ตอนที่53 พวกราชวงศ์โง่ๆ
เซียถงส่ายหน้า มองไปทางฝ่าบาทปั้นหน้าหนึ่งช่างดูไร้เดียงสา
“ข้ามิทราบ เพียงเห็นเฒ่าประหลาดท่านนั้นหยิบเข็มเงินขึ้นมาสองสามเล่ม จากนั้นก็นำมาปักบนร่างกายของข้า ทันใดนั้นพลังวิญญาณแห่งฟ้าดินจากสารทิศก็ถูกดูดกลืนผ่านจุดตันเถียนอย่างบ้าคลั่ง ทำให้รากฐานพลังที่คราแรกยังทรวงเนื่องจากการเลื่อนระดับพลังที่เร็วเกินไป เสมือนถูกเติมเต็มจนรากฐานแน่นหนามั่นคงยิ่ง หลังจากนั้น อีกฝ่ายก็ได้ถ่ายทอดเคล็ดวิชาต่อสู้ให้แก่ข้าเป็นลำดับถัดมา”
ก็อย่างว่านะ นี่น่ะเป็นพล็อตหนังจีนกำลังภายในสมัยใหม่ที่กำลังฮิตฮอตอย่างมาก นางเองก็เคยอ่านนิยายดูหนังแนวๆ นี้เช่นกัน จึงกล่าวแถออกมาได้ราบรื่นเรียบเนียนไร้รอยต่อถึงเพียงนี้
“น่าทึ่งโดยแท้! เฒ่าประหลาดท่านนั้นต้องเป็นเซียนโอสถไม่ผิดแน่นอน!”
ดวงงตาของฝ่าบาทสาดประกายลุกเป็นไฟ รีบยืดเหยียดแขนไปคว้ามือเซียถงไว้แน่น กล่าวพร้อมท่าทีตื่นเต้นสุดขีดว่า
“รีบพาข้าไปหาเร็ว! รีบพาข้าไปหาท่านเซียนโอสถผู้นั้น!”
สำหรับเซียนโอสถสักคน ทอดสายตาทั่วทั้งทวีปเกรงว่า ยังไม่มีโอกาสได้พบพาน ต่อให้นำทรัพย์สมบัติทั้งหมดที่มีก็ไม่สามารถล่อซื้อใจของคนระดับชั้นนี้ได้ แต่อย่างไร โอกาสทองได้มาถึงแล้ว หากเขาได้รับโอสถวิเศษที่ได้เซียนโอสถหลอมกลั่นมากับมือ เกรงว่าขุมพลังความแข็งแกร่งของเขาต้องเพิ่มขึ้นอย่างน้อยสองถึงสามทวีเท่า! ไม่…ข้าจะไม่มีวันพลาดโอกาสนี้เด็ดขาด!!
ปฏิกิริยาของเซียถงกลับดูแปลกไป นางขมวดคิ้วส่ายหน้าปนแววเขินอายที่ต้องทำให้อีกฝ่ายผิดหวัง
“หมายความว่าอย่างไร?”
ฝ่าบาทขมวดคิ้วถักแน่นที่เห็นเซียถงทำท่าทางเช่นนี้ใส่ เอ่ยถามเสียงขรึมอย่างไม่ค่อยพอใจนักว่า
“หรือเจ้าไม่เต็มใจพาข้าผู้นี้ไปพบ?”
“ไม่ใช่! โปรดอย่าได้เข้าใจหม่อฉันผิดไป! ฝ่าบาท มิใช่หม่อมฉันไม่อยากพาท่านไปพบกับเฒ่าประหลาดท่านั้น แต่หลังจากที่ถ่ายทอดเคล็ดวิชาแก่ข้าเสร็จสรรพ เขาก็ออกเดินทางลาจากทวีปเทียนหลางไป ทิ้งทวนเพียงว่า หม่อมฉันจะได้พบเขาอีกครั้ง ก็ต่อเมื่อหม่อมฉันทะลวงขึ้นขอบเขตราชันย์ม่วง”
เมื่อเห็นสีหน้าการแสดงออกที่ไม่ค่อยพอใจนักของฝ่าบาท เซียถงก็แสร้งปั้นหน้าหวาดกลัวจัด รีบคุกเข่าขอโทษขอโพย ปฏิกิริยาตอบสนองดูตื่นตระหนกมากจริงๆ แต่สุดท้ายก็ถูกฝ่าบาทเอื้อมมือเข้าไปประคองร่างของนางขึ้นมา
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร เช่นนั้นเถอะ…เจ้าพาทราบหรือไม่ว่าเฒ่าประหลาดท่านนั้นออกเดินทางไปแห่งหนใด?”
