ตอนที่52 เห็ดหลินจือมรกต (2)
เมื่อเห็นสถานการณ์เป็นเช่นนั้น เซี่ยอี้เฉินที่นั่งอยู่เคียงข้างไม่ห่าง ก็ถึงกับเคลื่อนขยับร่าง เตรียมจะลุกขึ้นยืนกล่าวเสริมในทันใด เพราะเขาเองก็อยากจะนำส่งเห็ดหลินจือมรตกกลับคืนแก่เซียถงเช่นกัน แต่ยังไม่ทันจะได้ขยับตัว เย่หลีเทียนก็ที่นั่งอยู่เคียงข้างกลับยกมือขึ้น และกดหัวไหลของเขาเอาไว้
เซี่ยอี้เฉิหันขวับจับจ้องอีกฝ่าย เจือแววประหลาดใจเผยสะท้อนผ่านแววตา ทว่าเพียงพบเห็นแสงสีเย็นคู่ตรงหน้าสาดฉายเข้าใส่ พร้อมส่ายหัวเบาๆ ส่งสัญญาณมาให้ เซี่ยอี้เฉินที่เห็นดังนั้นก็ไม่มีทางเหลืออื่นนอกจากกลับไปนั่งที่เก้าอี้ดังเดิม
“ข้าผู้นี้เป็นถึงองค์จักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่แห่งจักรวรรดิตงหลี่ทั้งมวล มีหรือจะคืนคำได้เยี่ยงไร? เสมือนพระราชกฤษฎีกามอบหมายออกไป มิอาจขอกลับคืน”
ฝ่าบาทยาวนี้เริ่มขมวดคิ้วปวดเศียรขึ้นเล็กน้อย รู้สึกอับอายอยู่ในใจหนึ่งส่วน ครุ่นพินิจไปได้สักครู่ ค่อยหันไปเอ่ยถามทางเย่หลีเทียนว่า
“อัครมหาเสนาบดีเย่ ในพระคลังยังมีเห็ดหลินจือมรกตอยู่เท่าใด?”
“เรียนฝ่าบาท เห๋ดหลินจือมรกตเหลืออยู่สองชิ้นพ่ะย่ะค่ะ ชิ้นแรกได้ถูกส่งมอบแก่ฮูหยินรองเฉิงแห่งจวนเสนาบดีไปแล้ว ส่วนอีกชิ้นอยู่ในพระคลัง”
เย่หลีเทียนรีบลุกขึ้นประสานมือกล่าวอย่างนอบน้อม
ฝ่าบาทพยักหน้าตอบ หันกลับไปมองทางเซียถงเป็นลำดับต่อมา ยื่นมือออกไปคล้ายว่าปัญหาจะคลี่คลายแล้ว เขายิ้มกล่าวขึ้นว่า
“โชคยังดีเหลือในพระคลังอีกหนึ่งชั้นพอดี ปัญหานี้สะสางได้โดยง่ายแล้ว”
กล่าวจบประโยค ดวงตาของเขาพลันเปล่งประกายแวววับ เอ่ยถามน้ำเสียงฟังดูมีความหวังอย่างยิ่งว่า
“จะว่าไปแล้ว ในระหว่างการประลองฟังว่า เจ้าสำแดงใช้วรยุทธ์ออกมาด้วยงั้นรึ? เจ้าไปศึกษาเรียนรู้มาจากที่ใด?”
ในที่สุดจิ้งจอกเฒ่าก็ยอมเผยหางออกมาแล้ว!
เซียถงสบถเสียงเย็นชาในใจ แต่สีหน้าแววตาที่เผยแสดงออกไปกลับดูงุนงง ไม่เข้าใจในสิ่งที่ฝ่าบาทกล่าวเลยแม้นสักนิด
“วรยุทธ์? วรยุทธ์อะไรรึฝ่าบาท?”
“อ่อ ก็การประลองรอบสุดท้ายน่ะ แม่ของเจ้าได้ถ่ายทอดวรยุทธอันใดเป็นไพ่ตายแก่เจ้าหรือไม่?”
