ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง – ตอนที่ 220 อดีตของหยุนซี (2)

ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง

ตอนที่220 อดีตของหยุนซี (2)

เซียถงพยักหน้ากล่าวว่า

“อืม แต่นี่หาใช่สิ่งที่จะเร่งรีบกันได้ ศิษย์จะพยายามคิดหาทางปรับแต่งสูตรโอสถใหม่ระหว่างช่วงงานประลองสี่จักรวรรดิ”

นางจำเป็นต้องปรึกษากับเสี่ยวฮั่วเกี่ยวกับเรื่องการปรีบแต่งสูตรโอสถอีกที ตอนนี้ตัวเซียถงแทบจะไม่ค่อยมีความมั่นใจเท่าไหร่นัก เพราะถึงอย่างไรนี่เป็นถึงสูตรที่จักรวรรดิโอสถเป็นคนสรรค์สร้างขึ้นมา

“ข้ารอมาเป็นสิบปีแล้ว จะให้รออีกสักสิบปีคงไม่มีปัญหาอะไร”

หยุนซีกล่าวติดตลกคำหนึ่ง ทั้งยังกล่าวต่ออีกว่า

“ฟังว่าเพลิงพิภพเก้าดุษณีที่เจ้าได้รับมาเป็นเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งเท่านั้น ระหว่างที่เจ้าเดินทางไปเข้าร่วมงานประลองสี่จักรวรรดิ ข้าจะตรวจสอบเองว่าใครกันที่ขโมยเพลิงพิภพเก้าดุษณีส่วนที่เหลือไป”

“ศิษย์นำรองเท้าข้างหนึ่งที่ตกอยู่ในถ้ำกลับมาด้วย อาจารย์เริ่มตรวจหาเบาะแสจากสิ่งนี้แล้วกัน”

เซียถงกล่าวตอบ

“จือหยวน เจ้าไม่ต้องกังวล สักวันข้าจะปลุกเจ้าให้ตื่นจากห้วงนิทราอันแสนยาวนานนี้เอง ไม่ว่าหลังจากนี้เจ้าจะเป็นอย่างไร ข้าจะคอยอยู่เคียงข้างเจ้าเสมอ”

หยุนซีพยักหน้าส่งให้เซียถง จากนั้นค่อยหันมาทอดสายตามองไปที่ร่างของจือหยวนบนเตียงสีขาวบริสุทธิ์เบื้องหน้า เอ่ยกระซิบน้ำเสียงอบอุ่น

นางยินดีที่จะใช้ชั่วชีวืตที่เหลืออยู่ชดใช้ให้แก่ความผิดบาปในช่วงวัยสาวของตน

เมื่อกลับมาถึงห้องพักพร้อมกับหยุนซี เซียถงก็หยิบรองเท้าข้างนั้นที่เปื้อนเลือดออกมา เนื่องจากตั้งแต่เก็บกลับมา มันมิได้รับการทำความสะอาดใดๆ สักครา ส่งผลให้คราบเลือดบนตัวรองเท้ากลายเป็นสีดำแห้ง ส่งกลิ่นเปรี้ยวปนเน่าออกมา กระทั่งเซียถงที่ได้ยินยังอดขมวดคิ้วไม่ได้

หยุนซีเองก็ไม่ค่อยชอบกลิ่นนี้เท่าไหร่เช่นกัน แต่นี่เป็นเพียงเบาะแสอย่างเดียวที่มีอยู่ จึงจำใจจีบนิ้วหยิบรองเท้าดังกล่าวขึ้นมา กวาดสายตามองซ้ายทีขวาทีอยู่สักครู่ใหญ่ ดูจากขนาดรองเท้าแล้วนี่เป็นของผู้ชายไม่ผิดแน่น เดิมทีน่าจะเป็นสีขาว แต่เนื่องด้วยคราบเลือดที่แห้งกราดเหล่านี้ มันจะถูกย้อมกลายเป็นสีดำไปแล้ว ฝีมือการตัดเย็บของรองเท้าข้างนี้ค่อนข้างประณีตมาก ส่วนปลายเท้าถูกทอเป็นลายกุหลาบ

เมื่อเสาะพบลายกุหลาบตรงส่วนปลายเท้า หยุนซีถึงกับหรี่ตาแคบลงในพริบตา สีหน้าการแสดงออกดูเคร่งขรึมขึ้นหลายส่วน

“อาจารย์ หรือจะทราบแล้วว่ารองเท้าข้างนี้เป็นของใคร?”