ฝ่าบาทจับตัวเซียถงให้ลุกขึ้นยืนดังเดิม เอ่ยปากถามขึ้นอีกครั้ง
“หม่อมฉันไม่ทราบ เฒ่าประหลาดท่านนั้นบอกเพียงว่า จงแข็งแกร่งขึ้นภายในสามปี หากยามนั้นมีคุณสมบัติเพียงพอ เขาจะกลับมาฝึกปรือข้าและพถ่ายทอดเคล็ดวิชาทั้งหมดที่มีให้”
เซียถงก้มศีรษะของนางลง เอ่ยตอบกลับไปด้วยความกลัว
อย่างที่กล่าวไป แม้ฝ่าบาทจะไม่เชื่อคำพูดนี้ของนาง แต่จะอย่างไรก็ควรระวังตัวเอาไว้ และที่แน่ๆ คือ ภายในสามปีนี้ เขาไม่สามารถล่วงล้ำหรือลงไม้ลงมือกับนางได้เลย แต่ทันทีที่เลยสามปี…ฮิฮิ ข้ายังต้องกลัวอะไร!
เมื่อได้ยินดังนั้น ฝ่าบาทหรี่ตาแคบเสมือนใบดาบเสียงลู่ลงบนร่างของเซียถง คลื่นผวนกระแสใหญ่พลุ่งพล่านขึ้นในแก้วตา จับจ้องนางอยู่สักครู่ ค่อยเดินกลับมาตบโต๊ะเสียงดัง ‘ปัง’ หันขวับตะคอกใส่นางด้วยความโกรธเกรี้ยว
“เจ้ากล้าดีนัก! รู้หรือไม่ว่าการพูดความเท็จกับองค์จักรพรรดิมีความผิดใหญ่หลวงเพียงใด! ต้องการรับโทษทัณฑ์ขั้นรุนแรงกระมัง?”
เซี่ยอี้เฉินที่นั่งอยู่ด้านข้างพลันรู้สึกหวาดผวาขึ้นทันใด สิ่งแรกที่ทำคือ รีบทิ้งตัวคุกเข่าลงกับพื้นต่อหน้าฝ่าบาท ก้มกราบศีรษะจรดแทบปลายเท้าอีกฝ่ายครั้งแล้วครั้งเล่า
“ฝ่าบาท โปรดระงับโทสะ! โปรดระงับโทสะด้วยเถิดฝ่าบาท!”
ยกเว้นแต่เพียงเย่หลีเทียน ทั้งคนรับใช้และบรรดาผู้ติดตามทั้งหลายทั้งในและนอกโถงต่างคุกเข่าลงโดยพร้อมเพรียง
เซียถงเองก็คุกเข่าลงกับพื้นเช่นกัน ประสานมือต่อหน้าฝ่าบาทอยู่เหนือหัว กล่าวน้ำเสียงสั่นคลอราวกับจะร้องไห้ว่า
“ฝ่าบาท! ที่หม่อมฉันพูดทั้งหมดเป็นความจริง! เฒ่าประหลาดบอกว่า ภายในสามปีหากข้าทะลวงขึ้นสู่ขอบเขตราชันย์ม่วงได้ เขาจะกลับมารับข้าเป็นลูกศิษย์และถ่ายทอดเคล็ดวิชาทั้งหมดที่มีให้!”
ฝ่าบาทเรียบนิ่งไปพักใหญ่ กำลังพิจารณาคำกล่าวประโยคนี้ของเซียถง สายตาคู่เฉียบคมกวาดตั้งแต่บนใบหน้าจรดปลายเท้าเซียถง พินิจวิเคราะห์อย่างละเอียดลออ ยามนี้ภายในห้วงความคิดของเขาเต็มไปด้วยข้อสงสัยมากมาย
“เมื่อสักครู่เจ้ากล่าวว่า เฒ่าประหลาดได้ถ่ายทอดเคล็ดวิชาแก่เจ้าประมาณหนึ่ง นี่เป็นความจริงรึ?”
ภายในเนื้อเสียงปราศจากร่องรอยความโกรณเกรี้ยว แต่เร้นแฝงไปด้วยความเย้ายวนและแคลงใจอยู่เล็กน้อย
“ไม่ต้องกล่าวถึงจุดตันเถียนของข้าที่รับเข้าคมดาบแทนองค์รัชทายาทจนถูกทำลาย ฝ่าบาท ท่านเคยเห็นใครผู้ใดสามารถยกระดับลมปราณจากขอบเขตเสาหลักเหลืองขึ้นเป็นเสาหลักฟ้าได้ภายในเวลาไม่กี่เดือนหรือไม่?”
