ตอนที่91 นักหลอมโอสถ (1)
“อืม นี่นับเป็นปัญหาจริงๆ”
ย่าเฟิงเหลือบมองมาทางนาง ระดมสมองครุ่นพินิจ จากนั้นไม่นาน แววตาพลันสาดจ้าจรัสเป็นประกาย เอ่ยขึ้นว่า
“องค์หญิง วันสองวันนี้ข้าจะหาโอกาสลอบทำร้ายองค์รัชทายาท และปล่อยทิ้งในเขาลูกนี้ จากนั้นข้าจะตะเวนรวบรวมสมุนไพรและปรุงยารักษามาให้ท่านเพื่อนำไปช่วยชีวิตเขาอีกทีหนึ่ง อาศัยวิธีนี้ ท่านจะเสาะโอกาสเข้าหาได้แน่นอน”
พอได้ฟังเซียถงพลันสะพรึงในใจอย่างลับๆ แน่นอนว่านางมิได้สนใจเกี่ยวกับเรื่องสถานศักดิ์ของไป๋หลี่เย่ในฐานะองค์รัชทายาทอยู่แล้ว เพียงว่า มันเพิ่งโดนนางเล่นงานจนสาหัสไปไม่นานในงานประลอง ยามนี้กลับต้องโดนลอบทำร้ายชนิดหยอดน้ำข้าวต้มอีกแล้วหรอกรึ?
“อย่า! อย่าเลยย่าเฟิง!”
ฉีหมิงเยว่ได้ฟังดังนั้นพลันรีบส่ายหน้า คว้ามือไม้อันผอมแห้งของหญิงชราขึ้นมาลูบไล้ สีหน้าแววตาตื่นตระหนก เอ่ยขึ้นเจือน้ำเสียงกังวลว่า
“ย่าเฟิงโปรดรับรู้ คนที่ช่วยชีวิตข้าในครานั้นก็คือผู้ติดตามขององค์รัชทายาท หากท่านทำร้ายและลักพาตัวองค์รัชทายาทไป เกรงว่าท่านอาจต้องปะทะกับอีกฝ่าย”
โอ้…ข้อมูลใหม่เลย ปรากฏว่าเซี่ยหลู่เฟิงเคยช่วยชีวิตของฉีหมิงเยว่เอาไว้นี่เอง เซียถงได้ฟังดังนั้นถึงได้กระจ่างทันทีว่า ทั้งสองมีความสัมพันธ์เป็นมากันอย่างไร และทั้งหมดเป็นเพราะเซี่ยหลู่เฟิงเคยช่วยชีวิตของฉีหมิงเยว่ ส่งผลให้นางตกหลุมรักอีกฝ่ายตั้งแต่ตอนนั้น จึงไม่น่าแปลกใจเลย ไฉนตอนที่เซี่ยหลู่เฟิงเอ่ยปากถามไปว่า เขาเคยพบกับนางที่ไหน อีกฝ่ายถึงเสียใจมากถึงขั้นร้องไห้
“หื้ม? คนที่ช่วยชีวิตท่านในครานั้นคือชายหนุ่มชุดขาวที่อยู่ข้างกายองค์รัชทยาทกระมัง? ได้ เช่นนั้นข้าจะพยายามไม่ให้เขาโดนลูกหลงในตอนที่ลงมือ”
ย่าเฟิงกล่าวให้คพมั่น แต่แววตาคู่นั้นกลับหาใช่แบบนั้นเลย มันเปี่ยมล้นไปด้วยความไม่พอใจ ราวกับสิ่งที่เซียถงได้ยิน อีกฝ่ายพยายามกล่าวว่า ‘ข้าจะพยายามฆ่าอีกฝ่ายหากมีโอกาส’ อย่างใดอย่างนั้น
“ย่าเฟิง ข้าจะหาทางเข้าใกล้องค์รัชทายาทเอง โปรดอย่าได้ทำร้ายเซี่ยหลู่เฟิง”
ฉีหมิงเยว่กล่าวขอร้องอ้อนวอน เพราะอย่างไร นางรู้จักย่าเฟิงคนนี้ที่เลี้ยงดูตนมาตั้งแต่เด็กดีเกินกว่าใครๆ นอกเสียจากตัวนางเองแล้ว ย่าเฟิงถือได้ว่าเป็นปีศาจหญิงชราที่มีจิตใจเหี้ยมโหดและเลือดเย็นเกินบรรยาย ในทางตรงกันข้าม ย่าเฟิงกลับรักใคร่และห่วงใยฉีหมิงเยว่กว่าใครๆเช่นกัน
“องค์หญิง ข้าจะให้เวลาท่านหนึ่งเดือนเท่านั้น หลังจากครบหนึ่งเดือน หากท่านยังเข้าใกล้องค์รัชทายาทไม่ได้ เกรงว่าต้องให้บ่าวออกโรงเป็นการส่วนตัวแล้ว”
ย่าเฟิงปั้นสีหน้าดูลังเลเล็กน้อย แต่แล้วสุดท้ายก็กล่าวออกมา
มิอาจทราบเลยจริงๆว่า ขุมพลังความแข็งแกร่งของย่าเฟิงคนนี้อยู่ในระดับชั้นใด? เซี่ยหลู่เฟิงจะเป็นคู่มืออีกฝ่ายได้หรือไม่? หลากหลายความคิดถาโถมเข้ามาในหัวของเซียถงไม่หยุดหย่อน หนึ่งความคิดโฉบแล่น หนึ่งฝ่ามือกระชับมีดแน่น ดูท่าจะไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องออกโรงเพื่อวัดพลังฝีมือของย่าเฟิงคนนี้ด้วยตนเองเสียแล้ว!
