ตอนที่200 เพลิงพิภพเก้าดุษณี
“แล้วองค์รัชทายาทมั่นใจได้อย่างไร?”
ซือโม่เอ่ยถามปั้นหน้าชวนฉงนใจ ดูผิวเผินแล้ว เจ้าหนูคนเมื่อครู่หาใช่คนดีอะไรเลย ทั้งยังมีพฤติกรรมแปลกๆ แล้วองค์รัชทายาทใช้เกณฑ์อันใดในการตัดสินใจว่าอีกฝ่ายมิได้โกหก?
เฉียนอวิ๋งคลี่ยิ้มเล็กน้อย และหันมากล่าวกับเขาว่า
“เด็กคนเมื่อครู่ไม่ใช่คนธรรมดา…”
แต่ยังไม่ทันกล่าวจบ สุ้มเสียงของเฉียนอวิ๋งพลันหยุดชะงักลง ดวงตาคู่นั้นกวาดออกไปทางฝูงชนที่พลุกพล่านก็บังเกิดความประหลาดใจแวบหนึ่ง มีหญิงสาวนางหนึ่งที่ดูโดดเด่นออกนอกหน้าบรรดาฝูงชนทั้งหลาย นางเป็นคนเย็นชาจนผู้คนรอบข้างสามารถสัมผัสได้ชัดแจ้ง วันนี้มาในชุดแพรพรรณสีขาวสะอาด
และพอสังเกตให้ดีจะเห็นจุดด่างดำทั่วทั้งบริเวณใบหน้า ทำให้นางดูน่าเกลียดน่ากลัวยิ่งยวด และนี่ก็มิใช่ใครอื่นนอกเสียจาก คนที่เคยแลกเปลี่ยนหญ้าเพลิงเมฆากับกระบี่ของซือโม่เมื่อวานนี้
เซียถงยังคงย่างก้าวเดินอยู่บนท้องถนนต่อไปโดยไม่แยแส ถึงแม้จะรู้สึกถึงสายตาคู่นั้นของเฉียนอวิ๋งที่กำลังจับจ้องมอง ทว่านางกลับหาได้สนใจไม่เลย
“องค์รัชทยาท นังอัปลักษณ์คนนั้น…ใช่คนเดียวกับที่หลอกพวกเราเมื่อวานนี้มิใช่รึ!? ให้ข้าบุกไปจับตัวมาเลยหรือไม่?”
ซือโม่ทอดสายตาติดตามก็ค้นพบเซียถงอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล แลนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวานที่อีกฝ่ายล่อลวง นำหญ้าเพลิงเมฆาที่มีปัญหามาแลกเปลี่ยนกับกระบี่คู่กายของเขา จนสร้างความเข้าใจผิดให้แก่ไป๋หลี่อวี๋อิง ดังนั้นแล้ว พอเห็นหน้าอีกฝ่ายจึงรู้สึกเดือดดาลขึ้นทันใด
เมื่อคืนก่อนหลังจากที่ทั้งคู่กลับเข้าวังหลวง ก็ถูกฝ่าบาทแห่งตงหลี่เรียกไปเข้าเฝ้าและเล่าถึงเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับไป๋หลี่อวี๋อิง เฉพาะชั่วอึดใจนั้น ทั้งเฉียนอวิ๋งและซือโม่ต่างรู้แจ้งในทันใดว่า สาเหตุทั้งหมดมาจากหญ้าเพลิงเมฆาของเซียถง ส่งผลให้สภาพบาดแผลบนแผ่นหลังของไป๋หลี่อวี๋อิงแย่ลง
อย่างไรก็ตาม เฉียนอวิ๋งเองก็ได้รู้ซึ้งถึงความสันดานเสียของไป๋หลี่อวี๋อิงแล้วเช่นกัน จึงไม่ค่อยแปลกใจเท่าไหร่นักว่า ทำไมเซียถงถึงต้องทำแบบนี้ ในทางตรงกันข้าม เขากลับรู้สึกเห็นใจนางไม่น้อย ไป๋หลี่อวี๋อิงจะต้องก่อเรื่องกับนางมากขนาดไหนถึงขั้นที่หญิงหน้าตาอัปลักษณ์คนนั้น ต้องยอมลงทุนหญ้าเพลิงเมฆาอันแสนสำคัญไปทำให้มีปัญหา และหลอกมาแลกเปลี่ยนกับเขา
ดังนั้น พอฝ่าบาทแห่งตงหลี่พยายามสืบสาวถึงลักษณ์รูปร่างหน้าตาของหญิงสาวคนนั้น เฉียนอวิ๋งจึงตอบไปว่า เป็นหญิงสาวนางหนึ่งที่มีใบหน้าค่อนข้างสวย หรือก็คือแอบช่วยเซียถงมิให้ต้องเดือดร้อนในภายหลัง
“ลืมไปมันเถอะ ปล่อยอดีตให้ผ่านไป หลังจากนี้พวกเราก็ไม่มีธุระอันใดต้องทำต่อแล้ว กลับไปพักผ่อนอยู่เฉยๆ อย่าได้สร้างปัญหาเพิ่มอีกเลย”
เฉียนอวิ๋งโบกมือปัดอย่างไม่ใส่ใจนัก
แรงโทสะที่แผ่ซ่านออกมาจากดวงตาของซือโม่ถูกถอดถอนออกจากร่างของเซียถงจากระยะไกลทันที กลับเข้าเรื่องเดิมที่พูดคุยกันค้างไว้ ระดมสมองพยายามครุ่นคิดอยู่นาน และสุดท้ายก็เอ่ยถามอีกคราว่า
“องค์รัชทยาท บนร่างกายของเจ้าหนูคนเมื่อครู่ปราศจากกลิ่นอายความแกร่งกล้าใดๆ แล้วไฉนถึงบอกว่า เขาไม่ใช่คนธรรมดา?”