เซียถงเลือกที่จะยิงคำถามกลับไปเป็นแถลงไขข้อสงสัยของฝ่าบาทแทน
ประโยคคำถามนี้ ไม่เพียงแต่จะช่วยย้ำเตือนถึงความจงรักภักดีที่มีอยู่ตลอดมาของเซียถง ถึงขั้นเอาตัวไปรับคมดาบมรณะแทนบุตรชายคนโตของเขา แต่ทุกคนพูดที่เอ่ยออกมาล้วนมีเหตุผลทั้งสิ้น มันมีน้ำหนักมากเพียงพอจนฝ่าบาทอดขมวดคิ้วไตร่ตรองมิได้จริงๆ
มันไม่มีทางเป็นไปได้เลย ที่จะมีใครสักคนสามารถบรรลุถึงขอบเขตเสาหลักฟ้าได้ภายในเวลาแค่สองเดือน ยิ่งไปกว่า ระยะสองเดือนที่ว่า จุดตันเถียนของนางยังถูกทำลายสิ้นโดยสมบูรณ์ จนกลายมาเป็นคนพิการไร้ลมปราณใดๆ การที่ชะตาชีวิตผงาดสูงเสียดฟ้าได้ในชั่วอึดใจเช่นนี้ มีเพียงเหตุผลเดียวเท่านั้นที่จะรองรับเหตุการณ์น่าเหลือเชื่อเช่นนี้ได้คือ…
นางได้รับถ่ายทอดเคล็ดวิชาลับบางอย่างจากเซียนโอสถท่านนั้นจริงๆ!
“ฝ่าบาท จะมีสักกี่คนที่ใจกล้าโดดเข้าปกป้องเชื้อองค์รัชทายาทโดยไม่สนความเป็นตาย? ที่หม่อมฉันกล่าวเช่นนี้หาใช่จะอวดอ้างหรือทวงบุญคุณไม่ เพียงอยากให้ท่านเห็นว่า ตัวหม่อมฉันจงรักภักดีต่อราชวงศ์ไป๋เพียงใด?”
พอเห็นแววความลังเลก่อตัวขึ้นในดวงตาของฝ่าบาท เซียถงก็เร่งฉวยโอกาสนี้กล่าวเพื่อแสดงจุดยืนออกมา
สิ่งที่เซียถงพูดไปทั้งหมดล้วนแต่เป็นความจริง เซียถงคนเก่าเคยใช้ชีวิตแลกชีวิตเพื่อปกป้ององค์รัชทายาทจริงๆ และนางก็เป็นคนไร้เดียงสาพอที่จะหลงเชื่อใจราชวงศ์โง่ๆ พวกนี้เช่นกัน สิ่งเดียวที่แตกต่างออกไปคือ เฒ่าประหลาดที่ช่วยนางในยามคับขัน แท้ที่จริงแล้วเป็นฮั่วหยางต่างหาก
ฝ่าบาทเหลือบมองเซียถงอยู่ครู่หนึ่ง กสายตาหรี่ลงอีกคราอย่างรวดเร็ว เอ่ยถามขึ้นมาปนน้ำเสียงผิดหวังไม่น้อยว่า
“หลังจากนี้สามปี เฒ่าประหลาดท่านั้นจะกลับมาหาเจ้าจริงๆ ใช่หรือไม่?”
“นั่นเป็นสิ่งที่เขาให้สัญญากับข้า เฒ่าประหลาดบอกแค่ว่า ตัวเขายังมีธุระอีกมากมายล้นมือ ยังไม่มีเวลาว่างสอนสั่งข้าในยามนี้”
เซียถงพยักหน้ายืนยัน ทั้งนี้ยังไม่ลืมทิ้งคำใบ้ฝากให้คิดกันต่อด้วยว่า หลังจากนี้สามปี เฒ่าประหลาดท่านนั้นยังมีอีกหลายสิ่งอย่างที่ต้องการจะถ่ายทอดให้ข้า
“หากวันใดเจ้าบังเอิญพบพานกับท่านผู้นั้นอีก ก็จงแนะนำข้าให้แก่อีกฝ่ายด้วย ชั่วชีวิตนี้มีโอกาสได้พบเห็นเซียนโอสถสักครั้ง นับว่าไม่เสียชาติเกิดแล้วจริงๆ”
ฝ่าบาทขจัดชำระความไม่พอใจทั่วใบหน้าและดวงตาทิ้งไป อาสาประคองร่างของเซียถงขึ้นมาด้วยความพึงพอใจ ก่อนจะโบกมือเปล่งดังกล่าวขึ้นว่า
“พวกเจ้าทุกคนลุกขึ้น!”