เหลือบแลสายตากวาดมองไปที่ลายกุหลาบบนรองเท้า เซียถงก็อดใจนึกถึงกุหลาบเหล็กไหลเย็นที่หลัวซีเคยใช้ในงานชุมนุมลมปราณในตอนนั้นมิได้ เนื่องจากตอนนั้นอีกฝ่ายเป็นคู่แข่งที่นางจำเป็นต้องเอาชนะเพื่อเห็ดหลินจือมรกต เซียถงก็เลยไม่ได้สังเกตว่ารองเท้าที่อีกฝ่ายสวมใส่มีลักษณ์แบบไหนอย่างไร

“หากข้อสันนิฐานของข้าถูกต้อง ลวดลายกุหลาบเช่นนี้คือสัญญาลักษณ์ของหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ที่ซ่อนเร้น ตระกูหลัว”

คู่คิ้วหยุนซีขมวดแน่นถักเข้าหาพลางกล่าวอธิบายออกมา หากเพลิงพิภพเก้าดุษณีส่วนที่เหลืออยู่ในการครอบครองของตระกูลหลัวจริง เกรงว่านี่จะไม่ใช่เรื่องง่ายแล้ว เพราะขึ้นชื่อว่าเป็น หนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ที่ซ่อนเร้นกลับไม่ง่ายที่ฝักฝ่ายใดจะยั่วยุ

เมื่อได้ยินหยุนซีกล่าวอธิบายออกมาเช่นนี้ เซียถงก็ยิ่งมั่นใจเข้าไปใหญ่ว่าเป็นหลัวซีแน่นอน และดูจ่ากพฤติกรรมที่ผ่านมาของเขา ทั้งนี้นางเองก็ยังแสดงความเมตตามิได้ลงมีดถึงขั้นเป็นตายแก่อีกฝ่าย นับว่ายังพอมีสัมพันธ์ไมตรีกันอยู่บ้าง และการจะขอยืมเพลิงพิภพเก้าดุษณีในส่วนที่เหลือมาใช้หลอมกลั่นโอสถก็คงหาใช่ปัญหาอะไรเช่นกัน แต่ที่ลำบากคือ จำเป็นต้องตามหาตัวอีกฝ่ายให้เจอก็เท่านั้น

“ในตระกูลหลัวที่ว่า มีชายหนุ่มที่ชื่อหลัวซีอยู่หรือไม่?”

เซียถงหันไปเอ่ยถามหยุนซี

หยุนซีส่ายหน้าตอบกลับไปว่า

“สี่ตระกูลใหญ่ที่ซ่อนเร้นหายตัวเข้ากลีบเมฆไม่รู้กี่สิบปีแล้ว และข้าเองก็แทบจะไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับตระกูลหลัวเลย สิ่งที่พอจะทราบมีแค่ว่า หากไม่นับตระกูลหยุนของข้า อีกสามตระกูลใหญ่ที่เหลือเองก็มีวรยุทธต่อสู้เป็นของตัวเอง แต่ในอดีต เป็นเพราะความโลภของพวกเขา ทำให้พวกเขานั้นเข้าห้ำหั่นก่อเกิดเป็นพายุนองเลือดไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง สุดท้ายพวกเราสี่ตระกูลใหญ่ล้วนประสบความสูญเสียครั้งใหญ่ และแยกย้ายหายตัวเข้ากลีบเมฆกันไปเลย”