“ข้าแค่คาดเดาเท่านั้น”
เฉียนอวิ๋นกล่าวตอบกลับไปสั้นๆ ตามที่ตนรู้สึก จากนั้นก็พาซือโม่เดินออกมาจากตรอก แทรกซึมเข้าไปในธารฝูงชนบนถนนสายนั้นที่กำลังคิกคัก สักครู่หนึ่งจึงกล่าวว่า
“จะว่าไปแล้วจือโม่ พวกเราเดินเล่นในเมืองเฟิงหลี่สักรอบค่อยกลับเถอะ”
พอเซียถงเห็นว่าหลิวซูได้สมุนไพรเหล่านั้นมาแล้ว นางก็เดินทางกลับสู่จวนเสนาบดีเซี่ยทันที เดินผ่านลานกว้างน้อยๆ หน้าเรือนพัก ถึงห้องก็ปิดประตูให้สนิท แล้วค่อยเรียกหลิวซูออกมาผ่านความนึกคิด
ทันทีที่หลิวซูปรากฏตัวขึ้น มันก็โยนสมุนไพรวัตถุดิบเหล่านั้นออกมาจากมือ กองไว้อยู่ตรงหน้าเซียถง
“นี่เป็นสมุนไพรทั้งหมดที่สองคนนั้นมอบให้ พวกเขาต้องการให้เจ้าหลอมกลั่นโอสถเก้าทองคำ”
“โอสถเก้าทองคำ?”
ได้ยินเช่นนั้น เซียถงอดขมวดคิ้วมิได้ เพราะโอสถเก้าทองคำมีเพียงระดับราชาโอสถชั้นกลางขึ้นไปเท่านั้นที่มีจะสามารถหลอมกลั่นได้
บัดซบ! นี่มันเกินขีดจำกัดความสามารถของนางไปจริงๆ
เรียงสมุนไพรทีละต้นวางไว้บนโต๊ะเรียงราย บางชนิดเป็นสมุนไพรหายากและค่อนข้างมีราคาที่สูงมาก หากหลอมกลั่นประสบความล้มเหลว นางไม่มีปัญญาชดเชยด้วยซ้ำ คล้อยหลังครุ่นพินิจอยู่นาน เกรงว่าสุดท้ายจำต้องขอความช่วยเหลือจากเสี่ยวฮั่วเสียแล้ว
“เสี่ยวฮั่ว ข้าพอจะมีวิธีหลอมกลั่นโอสถเก้าทองคำได้หรือไม่?”
“นายท่านโปรดฟัง คราวหน้าคราวหลังก่อนจะตกปากรับคำใคร ท่านควรสอบถามรายละเอียดให้ชัดแจ้ง นี่ยังโชคดีที่อีกฝ่ายต้องการแค่โอสถเก้าทองคำ”
เสี่ยวฮั่วกล่าวตำหนิแทน
เซียถงยังคงปิดปากเงียบไม่พูดอะไร เพียงรอฟังประโยคต่อไปเท่านั้น เพราะการที่เสี่ยวฮั่วกล่าวออกมาเช่นนี้ นั่นแสดงว่า นางยังพอมีความหวังหลงเหลืออยู่บ้างสำหรับหลอมกลั่นโอสถเก้าทองคำ
“นายท่าน หากต้องการหลอมกลั่นโอสถเก้าทองคำจริงๆ นี่หาใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เพียงจำเป็นต้องหาเพลิงพิภพเก้าดุษณีมาใช้งาน”
เสี่ยวฮั่วกล่าวอธิบาย
“เพลิงพิภพเก้าดุษณี?”
