ตอนที่123 ปรมาจารย์เสวี่ย (2)
ไป๋หลี่เย่เข้าใจความหมายในคำกล่าวนั้นทันทวัน ได้แต่กัดฟันกรอดทำใจยอมรับแต่โดยดี คล้อยหลังจ้องตาเซียถงเขม็งชุดใหญ่ เขาก็สะบัดแขนเสื้อยาวเหวี่ยงฟาดกลางอากาศอย่างสุดจะฉุนเฉียว และจากออกไปโดยตรง
ในวันต่อมา ไป๋หลี่เย่จงใจสร้างปัญหาให้เซียถง หวังจะทำให้นางโกรธและขายหน้ายกใหญ่ แต่ทว่าเซียถงกลับรับมือและแก้ไขตอบกลับไปได้ดีเยี่ยมโดยไม่ต้องใช้กำลังใดๆ แถมยังไล่ให้ไป๋หลี่เย่ต้องรีบหนีไปด้วยความอับอายแทน เบื้องหลังของมันมีปรมาจารย์ขอบเขตราชันย์ม่วงคอยอารักขาอยู่ ดังนั้นแล้่ว นางไม่โง่พอที่จะหาเรื่องกับปากกระบอกปืน
คืนจันทร์เต็มดวงกำลังใกล้เข้ามาแล้ว และค่ำคืนในวันนี้ยังเป็นค่ำคืนแห่งสัญญานัดพบกันระหว่างเซียถงกับชายลึกลับสวมหน้ากากคลื่นลายเมฆาเช่นกัน ทันทีที่ตกกลางคืน เซียถงเปลี่ยนชุดเสื้อผ้าและใช้น้ำสะอาดลบเลือนจุดด่างดำที่แต่งแต้มบนใบหน้าทิ้งจนเกลี้ยงเกลา เดินตรงเข้าป่าสนไปยังทิศทางถ้ำลึกลับ ยืนอยู่หน้าทางเข้าปากถ้ำขนาดเท่าคนหนึ่งพอดี
“นายท่าน มิใช่ว่าท่านมาที่นี่เพราะมีนัดสัญญากับชายลึกลับผู้นั้น หรือจงใจจะพลาดนัดเสียแล้ว?”
เสี่ยวฮั่วเปล่งเสียงเอ่ยถามขึ้นภายในใจ
จู่ๆ เซียถงก็จำนนต้องเอ่ยปากรับคำสัญญาจากชายลึกลับผู้นั้น แต่ค่ำคืนที่นัดกันดันมาตรงกับคืนที่จันทร์เต็มดวงเสียได้ สิ่งนี้ทำเอานางบ่นไม่หยุดปากตั้งแต่ก่่อนจะออกมาแล้ว หากพลาดวันนี้ไป มิใช่ว่านางจะต้องทนทุกข์ทรมานรอคอยไปอีกตั้งหนึ่งเดือนเต็มหรอกรึ?
“นายท่าน ชายคนนั้นเคยช่วยชีวิตท่านเอาไว้ จะอย่างไรก็ไม่ควรผิดคำสัญญา”
เสี่ยวฮั่วสัมผัสได้ว่า เจ้านายของมันกำลังครุ่นคิดสิ่งใดอยู่ จึงเอ่ยดักทางขึ้นมา
“เสี่ยวฮั่ว หรือเจ้าไม่กล้าเข้าไปในถ้ำ?”
เซียถงเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย เพราะเท่าที่สังเกตดู เจ้าวิญญาณดวงน้อยตนนี้มักจะหาเหตุผลต่างๆ นานาเพื่อที่จะลากนางออกมาให้ห่างจากที่นี่ เห็นได้ชัดว่ามันไม่ต้องการจะเข้าไป เสี่ยวฮั่วมิน่าจะกลัวของวิเศษภายในถ้ำ แต่อาจเกรงกลัวต่อแขกไม่ได้รับเชิญอย่าง เย่หลีเทียนมากกว่า
“ไม่มีทาง! ข้าผู้นี้รึจะเกรงกลัวต่อสิ่งใด!!”