เซียถงพยักหน้ารับคำ เวลานี้นางค่อนข้างมั่นใจแล้วว่า น่าจะเป็นหลัวซีไม่ผิดแน่น ตราบเท่าที่สามารภหาตัวอีกฝ่ายจนพบได้ การจะขอความช่วยเหลือก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องยากอะไร คิดได้ดังนั้น นางจึงเงยหน้ากล่าวกับหยุนซีไปว่า

“อาจารย์ เช่นนั้นช่วยข้าตรวจสอบรายชื่อผู้ลงแข่งงานชุมนุมลมปราณที่จัดขึ้นในจักรวรรดิตงหลี่ครั้งล่าสุดให้หน่อย เป็นชายหนุ่มคนหนึ่ง ระดับชั้นลมปราณอยู่ประมาณขอบเขตเสาหลักฟ้า ชื่อ หลัวซี อีกฝ่ายพ่ายต่อข้าในรอบชิงชนะเลิศ มีวรยุทธต่อสู้ให้สำแดงใช้งาน และที่สำคัญอาวุธประจำกายของอีกฝ่ายยังเป็นดอกกุหลาบที่ทำจากเหล็กไหลเย็นพันปี มีความเป็นไปได้สูงมากว่า เขาจะเป็นคนของตระกูลหลัวที่ว่า”

“เข้าใจแล้ว”

หยุนซีตบปากรับคำทันที

ในส่วนวันที่เหลือก่อนงานประลองสี่จักรวรรดิใหญ่จะเริ่มต้นขึ้น เซียถงพักอาศัยอยู่ในห้องพักอย่างสงบสุข เนื่องจากมีโจทย์ใหญ่อย่างการปรับแต่งสูตรโอสถระดับเก้า เซียถงจึงแบ่งเวลาส่วนหนึ่งฝึกปรือฝีมือหลอมกลั่นโอสถอยู่เป็นระยะ ควบคู่ไปกับการบำเพ็ญตบะเพื่อยกระดับความแข็งแกร่ง และเพียงชั่วพริบตา เวลาอันสงบสุขก็ใกล้จะจบลงแล้ว

เช้าวันรุ่งขึ้น

ทันทีที่เซียถงออกมาสูดอากาศภายนอกห้องพัก นางก็พบเข้ากับขันทีคนหนึ่งที่ฝ่าบาทส่งมา

ขันทีมาในชุดเครื่องแบบวังหลวงสีน้ำเงินคราม สีหน้าการแสดงออกดูมีความสุขอย่างยิ่งเมื่อพบหน้าเซียถง ทั้งยังยิ้มกล่าวกับอีกฝ่ายว่า

“คุณหนูเซีย ฝ่าบาทมีรับสั่งเกี่ยวกับเรื่องงานประลองสี่จักรวรรดิที่กำลังจะจัดขึ้นเร็วๆ นี้ เพื่อเป็นการเตรียมพร้อม โปรดเริ่มเก็บสัมภาระข้าวข้องที่จำเป็นให้เรียบร้อย พรุ่งนี้ทางเราจะออกเดินทางกันตั้งแต่เช้า มุ่งหน้าสู่จักรวรรดิซีฉินพร้อมกับขบวนเสด็จของฝ่าบาท”

จักรวรรดิซีฉิน เป็นจักรวรรดิที่เจริญรุ่งเรือนและทรงอำนาจที่สุดในบรรดาสี่จักรวรรดิซึ่งประกอบไปด้วย จักรวรรดิตงหลี่, จักรวรรดิหน่านเฟิง, จักรวรรดิเป่ยฮั่น และจักรวรรดิซีฉิน ซึ่งงานประลองสี่จักรวรรดิจะจัดขึ้นทุกๆ ห้าปีในจักรวรรดิซีฉินที่ว่า