เซียถงย่นคิ้วขมวดทันที
“เพลิงพิภพเก้าดุษณี เป็นไฟวิเศษที่ถือกำเนิดจากก้นภูเขาไฟลึก ตราบเท่าที่ท่านได้เพลิงพิภพเก้าดุณณีมาครอบครอง ความสามารถของท่านในเส้นทางหลอมกลั่นโอสถจะสูงขึ้นเป็นหลายเท่าทวีทันตาเห็น!”
เสี่ยวฮั่วกล่าว
“ขนาดนั้นเชียวรึ?”
“ถูกต้องแล้วนายท่าน ระดับความร้อนของธาตุไฟในร่างกายระหว่างราชาโอสถชั้นต้นและชั้นกลางค่อนข้างกว้างใหญ่ไพศาล ซึ่งยิ่งเป็นโอกาสระดับชั้นสูงเท่าไหร่ยิ่งจำเป็นจะต้องใช้ความร้อนจากไฟในการหลอมกลั่นมากขึ้นเท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับโอสถที่มีความยุ่งยากซับซ้อน เฉกเช่น โอสถเก้าทองคำ ในแง่ของฝีมือท่านผ่านคุณสมบัติ แต่ในแง่ของอุณหภูมิของธาตุไฟในกายท่านยังอ่อนเกินไป แต่หากได้รับเพลิงพิภพเก้าดุษณีมาใช้งาน การจะหลอมกลั่นโอสถเก้าทองคำกลับไม่มีปัญหาเลย”
“แล้วข้าจะไปเอาเพลิงพิภพเก้าดุษณีมาจากไหน?”
น้ำเสียงของเซียถงฟังดูลึกล้ำขึ้นทันตา นางเอ่ยถามพร้อมสีหน้าจริงจังขึ้นหลายส่วน เพราะสมบัติดีๆ ล้วนยากที่จะได้มาเสมอ
“เพลิงพิภพเก้าดุษณีน่าจะได้รับการคุ้มกันอย่างดีจากมังกรบรรพกาลตนหนึ่ง คงหาใช่เรื่องง่ายเลยที่จะนำมันมา”
เสี่ยวฮั่วกล่าวอธิบายขึ้นอีกครั้ง
“ข้าแนะนำให้เจ้าไปหาวิธีอื่นดีกว่า มังกรเฒ่าตัวนั้นที่คอยเฝ้าพิทักษ์เพลิงพิภพเก้าดุษณีทรงพลังเกินจินตนาการนัก”
แต่ทันใดนั้นเอง หลิวซูก็เอ่ยปากแทรกขึ้นมา
“เจ้าเองก็รู้จักเพลิงพิภพเก้าดุษณีด้วยรึ?”
แม้กระทั่งหลิวซูยังทราบถึงการมีอยู่ของเพลิงพิภพเก้าดุษณี แสดงว่าไฟวิเศษชนิดนี้น่าจะมีประวัติมายาวนานมากแล้ว กล่าวกันว่า ของวิเศษฟ้าดินบนพิภพ ยิ่งมีอายุเท่าไหร่ก็ยิ่งทรงพลังเหนือฝันมากขึ้นเท่านั้น พอเซียถงได้ยินแบบนั้นก็เริ่มปรารถนาอยากได้มันขึ้นมาจริงๆ แล้ว
เพลิงพิภพเก้าดุษณีงั้นรึ? ข้าสนใจ!
“แน่นอนว่าต้องรู้จัก”
หลิวซูพยักหน้าตอบอย่างเมินเฉย
“เช่นนั้น พวกเราออกไปตามล่าเพลิงพิภพเก้าดุษณีกันเถอะ!”
เซียถงเปล่งเสียงดังขับขานหนักแน่น
“นายท่าน ข้าแนะนำให้ท่านหาผู้ช่วยที่คอยติดตามไปด้วยสักสองคน มิฉะนั้นท่านไม่มีทางได้มันมาครองแน่”
เสี่ยวฮั่วกล่าวแนะนำด้วยความเป็นห่วง
ผู้ช่วยที่คอยติดตาม?
เสี้ยวความคิดแรกที่เซียถงนึกขึ้นได้ก็หาใช่ใครอื่น นอกเสียจาก อาหาน เพราะชายคนนี้เป็นบุคคลที่ทรงพลังยิ่งยวด และยิ่งไปกว่า หากนางเอ่ยปากขอความช่วยเหลือจากอีกฝ่าย ก็น่าจะไม่ใช่เรื่องยากเย็นอันใด แต่ปัญหามันอยู่แค่…นางไม่รู้ว่าอีกฝ่ายอยู่แห่งหนใด? และที่สำคัญที่สุดคือ นางค่อนข้างเกรงใจอีกฝ่ายมิใช่น้อย กี่ครั้งแล้วที่เคยติดหนี้บุญคุณเขา