จากที่นั่งหลังพิงเก้าอี้ ถึงกับลุกขึ้นนั่งในท่าจริงจัง ฝ่าบาทเอ่ยถามสีหน้าดูเป็นกังวล ยื่นมือออกไปคว้าจับแขนของเซียถงอย่างนุ่มนวลระมัดระวัง
เนื่องจากตอนนั้น เขาได้รับรายงานมาว่า เซียถงได้สำแดงใช้วรยุทธ์ต่อสู้ในการประลองรอบชิงชนะเลิศ เขาทั้งรู้สึกมีความสุขและเกลียดชังในเวลาเดียวกัน ในส่วนความเกลียดชังคือ แสดงว่าที่ผ่านมาหลายปี เขาถูกนังแพศยาจากตระกูลหลี่หลอกลวงมาโดยตลอด จนเขาเกือบคิดจริงๆ แล้วว่า คัมภีร์วรยุทธลับไม่ได้อยู่ในมือนางจริงๆ แต่จะอย่างไร เขาเองก็รู้สึกมีความสุขเช่นกัน เพราะว่าในที่สุดวรยุทธลับดังกล่าวก็เปิดเผยร่องรอยออกมา ทำให้เขามองเห็นแสงสว่างแห่งความหวังขึ้นอีกครั้ง จากนี้ต่อไปจะต้องเริ่มจับตามองเซียถงอย่างจริงจังแล้ว
. “โอ้! หรือว่า..สิ่งที่ฝ่าบาทกล่าวมาจากหมายถึง เคล็ดวิชาลึกลับที่ข้าได้รับสืบทอดจากเฒ่าประหลาดท่านหนึ่ง?”
เซียถงเบิกตาอ้าปากกว้าง เสแสร้งทำเป็นตกตะลึงสุดขีด
“ใช่แล้ว! เจ้าพอจะให้ข้ายืมคัมภีร์เคล็ดวิชาลับที่ว่าแก่ข้าผู้นี้ได้หรือไม่?”
ฝ่าบาทเคลื่อนใบหน้าเข้ามใกล้ จับจ้องตาเขม็งอีกฝ่าย สีหน้าท่าท่างตื่นเต้นอย่างยิ่งจนแทบเก็บงำไว้ไม่อยู่
“เอ่อ…”
เซียถงลอบสบตาฝ่าบาทเป็นระยะเจือแววเขินอาย มือไม้อยู่ไม่นิ่งถูไถกันไปมา แสดงท่าทีกลุ้มใจออกมาชัดแจ้ง ปั้นหน้าลังเล ก่อนเอ่ยปากขึ้นคำหนึ่งแต่จู่ๆ ก็หยุดชะงักไป
“มันจะเป็นเรื่องยากอันใด? ข้าผู้นี้เป็นถึงราชาของจักรวรรดิ ทุกภาคส่วนในดินแดนตงหลี่ล้วนแต่เป็นของข้าทั้งสิ้น ให้ข้าหยิบยืมคัมภีร์เพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ เป็นไปได้หรือไม่ว่าจะเกิดภัยอันตรายใดขึ้นได้?”
ฝ่าบาทคลายมือที่บีบแน่นของเซียถงออก พอยังเห็นว่านางยังคงปั้นสีหน้ารวนเรไม่แน่ใจจึงโบกมือ กล่าวอย่างใจกว้างขึ้นว่า
“เอาล่ะ ข้าขอมอบเห็ดหลินจือมรกตชิ้นสุดท้ายในพะคลังแก่เจ้า! เอาไปใช้ได้ตามใจอิสระ!”
“ขอบพระคุณฝ่าบาทสำหรับของรางวัล”
เซียถงรีบคุกเข่าขอบคุณอีกฝ่ายด้วยความซาบซึ้งใจยิ่งยวด แต่แน่นอน…ทั้งหมดเป็นการเสแสร้ง
“เช่นนั้นแล้ว ให้ข้าผู้นี้ขอยืมคัมภัร์เล่มนั้นได้หรือไม่?”