ไม่ว่าสิ่งที่เซียถงกล่าวมาทั้งหมดจะเป็นความจริงหรือไม่ แต่ยังอย่างไร แค่สามปีเขาย่อมรอได้อยู่แล้ว และหากถึงตอนนั้น มาค้นพบทีหลังว่า นางหลอกตนเอง ก็ค่อยจัดการยังมิสาย
จากนั้นเขาก็กล่าวกับเซียถงว่า
“ในภายภาคหน้า หากเจ้าปรารถนาหรือต้องการสิ่งใดก็จงบอกข้าได้ทุกเมื่อ ตราบเท่าที่ภายในพระคลังพอมีหลงเหลือ ตัวข้าผู้นี้ย่อมมอบให้โดยไม่ตระหนี่แน่นอน”
เซียถงรีบคุกเข่าเพื่อแสดงความขอบคุณ ทางด้านฝ่าบาทพยักหน้ามองดูนาง สีหน้าอารมณ์ดูเบิกบานใจเหลือเกิน คล้ายว่าความปรารถนาลุล่วง เขาก็ขึ้นเกี้ยวทองคำกลับวังหลวงโดยทันที
เซี่ยอี้เฉินลุกขึ้นยืนพลางปาดเช็ดเหงื่อเย็นอันเปียกชุ่มบนหน้าผากซีดเซียวแผ่นนั้น
เหม่อมองเกี้ยวทองคำของฝ่าบาทเคลื่อนไกลห่างจากออกไป มุมปากเซียถงเชิดกระตุกขึ้นเล็กน้อย ร่องรอยความประหม่ากลัวเกรงดั่งก่อนหน้าอันตรธานหายสิ้นไม่มีเหลือ ปรากฏแววหยิ่งผยองแสนเจ้าเล่ห์เผยขึ้นมาแทน ทุกอย่างดูจะง่ายกว่าที่คิดไว้ ทีแรกก็คิดไปว่า การจะรับมือกับฝ่าบาทจะเป็นเรื่องยากเสียกว่านี้ซะอีก นางยกมือไม้ปัดฝุ่นบริเวณหัวเข่า ฮัมเพลงขับร้องพึมพำดูท่าจะอารมณ์ดี เตรียมพร้อมที่จะกลับเรือนพักของนางไป
แต่ทันใดนั้น นางก็สัมผัสได้ถึงสายตามืดทมิฬคู่หนึ่งเข้า
เย่หลีเทียนยังคงยืนอยู่ตรงมุมโถง จับจ้องมองนางด้วยสายตาอันเย็นเยียบ ประดุจเดรัจฉานร้ายที่เคลือบคลานอยู่ในเงามืด เพื่อสบโอกาสรอฉกเหยื่ออันโอชา
ภายในใจเซียถงรู้สึกเย็นสะท้าน ปรายตาคู่คมเฉียบสีเย็นไปหนึ่งปราด ก่อนจะหมุนตัวก้าวย่างออกไป แต่ถึงแบบนั้น นางก็ยังสัมผัสได้ชัดแจ้ง ถึงไอความชั่วร้ายที่กำลังจ้องเขม็งอยู่บนแผ่นหลังของนาง มันทั้งรู้สึกเหน็บหนาวและสัมผัสได้ถึงความเกลียดชังของอีกฝ่าย
ครั้งสุดท้ายที่สองเราพบพาน เย่หลีเทียนเองก็มองนางด้วยสายตาเกลียดชังคล้ายกัน เพียงว่า แววความเกลียดชังในวันนี้กลับลึกล้ำและเข้มข้นกว่ามาก จนเซียถงอดสงสัยมิได้….นี่ข้าไปกลั่นแกล้งมันตั้งแต่ตอนไหน? คิดมาถึงจุดนี้ นางก็อดนึกถึงเรื่องเมื่อคืนก่อนมิได้ ที่ตนพุ่งเข้ารับคมกระบี่ของชายสวมหน้ากากปริศนา จะว่าไปแล้ว ลักษณะการเคลื่อนไหวที่เน้นไปทางลอบโจมตีแบบนั้น จะว่าไปก็มีความคล้ายคลึงกับเย่หลีเทียนอยู่หลายส่วน
เซียถงอดตั้งข้อสงสัยมิได้ภายในใจ