ฉีหลิงเยว่พยักหน้าทั้งน้ำตา แม้ว่าไป๋หลี่เย่จะเป็นถึงองค์รัชทายาทแห่งจักรวรรดิตงหลี่ ทั้งยังควบตำแหน่งชายที่หล่อเหลาที่สุด แต่ในสายตาของนางแล้ว อีกฝ่ายกลับไม่มีความหมายใดเลย และนางเองก็ไม่ต้องฟื้นฟูจักรวรรดิของตนเองกลับมาเช่นกัน ทั้งหมดที่ต้องมาเข้าเรียนสถาศึกษาเซิงหลิงแห่งนี้ ล้วนเป็นเพราะนางถูกย่าเฟิงพยายามโน้มน้าวชักชวนอยู่นาน
ฉีหมิงเยว่มิได้จงเกลียดจงชังจักรวรรดิหรูหรานที่ตนเองเกิดมา เพียงแต่ไม่ต้องการฟื้นฟูจักรวรรดิที่ล้มสลายให้กลับมาแล้วเท่านั้น เนื่องจากเมื่อใดที่จักรวรรดิกลับมาสู่สภาพเดิมได้สำเร็จ สักวันจะต้องเกิดสงครามนองเลือดครั้งใหญ่อีกครั้ง และนางไม่อยากพบเห็นภาพฉากเหล่านั้นอีกแล้ว
ย่าเฟิงมองไปยังฉีหมิงเยว่ที่ร้องห่มร้องไห้จนตาบวมแดง สุดท้ายก็ได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยสีหน้าโศกเศร้า โอบกอดนางไว้ในอ้อมแขน ยกเรียวนิ้วเหี่ยวย้นที่สั่นเทิ่มขึ้นมาเช็ดน้ำตาที่ไหลรินออกมาจากดวงตาคู่สวยของอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบา
ส่งยิ้มแสนอบอุ่นกล่าวด้วยความรักใคร่ขึ้นว่า
“เสี่ยวเยว่ ย่าเฟิงคนนี้เห็นว่า สิ่งนี้เป็นหนทางเดียวแล้วจริงๆที่จะทำให้เจ้ามีชีวิตที่สุขสบายในอนาคต นี่เองก็ไม่รู้ว่าไม้ใกล้ฝังอย่างข้าจะมีชีวิตอยู่อีกได้เท่าใด ขอเพียงก่อนตาย อยากจะเห็นเจ้านั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรในบ้านเกิดของเราอีกครั้งก็เท่านั้น”
ฉีหมิงเยว่ซบศีรษะลงบนอ้อมอกของย่าเฟิงและร้องไห้ออกมาอีกครา
ไม่คิดไม่ฝันเลยว่า ฉีหมิงเยว่ที่มักจะดูเป็นผู้หญิงอ่อนโยนและอ่อนไหวง่าย เบื้องหลังของนางจะแบกรับภาระที่หนักอึ้งกว่าที่คิดไว้มาก การจะกอบกู้จักรวรรดิกลับมาให้รุ่งเรืองอีกครั้ง มันไม่ใช่และไม่ใกล้เคียงกับคำว่า เรื่องง่าย เลยสักนิด เซียถงที่ได้ยินสิ่งเหล่านี้ถึงกับย้อนกลับมาถามตัวเองเช่นกันว่า หากเป็นนาง ตัวนางจะสามารถทำได้หรือไม่? ยังจะเข้มแข็งอย่างที่ฉีหมิงเยว่เป็นอยู่อย่างทุกวันนี้หรือไม่?