ฝ่าบาทก้มตัวไปประลองร่างของเซียถงขึ้นมา แววตาดูร้อนรนบอกไม่ถูก
“เฒ่าประหลาดท่านนั้นมิได้ทิ้งคัมภีร์หรือตำราอันใดให้แก่หม่อมฉันเลย เพียงถ่ายทอดเคล็ดวิชาบางอย่างให้เท่านั้น”
เซียถงเงยหน้ามอง สีหน้าการแสดงออกดูประหม่าไร้พิษภัย
“อันใด? เจ้าไม่มีคัมภีร์อยู่ในมือเลยหรอกรึ? หากเช่นนั้น ไฉนเจ้าถึงกลับมามีลมปราณได้อีกครั้ง? แล้วเรื่องวรยุทธที่เจ้าสำแดงใช้ในการประลองนั่นอีก?”
“เฒ่าประหลาดท่านนั้นได้ซ่อมแซมจุดตันเถียนให้แก่หม่อมฉัน ทั้งยังช่วยยกระดับพลังลมปราณให้ จากที่แต่เดิมอยู่ในขอบเขตเสาหลักเหลือง ข้าทะลวงขึ้นสู่ขอบเขตเสาหลักฟ้าชั้นกลางในพริบตา และก่อนลาจาก เฒ่าประหลาดท่านนั้นยังถ่ายทอดเคล็ดวิชาต่อสู้ให้อีกด้วย”
ภายใต้ทุกสายตาที่จับจ้อง ไหล่ทั้งสองข้างของนางหดเล็กลงทันควัน เนื้อตัวสั่นเทาไม่หยุด ทั้งสีหน้าและแววตาดูประหม่าตื่นเกรงเสมือนสาวน้อยไม่กล้าแสดงออก
ทันทีที่คำพูดเหล่านี้หลุดออกมาจากปากเซียถง ปฏิกิริยาของแต่ละคนที่แสดงออกมาต่างแตกต่างกันออกไป ฝ่าบาทจ้องมองนางตาเป็นมัน แววตาเผยร่องรอยความโลภส่องสะท้อนออกมา ส่วนทางด้านเย่หลีเทียนหรี่ตาแคบ ปรากฎแสงสีเย็นสาดไสว แต่ที่ดูมีการแสดงออกรุนแรงสุดคงเป็น เซี่ยอี้เฉินที่เสมือนคนเพิ่งตื่นรู้ครั้งใหญ่
ในตอนนั้น เพื่อช่วยองค์รัชทายาท เซียถงจึงกระโดดขวาง เอาตัวรับคมดาบแทน ส่งผลให้จุดตันเถียนของนางถูกทำลาย จนกลายมาเป็นเศษขยะในสายตาของทุกคนหลังจากนั้น แต่พอมาถึงงานชุมนุมลมปราณในครั้งนี้ ไม่เพียงแค่เซียถงจะฟื้นคืนพลังลมปราณกลับมาได้ แต่ยังทะลวงขึ้นสู่ถึงขอบเขตเสาหลักฟ้าได้อย่างน่าเหลือเชื่อ และในตอนท้าย ยังแสดงวรยุทธซึ่งแทบจะสูญหายไปจากจักรวรรดิตงหลี่ไปโดยสิ้นแล้ว ต่อหน้าสาธารณะให้เห็นเป็นประจักษ์ ทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวมา นางสามารถประสบความสำเร็จได้ภายในระยะเวลาแค่เดือนสองเดือนเท่านั้น?
การที่สามารถทะลวงขึ้นสู่ขอบเขตเสาหลักฟ้าได้ด้วยอายุแค่สิบห้าปี นี่แสดงให้เห็นถึงพรสวรรค์อันยิ่งใหญ่และพิเศษเหนือกว่าผู้ใดในทวีปแห่งนี้ ส่วนที่น่าทึ่งที่สุดคงเป็น การที่เซียถงสามารถฝึกปรือวรยุทธจนบรรลุถึงชั้นเหลืองได้ภายในเวลาเดือนนิดๆ เท่านั้น เคยมีคำกล่าวที่ว่า การเสาะหาวรยุทธมาสักเล่มว่ายากเย็นแสนเข็ญแล้ว แต่การจะฝึกปรือให้ชำนาญนับว่ายากกว่าอีกหลายสิบทวี ดังนั้นแล้ว นางทำได้อย่างไรกัน?