ถึงเสี่ยวฮั่วจะเอ่ยปากลั่นคำรามเสียงดัง แต่เซียถงย่อมสังเกตเห็นได้ไม่ยากถึงกลุ่มแสงสีม่วงที่หดตัวลงโดยฉับพลันภายในห้วงความคิดของนาง
เจ้าวิญญาณตัวน้อยตนนี้กำลังกลัวอยู่จริงๆ เพียงว่าตัวมันไม่ยอมรับก็เท่านั้น
“เจ้าไม่ต้องกลัวไป ทันทีที่บ่อน้ำตกปรากฏขึ้น ข้าจะรีบเสาะหากระบี่เล่มนั้นและจากไปโดยไว”
เซียถงกล่าว
กลุ่มแสงสีม่วงในห้วงความคิดของเซียถงพลันหดเล็กลงอีกครา คล้อยหลังรวนเรดิ้นรนกับตัวเองอยู่ครู่หนึ่ง เสี่ยวฮั่วก็เอ่ยเสียงอ่อนขึ้นว่า
“นายท่าน เชื่อข้าเถิด ลองไปหาชายผู้นั้นและคุยกับเขาดูก่อน มีเขาเป็นแรงหนุนช่วยเสาะหากระบี่ทัณฑ์ฟ้าอีกแรง ถือเป็นเรื่องดีกว่า มิฉะนั้น หากบังเอิญไปพานพบกับเย่หลีเทียนอีกสักหน เกรงว่าคราวนี้ท่านเตรียมตายอนาถได้เลย”
“ไม่ได้ กระบี่เล่มนี้เป็นถึงยุทธ์ภัณฑ์ศักดิ์สิทธิ์ ยิ่งมีคนรู้เรื่องน้อยเท่าไหร่ก็ยิ่งปลอดภัยต่อตัวเรามากเท่านั้น นอกจากนี้ ข้าไม่มีทางเข้าปะทะเย่หลีเทียนแน่นอน และถึงคราวต้องเจอจริงๆ ข้าก็พอมีแผนการรับมือไว้แล้ว”
เซียถงตอบปฏิเสธทันที ในความเห็นของนาง ไม่มีอะไรสามารถรับประกันได้เลยว่า หลังจากที่นางได้รับกระบี่ทัฯฑ์ฟ้ามาครอบครองแล้ว ชายลึกลับคนนั้นจะไม่ลอบแทงข้างหลังนางเพื่อแย่งชิงมาอีกที
“แล้วมีแผนการอย่างไร ไหนลองว่ามาสินายท่าน? เผชิญหน้ากับผู้ใช้วิชามารนอกรีตอย่างวรยุทธเก้าราตรี ท่านในตอนนี้ไม่มีทางสํู้รบประมือกับมันได้เลย ยิ่งไปกว่านั้น วรยุทธเก้าราตรีจะแกร่งกล้าเป็นพิเศษในยามจันทร์เต็มดวง ต่อให้เป็นปรมาจารย์ราชันย์ม่วงยังรับมือแทบไม่ไหว หากพบเจอกับเย่หลีเทียนคราวนี้ มีหวังมันดูดเดือดท่านจนเนื้อตัวสะอาดเกลี้ยงเกลาแน่นอน”
“ครั้งสุดท้ายที่เจอกัน ท่านเองก็เห็นศพหญิงสาวนางนั้นมิใช่รึ? ร่างกายระเบิดเป็นเศษเนื้อชิ้นเล็กชิ้นน้อย หรือท่านอยากมีสภาพแบบนั้น?”
“แล้วก็…”
“เข้าใจแล้ว! เข้าใจแล้ว! ตอนนี้ยังมีเวลาก่อนจันทร์เต็มดวงโดยสมบูรณ์ ข้าจะไปทำตามสัญญาของชายผู้นั้นก่อน!”
เซียถงรีบเอ่ยปาก ขัดจังหวะคำข่มขู่ไม่รู้จักจบจักสิ้นของเสี่ยวฮั่วทันทีด้วยความรำคาญ
เมื่อเดินทางไปถึงจุดนัดพบซึ่งเป็นบริเวณที่พบเจอกับชายลึกลับคนนั้นในครั้นล่าสุด นางก็สังเกตเห็นเงาร่างหนึ่งทะยานเหาะเหินตรงเข้ามาจากทิศทางสถานศึกษา เสียงสายลมยามราตรีชักนำดังวูบวาบ เพียงเสี้ยวพริบตาต่อมา ร่างของอีกฝ่ายก็ปรากฏถึงเบื้องหน้า เส้นผมยาวสลวยของเขาปลิวไสว วันนี้สวมหน้ากากครึ่งท่อนเผยให้เห็นริมฝีปากเป็นประกายระยิบระยับ ความสง่างดงามยากเกินจะอธิบายได้อย่างแท้จริง
เมื่อเห็นร่างสูงโปร่งเป็นสง่าของบุรุษชายย่างเท้าก้าวเข้ามา ท่ามกลางแสงจันทร์สว่างไสว เซียถงก็สังเกตเห็นมุมปากของอีกฝ่ายที่กระตุกยกยิ้มขึ้นบางๆ
สายตาคู่นั้นของเขาหยุดนิ่งอยู้่ที่ร่างของเซียถง ไม่มีทีท่าเคลื่อนขยับไปไหน
เซียถงที่โดนอีกฝ่ายจับจ้องไม่คลายอ่อนเช่นนี้ ก็เริ่มรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย กระแอมไอไปทีสองท เอ่ยถามขึ้นว่า
“ครั้งสุดท้ายที่เจอกัน เจ้ายังไม่ได้บอกข้าเลยว่า ต้องการให้ข้าทำสิ่งใดเป็นการชดใช้?”
“ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใด เจ้าสามารถชดใช้คืนได้หรือไม่?”
เสียงกระแอมไอของเซียถงได้ปลุกชายคนนั้นให้ตื่นจากภวังค์ กะพริบตาปริบไปทีหนึ่ง เอ่ยน้ำเสียงวาจาส่อไปทางไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก
“ไม่ได้แน่นอน”
เซียถงลืมตาขึ้นมองอีกฝ่าย กล่าวต่อว่า
“หากเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ก็ลืมมันไปเถอะ”
คาดไม่ถึงเลยว่า เซียถงจะกล้าปฏิเสธบอกปัดไปตามตรง สีหน้าของชายลึกลับคนนั้นเผยแววตะลึงออกมาเล็กน้อย เขาคลี่ยิ้มบางกล่าวว่า
“เจ้าคงทราบว่าเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่ ดูท่าเจ้าเองก็รู้จักตัวข้่าดีเกินไป”
“อย่าเสียเวลาเล่นต่อคำวาจากำกวมกับข้า ข้ามิได้ว่างขนาดนั้น รีบบอกมาว่าให้ข้าชดใช้บุณคุณเจ้าอย่างไร?”
เซียถงเงยหน้าสบสายตาอีกฝ่ายโดยตรง ตัดบทกล่าวเข้าเรื่องตามตรงโดยไม่สนใจเลยว่าอีกฝ่ายจะมีสีหน้าหรือความรู้สึกอย่างไรในขณะนี้ ตั้งแต่ยุคไหนสมัยไหนแล้วที่ผู้ชายชอบพูดจาสองแง่สองง่ามหวังรุกจีบ ทันทีที่เซียถงได้ยินน้ำเสียงที่ฟังดูคลุมเครือของอีกฝ่าย นางก็เดาได้ทันทีว่า ในหัวของชายคนนี้กำลังคิดอะไรอยู่
“ฮ่าฮ่า”
ชายผู้นั้นหัวเราะคิกคักเสียงเบา แต่เขาก็ยังไม่พูดอะไร มันเป็นอะไรที่น่าสนใจอย่างยิ่งที่หญิงสาวนางนี้กล้าปฏิเสธตนอย่างตรงไปตรงมา ตัดบทกันได้เฉียบขาดปราศจากความเกรงกลัวใดๆ อย่างไรก็ตาม ทันทีที่สังเกตเห็นสีหน้าอันเย็นชาของเซียถง เขาเองก็พึงตระหนักทราบทันทีว่า อีกฝ่ายไม่เล่นด้วย จึงเลิกแสดงท่าทีตลกขบขันลง และกล่าวน้ำเสียงจริงจังขึ้นแทนว่า
“ข้าต้องการให้เจ้าช่วยตามหาใบหญ้าเงิน”
ใบหญ้าเงิน? ชายผู้นี้ทราบได้อย่างไรว่า นางมีคุณสมบัติธาตุไม้ภายในกาย?
ทันทีทันใด รัศมีจิตสังหารขุมหนึ่งพลันเล็ดลอดออกมาจากร่างกายของเซียถง คู่เท้าไสววูบ เร่งตีระยะออกห่างจากชายผู้นั้นหลายสิบก้าว ยามนี้นางยืนห่างจากอีกฝ่ายค่อนข้างไกลระดับหนึ่ง หยิบมีดสั้นขึ้นมาจับกระชับแน่น เพ่งสายตาเย็นเยียบมองชายผู้นั้นท่ามกลางแสงจันทร์สว่าง นางเค้นเสียงเย็นเปล่งขึ้นมาคำหนึ่งว่า
“เจ้าเป็นใครกันแน่? รู้ได้อย่างไรว่า ข้าสามารถเสาะหาใบหญ้าเงินได้?”