส้หางเหล็กแน่น โบกสะบัดฟาดเข้าใส่เซียถงสุดแรงเกินราวกับปานจะเอาให้ตาย
ทันทีทันใด เสียงห้วงอากาศถูกฉีกสะบั้นดังกึกก้องลั่นโถงใหญ่
ยามเห็นว่าแส้หางเหล็กอันหนากำลังเหวี่ยงมาทางนี้ เซียถงยังคงยืนกอดอกนิ่ง ไม่แม้แต่จะกระพริบตาด้วยซ้ำ ปรากฏเพียงสายตาอันเย็นชาที่จับจ้องออกไป
ในเมื่อเซี่ยอี้เฉินมีอดคติลำเอียงได้ถึงปานนี้ ก็อย่าตำหนิว่านางไม่มีมารยาทเสียแล้วกัน
เดิมทีนางต้องการแค่แสวงหาความยุติธรรมให้แก่ท่านแม่ของตนเท่านั้น แต่เซี่ยอี้เฉินเลือกที่จะปิดตา ชี้ผิดเป็นถูก…ทั้งหมดมันก็เท่านั้นเอง
ขณะที่กำลังจะเคลื่อนไหวตอบโต้ เซียถงพลันชะงักไปชั่วขณะ เพราะเมื่อแส้หางเหล็กตวัดฟาดไปได้ครึ่งทาง มือข้างนั้นของเซี่ยอี้เฉินกลับถูกใครบางคนหยุดเอาไว้เสียก่อน และนั่นมิใช่ใครอื่นนอกจาก เซี่ยหลู่เฟิง
เซี่ยหลู่เฟิงเพิ่งออกมาจากเรือนพักของตน และกำลังเดินทางมาที่โถงใหญ่ แต่บังเอิญกลับพบเจอภาพฉากนี้เข้าเสียก่อน จึงพุ่งเข้าไปหยุดสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดตรงหน้าโดยไม่คิดเลย
“ท่านพ่อ โปรดเมตตาด้วย! สภาพร่างกายของถงถงในขณะนี้ค่อนข้างอ่อนแอ ไม่สามารถทนรับการลงโทษได้!”
เซี่ยหลู่เฟิงไม่ลืมที่จะหันไปขยิบตาส่งสัญญาณให้เซียถง เหลือบมองหนามอันแหลมคมบนตัวแส้ เขารีบกล่าวกับนางทันทีว่า
“ถงถง รีบขอโทษท่านพ่อโดยเร็วเถอะ!”
“หลู่เฟิง เจ้าออกไปให้พ้น! วันนี้ข้าจะต้องสั่งสอนนังเดรัจฉานให้เข็ดหลาบ! จิตใจของนังนี่หยาบช้าเกินมนุษย์แล้ว!”
เซี่ยอี้เฉินโกรธอย่างมาก ครั้งที่แล้ว เขาก็ถูกทำให้อับอายต่อหน้าท่านราชันหมาปาสวรรค์ พอเป็นคราวนี้ ก็ต้องเป็นที่ขายขี้หน้าต่ออัครมหาเสนาบดีเย่อีก
โดยไม่สนใจเซี่ยหลู่เฟิงอีกต่อไป เขาสะบัดผลักร่างของเซี่ยหลู่เฟหิงจนกระเด็นร่นถอยออกไปหลายสิบก้าว และชักแส้เตรียมฟาดใส่เซียถงอีกครั้ง
เซียถงยังคงยืนนิ่งกล่าวว่า
“ข้ามิได้ทำอะไรผิด เพียงต้องการแสวงหาความยุติธรรมแก่ท่านแม่ของข้าเท่านั้น และในเมื่อความยุติธรรมไม่สามารถเสาะหาจากที่นี่ได้ เช่นนั้นข้าคงต้องแสวงหาความยุติธรรมจากฝ่าบาทเสียแล้ว”
จะอย่างไร ท่านแม่ของนางก็เป็นถึงคนของจวนกั๋วกง เซียถงเชื่อว่า ฝ่าบาทคงไม่ยอมนิ่งนอนใจอยู่เฉยๆแน่นอน หากมีใครสักคนกล้าเอาถึงเครื่องหอมยาพิษมาแอบใส่ในห้องของหลานสาวระดับชั้นขุนนางเช่นนี้
เซียถงเหลือบไปเห็นเซี่ยหลู่เฟินที่นอนกระอักเลือดหลายคำอยู่บนพื้นจนเปรอะเปื้อน รูม่านตาดำของนางพลันหดแคบลงทันใด ในเมื่อซี่ยอี้เฉินมันเลือดเย็นได้ปานนี้ นางเองก็ไม่มีเหตุผลอะไรจะต้องสงสารคนอย่างมันแล้วเช่นกัน
เซียถงชำเลืองมองไปที่เซี่ยอี้เฉินที่หวดแส้ฟาดเข้าใส่ อาศัยความพลิ้วไหวและว่องไวของนาง ก็สามารถเลี่ยงหลบแส้เส้นนั้นได้อย่างง่ายดาย ปราดพุ่งออกไปฉกถุงเครื่องหอมในมืออีกฝ่าย และเตรียมที่จะออกประตูจากออกไปโดยตรง
“ฝ่าบาทคงประทานรางวัลแก่ท่านเสนาบดีเซี่ยอย่างสาสมแน่นอน! เตรียมเข้าเฝ้าที่วังหลวงได้เลย!”