ฉีหมิงเยว่ร้องห่มร้องไห้เป็นเวลาครู่ใหญ่ในอ้อมกอดของย่าเฟิง ก่อนที่จะหยุดร้องในที่สุด นางเงยหน้ามองย่าเฟิงและกล่าวว่า
“ย่าเฟิง ช่วยร้องเพลงกล่อมเด็กให้ข้าฟังหน่อย ข้าไม่ได้ยินท่านร้องมาแสนนานแล้ว”
ย่าเฟิงพยักหน้าพร้อมใบหน้าที่ยิ้มแย้ม จากนั้นก็ประคองร่างของนางนอนแผ่ลงบนพื้นหญ้า ช่วงศีรษะนอนอิงบนตัก ตบไหล่ของอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบา จากนั้นก็ร้องเพลงกล่อมเด็กออกมาน้ำเสียงนุ่มนวลแสนไพเราะ
ท่ามกลางบรรยากาศอันเงียบสงัดกลางป่าสนในยามรัตติกาล ทำนองของเพลงกล่อมเด็กแพร่กระจายไปรอบบริเวณอย่างรวดเร็ว เฉกเช่นเดียวกับน้ำเสียงขับร้องที่แสนอ่อนโยน มือข้างขวาที่กระชับจับมีดสั้นพลันคลายอ่อนลงเช่นกัน เสมือนบทเพลงนี้ช่วยจรรโลงบาดแผลภายในใจของฉีหมิงเยว่ให้บรรเทา ความคิดที่จะลงมือของเซียถงเองก็เช่นกัน
จ้องมองหนึ่งหญิงชราและหนึ่งหญิงสาวภายใต้แสงจันทราและบทเพลงขับกล่อม เซียถงเก็บมีดสั้นในมือลงและจากออกไปอย่างเงียบงัน
เซียถงกลับมาที่สถานศึกษาเซิงหลิงและแอบย่องเข้าไปในห้องหลอมกลั่นโอสถดังเดิม เพื่อจะใช้สมุนไพรในห้องมาขัดเกลาฝีมือหลอมกลั่น นางจำเป็นต้องหลอมกลั่นโอสถที่ช่วยยกระดับความแข็งแกร่งให้แก่เซี่ยหลู่เฟิงโดยเร็วที่สุด ยามนี้ระดับพลังลมปราณของเขาอยู่ที่ขอบเขตเสาหลักเขียวชั้นสูงสุด และจำเป็นจะต้องใช้โอสถทองคำหรือก็คือโอสถระดับสามขึ้นไป ถึงจะสามารถยกระดับความแข็งแกร่งให้เหนือชั้นขึ้นอีกขั้นได้ โอสถที่มีระดับชั้นต่ำกว่านั้น ต่อให้กินมากเท่าไหร่ก็ไม่มีผล
ซึ่งโอสถทองคำหรือโอสถระดับสาม มีเพียงนักหลอมโอสถระดับชั้น ปราชญ์โอสถขึ้นไปเท่านั้นที่สามารถหลอมสร้างขึ้นมาได้ สำหรับเซียถงที่เพิ่งบรรลุนักโอสถสามัญได้หมาดๆ หนทางยังอีกยาวไกลนักกว่านะไต่เต้าไปถึงชื่อชั้น‘ปราชญ์โอสถ’ ดังนั้น นางจำต้องพยายามมากกว่าคนอื่นเป็นสองเท่าทวี
ในยามรุ่งสาง เซียถงหลอมกลั่นโอสถระดับสามครึ่งขั้นได้สี่เม็ด แต่โอสถพวกนี้ล้วนด้อยประสิทธิภาพทั้งสิ้น นางยังไม่สามารถหลอมกลั่นโอสถจนให้ผิวเนื้อโอสถขึ้นกลายเป็นสีทองได้ ตามชื่อโอสถทองคำหรือโอสถระดับสาม การจะพิสูจน์ว่า โอสถเม็ดนั้นๆสามารถย่างเท้าก้าวเข้าสู่ระดับสามได้อย่างเต็มตัว ต้องดูจากผิวเนื้อของโอสถว่าสัตถุดิบทั้งหมดผสมกันได้สมบูรณ์แบบจนขึ้นเนื้อทองหรือไม่ หากยังไม่สามารถหลอมกลั่นจนทำให้โอสถขึ้นสีทองคำได้ นั่นถือว่าไม่ใช่โอสถระดับสามอย่างแท้จริง และนั่นจะถูกเรียกว่า โอสถระดับสามครึ่งขั้นแทน