พอเห็นว่าทุกสายตาต่างจับจ้องมาทางตนโดยไม่ปริปากเอ่ยกล่าวอันใด เซียถงจึงอาสากล่าวอธิบายต่อว่า
“หลังจากที่จุดตันเถียนของข้าถูกทำลายลง ข้ารู้สึกท้อแท้สิ้นหวังยิ่งกว่าอะไร จึงหนีเข้าหุบเขาจันทราเพียงลำพัง หวังจะเสาะหาความหมายของชีวิต แต่สุดท้ายสรรพสิ่งกลับมืดแปดด้าน ข้าจึงตัดสินใจกระโดดลงมาจากเหวจันทราหวังฆ่าตัวตายไปเสีย แต่สถานการณ์ทุกอย่างกลับพลิกผัน ได้มีชายชราไว้หนวดเคราขาวโพลนประหลาดคนหนึ่งมาคว้าตัวข้าไว้ หลังจากที่ถามถึงที่มาที่ไปของข้า เขาก็รู้สึกสงสารเวทนาในโชคชะตาชีวิตของข้า จึงมอบโอสถเม็ดหนึ่งออกมาและบอกให้ข้ากลืนลงไป หลังทกลืนลงไปตามที่บอก ข้าก็รู้สึกราวกับเกิดใหม่ จุดตันเถียนที่เคยพิการสามารถกลับมาใช้งานได้อีกครั้ง แถมครานี้ยังสัมผัสได้ถึง ขุมพลังอันยิ่งใหญ่ที่โหมทะลักเข้าสู่ร่างกายของข้าอย่างไม่หยุดหย่อน ประมาณสามชั่วยามถัดมา ข้าก็ทะลวงขี้นสู่ขอบเขตเสาหลักฟ้าได้อย่างน่าเหลือเชื่อ”
“โอสถ? จากที่ฟังสรรพคุณควรจะเป็นโอสถวิเศษไม่ผิดแน่ หรือเป็นไปได้ไหมว่า…เฒ่าประหลาดที่เจ้ากล่าวถึงจะเป็นถึงเซียนโอสถ?”
พอฝ่าบาทได้รับทราบเช่นนั้น เขาก็รีบเอ่ยปากถามต่อด้วยความตื่นอกตื่นใจ
ในทวีปเทียนหลาง ไม่ว่าจะเป็นอาชีพนักหลอมโอสถหรือผู้อัญเชิญสัตว์อสูรล้วนแต่หายากด้วยกันทั้งสิ้น
ในส่วนของนักหลอมโอสถ จะสามารถจำแนกระดับชั้นได้ดังนี้ นักโอสถสามัญ ราชาโอสถ ปราชญ์โอสถ เซียนโอสถ และจักรพรรดิโอสถ
ซึ่งแต่ละระดับชั้นเองก็ยังแบ่งได้อีกสามขั้นย่อย ต้น กลาง สูง
และในจักรวรรดิตงหลี่แห่งนี้ นักหลอมโอสถที่เคยปรากฏตัวให้เห็นอย่างมากที่สุดก็เป็นแค่ ราชาโอสถเท่านั้น
กล่าวได้ว่า แค่ตำแหน่งราชาโอสถมันก็เปรียบดั่งพระเจ้าแล้วในสายตาของทุกคน นักหลอมโอสถทุกคนล้วนมีศักดิ์สถานะสูงลิบลิ่ว เสมือนสิ่งมีชีวิตที่ทัดเทียมได้กับเซียนสวรรค์อย่างแท้จริง!
สำหรับนักหลอมโอสถที่บรรลุขึ้นสูงถึงเซียนโอสถได้สำเร็จ มีแค่สองถึงสามคนเท่านั้นในประวัติศาสตร์ที่เคยจารึกไว้ตั้งแต่สมัยโบราณ