ทิ้งทวนวาจาผ่านสายลม คู่เท้ากระตุกวูบวาบ ก้าวย่างเตรียมจะผ่านประตูโถงใหญ่ออกไปแล้ว
เซี่ยอี้เฉินถึงกับหน้าถอดสีซีดเซียวหนัก ในเวลาเช่นนี้เขาไม่สนใจอาการบาดเจ็บของเซี่ยหลู่เฟิงอีกต่อไป เขารีบโยนแส้ในมือทิ้งไป คำรามลั่นสั่งการทหารยามที่เฝ้าอยู่ด้านนอกทันทีว่า
“จับตัวนังเดรัจฉานกลับมาเดี๋ยวนี้!!!”
ทหารยามทั้งฝ่ายจวนเสนาบดีและอัครมหาเสนาบดีต่างตั้งท่าเตรียมพร้อม รีบวิ่งเข้าใส่เซียถงในทันที
เซี่ยคงไม่แม้แต่ให้ความสนใจกับทหารนยามเหล่านี้ด้วยซ้ำ เร่งเร้าลมปราณขุมหนึ่งไปยังสองคู่เท้า ทะลวงร่างฝ่าทหารยามเหล่านั้น พร้อมกับลำแสงสายหนึ่งเสมือนภาพซ้อนพัลวันทั่วร่างของแต่ละคนด้วยท่วงท่าสังหาร
เสี้ยวพริบตาต่อมา ทหารยามทั้งหมดพลันทรุดตัวล้มกองอยู่กับพื้น บ้างตายคาที่ บ้างร้องคร่ำครวญอย่างสุดแสนเวทนา
“ฝ่าบาทโปรดข้าให้ขึ้นเป็นพระชายาเอกขององค์รัชทายาท หากข้าบอกว่าต้องการเข้าเฝ้า คิดว่าฝ่าบาทจะอนุญาตหรือไม่?”
เซียถงยืนตระหง่านอยู่ท่ามกลางกองร่างของบรรดาทหารยามที่นอนร้องคร่ำครวญไม่หยุดหย่อน ชี้นิ้วใส่หน้าเซี่ยอี้เฉินด้วยท่าทีแสนหยิ่งทะนง
นางยังกล่วาต่ออีกว่า
“และหากฝ่าบาททรงทราบว่า มีคนต้องการทำร้ายว่าที่พระชายาเอกขององค์รัชทยาท เจ้าคิดว่าฝ่าบาทจะทรงกริ้วหรือไม่?”
ทุกคนจ้องมองไปที่เซียถง พูดกันไม่ออกอยู่สักพักใหญ่
“ท่านแม่ของข้าได้รับความอยุติธรรมมามากพอแล้วในช่วงหลายปีมานี้ และข้าจะนำเรื่องทั้งหมดไปทูลแก่ฝ่าบาท บอกเล่าความจริงทั้งหมดให้รับทราบ! และข้าจะขอทวงความยุติธรรมแก่ท่านแม่กลับคืนมา!”