แต่ถึงแบบนั้น การที่นางสามารถหลอมกลั่นโอสถระดับสามได้บ้างแล้ว นี่เป็นสิ่งยืนยันได้ว่า ระดับพลังฝีมือหลอมกลั่นโอสถของนางน่าจะอยู่ในจุดสูงสุดแห่งนักโอสถสามัญแล้ว และบางทีนางอาจจะทะลวงขึ้นกลายเป็นราชาโอสถได้โดยตรงในการฝึกปรือครั้งต่อไป
หยิบโอสถระดับสามครึ่งขั้นทั้งสี่เม็ดใส่กระเป๋าเสื้อผ้า เซียถงเดินตรงไปที่ร้านขายโอสถต่อเป็นสถานที่ถัดไปเพื่อขายพวกมัน ซึ่งแต่ละเม็ดนางขายได้ในราคาสามสิบเหรียญทอง เท่ากับว่าในรอบนี้นางได้เงินมาทั้งหมดร้อยยี่สิบเหรียญทองถ้วน บวกกับอีกเหรียญทองจำนวนสิบกว่าเหรียญของเดิมก่อนหน้า เซียถงลองคำนวณอยู่สักพักหนึ่ง ก็ตัดสินใจว่าจะเก็บเงินไว้เพียงจำนวนห้าสิบเหรียญทองติดตัวไว้ ส่วนที่เหลือจะมอบให้ฮูหยินหลี่กับอิ๋งเอ๋อร์ไว้ใช้จ่ายส่วนตัว
พอเห็นฮูหยินหลี่เบิกตาโตเท่าไข่ห่านด้วยความตกใจ เซียถงยังคงใช้ไม้เดิมก็คือ สร้างเหตุผลหลอกๆถึงที่มาของเงินเหล่านี้
หลังออกจากเรือนพักของฮูหยินหลี่มา เซียถงก็กลับมายังเรือนพักของนาง ปลุกให้อิ๋งเอ๋อร์ตื่น และมอบเงินจำนวนห้าสิบเหรียญทองให้แก่นาง
อิ๋งเอ๋อร์ถึงกับตาเหลือก จับจ้องเหรียญทองกองโตบนโต๊ะเบื้องหน้า ขยี้ตาอยู่หลายคราก่อนจะอุทานลั่น ร้องถามด้วยความตกใจว่า
“คุณหนู นี่ท่านไปขโมยเหรียญทองมาจากไหนเยอะแยะเจ้าค่ะ?!”
“ข้าล้วนหามาเองทั้งหมด เหรียญทองทั้งหมดบนโต๊ะเป็นของเจ้า หากต้องการซื้ออะไร วันหลังไม่ต้องบอกข้าแล้ว ให้นำเงินจำนวนนี้ไปซื้อได้ตามต้องการเลย”
เซียถงกล่าวอย่างใจกว้าง ไม่มีความตระหนี่เห็นแก่ตัวเลยสักนิด
ตลอดเวลาที่ผ่านมา ต้องยอมรับเลยว่า อิ๋งเอ๋อร์เป็นคนเดียวไม่เคยทอดทิ้งนางไปไหน และยังพยายามและทุ่มเทอย่างหนักเพื่อตัวนางเอง ในเมื่อตอนนี้เซียถงมีเงินแล้ว มีหรือที่จะลืมอีกฝ่ายไปได้?
เบิกตามองกองเหรียญสีทองอร่ามที่อยู่ต่อหน้า พอได้ฟังที่คุณหนูของนางกล่าวไปยิ่งตกตะลึงเข้าไปใหญ่ ที่คุณหนูกล่าวไปหมายความว่าอย่างไรกันแน่? ดหรียญทองทั้งหมดนี้เป็นของข้า? สามารถซื้ออะไรก็ได้ตามต้องการ?
“คุณหนู แต่นี่มันมากเกินไป ข้ารับไม่ได้จริงๆ”
อิ๋งเอ๋อร์ผลักกองเหรียญทองเหล่านั้นกลับไปทางเซียถง ส่ายหน้าปฏิเสธๆไป
“เหรียญทองพวกนี้เป็นของเจ้าแล้ว หากต้องการสิ่งใดก็จงใช้เงินพวกนี้ซื้อมาเถิด”
เซียถงยังคงกล่าวย้ำคำเดิม