เซียถงกล่าวน้ำเสียงหนักแน่นด้วยท่าทีแสนเด็ดเดี่ยว
ยิ่งนางเชิดคางสูงขึ้นเท่านั้นก็ยิ่งแสดงให้เห็นถึงความหยิ่งผยองมากขึ้นเท่านั้น ดวงตาสีดำขลับที่เปรียบเสมือนน้ำหมึกคู่นั้น ยามนี้ส่องประกายแวววับเป็นพิเศษ
เสมือนกับว่า นางเกิดมาเพื่อขึ้นกลายมาเป็นเทพธิดาผู้สูงศักดิ์ ไม่ว่าใครหน้าไหนก็มิอาจขัดบัญชาได้
เฉพาะช่วงเวลา ณ ตอนนี้ ไม่มีใครคิดว่า นางอัปลักษณ์อีกต่อไป ทั่วทั้งใบหน้าปรากฏเพียงความเย่อหยิ่งและจองหองของนางเท่านั้นที่สาดสะท้อนออกจากสายตาพวกเขา
ชายหนุ่มในชุดคลุมหรูหราหรี่สายตาแคบลงเล็กน้อย ปรากฏธารแสงสีเย็นโฉบวาบผ่านวูบหนึ่ง
ส่วนคนที่ดูประหลาดใจที่สุดคงหนีไม่พ้น เซี่ยอี้เฉิน เขาแทบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเองเลยสักนิด ถึงขั้นที่ว่ายกมือขั้นมาขยี้ตาอย่างแรงอยู่สองสามหน จากนั้นค่อนเพ่งสายตาพินิจมองใหม่ให้จงดี จับจ้องไปที่สาวน้อยผู้ยืนหยัดอย่าภาคภูมิใจหน้าประตูโถงใหญ่
“ถงเอ๋อร์ จุดตันเถียนของเจ้าได้รับการรักษาแล้วรึ?”
เซี่ยอี้เฉินเอ่ยถามขี้นด้วยความเหลือเชื่อ
“เกรงว่าสวรรค์คงเห็นใจข้ากับท่านแม่อย่างยิ่ง ไม่เพียงจุดตันเถียนของข้าจะหายดีเป็นปกติ แต่พลังความแกร่งกล้าของข้ายังเพิ่มขึ้นเป็นเท่าทวี!”
เซียถงกล่าวยิ้มเยาะท่าทางดูตลกขบขันไม่น้อยกับท่าทางการแสดงออกที่เปลี่ยนไปของเซี่ยอี้เฉิน
หุหุ พอเห็นว่าลมปราณของข้าฟื้นคืนกลับมา มันก็ถึงกับเปลี่ยนสรรพนามเรียกชื่อนางโดยไว
“ถงเอ๋อร์ เรามานั่งคุยกันดีๆก่อนเถอะ”
เซี่ยอี้เฉินรีบข่มกลั้นความตื่นตระหนกตกใจเอาไว้ ยิ้มอ่อนเอ่ยวาจาเสียงนุ่มหวังเกลี้ยกล่อมอีกฝ่าย
หากรู้ตั้งแต่แรกว่า ลมปราณของเซียถงฟื้นคืนกลับมาแล้ว เขาจะไม่มีวันใช้แส้หางเหล็กฟาดใส่นางเป็นอันขาด
ส่วนเรื่องถุงเครื่องหอมนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจริงหรือเท็จ แต่หากหลุดไปถึงหูของฝ่าบาท ผลลัพธ์ที่ออกมาย่อมจบไม่สวยแน่นอน
หากลามไปถึงจวนกั๋วกง แล้วเขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน?
“สายเกินไปแล้ว เซี่ยอี้เฉิน แล้วเจอกันที่วังหลวง”
เซี่ยถงแสยะยิ้มเชิดใส่อีกฝ่ายอย่างเย็นชา แล้วหันหลังเตรียมจากออกไป
ขณะที่ปลายเท้ากำลังเคลื่อนขยับออกไป ทันใดนั้นเอง นางก็สัมผัสได้ถึงสายลมวูบหนึ่งที่ซัดเข้าใส่ พอหันมองกลับไป ก็พบใครบางคนกำลังใช้คมกระบี่ยาวทิ่มทะลวงเข้าใส่นาง…