เซียถงพยักหน้าตกลง และวานให้อิ๋งเอ๋อร์นำงานจำนวนสองถึงสามเหรียญทองมอบให้แก่ขันทีคนนั้น ถือเป็นค่าเหนื่อยเล็กๆ น้อยๆ

ในช่วงตกเย็น เซียถงเดินทางกลับมายังจวนเสนาบดีเซี่ยเพื่อจัดเตรียมข้าวของสำหรับเดินทางไกล แต่เอาเข้าจริงก็มิได้มีสัมภาระสำคัญอันใดให้เตรียมมากมายนัก จุดประสงค์หลักที่เดินทางกลับมาก็แค่ ต้องการมาเยี่ยมเยือนเซี่ยหลู่เฟิง ครั้งล่าสุดที่มา เซียถงได้มอบโอสถจำนวนหนึ่งที่จำเป็นในการรักษาให้แก่เขาไป มาตอนนี้นางเองก็ต้องการติดตามอาการว่าดีขึ้นมากน้อยเพียงใด

เมื่อเห็นว่า อาการบาดเจ็บของเซี่ยหลู่เฟิงดีขึ้นมากแล้ว ในที่สุดเซียถงก็ตัดสินใจหยิบกระบี่ชั้นเยี่ยมที่มาจากซือโม่ให้แก่เซี่ยหลู่เฟิง ซึ่งดูจากท่าทีแล้ว อีกฝ่ายเองก็ค่อนข้างถูกอกถูกใจมากเลยทีเดียว ถึงขนาดที่ว่าไม่สามารถวางลงได้เลย ถือพินิจเชยชมในมือเล่นไม่มีเบื่อ เมื่อเห็นว่าสภาพจิตใจของอีกฝ่ายดีขึ้นมาจากเมื่อก่อน เซียถงก็หมดห่วงเสียที สนทนาเพิ่มเติมอีกสองสามประโยคจึงค่อยลาจากออกมา

เซียถงมุ่งหน้าไปเยี่ยฮูหยินหลี่ต่อทันที และบอกเล่ากล่าวกับนางว่า ในวันพรุ่งนี้ตนจะต้องออกเดินทางไกลเพื่อเข้าร่วมงานประลองสี่จักรวรรดิที่กำลังจะจัดขึ้น คงไม่ได้เดินทางกลับมาหาในเร็ววัน ระหว่างนี้ก็ดูแลตัวเองให้ดี และยังทิ้งท้าย หันไปกล่าวกับอาจูอีกว่า

“หมู่นี้ฮูหยินรองเฉิงมิได้ก่อกวนสร้างปัญหาอันใดแก่ท่านแม่ข้าแล้วกระมัง?”

“ไม่มีเลยเจ้าค่ะ ฮูหยินรองเฉิงไม่ได้มาสร้างปัญหาให้สักพักใหญ่แล้วเจ้าค่ะ”

อาจูส่ายหัวตอบ

ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง

ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง

Status: Ongoing
อดีตนักฆ่าสาวอันดับหนึ่ง ผู้มีใจคอโหดเหี้ยมอำมหิต ได้ทะลุมิติอยู่ในร่างสาวน้อยโฉมหน้าอัปลักษณ์ ที่ทุกคนต่างสาปส่งและรังแกสารพัด!เธอคือนักฆ่ามือวางอันดับหนึ่งแห่งยุค2018 แต่กลับถูกคนที่รักและไว้ใจที่สุดซ้อนแผนและสังหารเธอทิ้งในระหว่างภารกิจหนึ่ง ส่งผลให้วิญญาณของเธอทะลุมิติไปยังโลกอื่น! ซึ่งนางคนนี้เป็นคุณหนูสายตรงแห่งจวนเสนาบดี ใบหน้าช่างอัปลักษณ์น่าเกลียด ทว่ากลับมีพรสวรรค์ในด้านการบ่มเพาะพลังที่น่าทึ่ง!ในท้ายที่สุดนางได้เสียชีวิตลงเพื่อช่วยชีวิตชายที่นางรักสุดหัวใจ และนั่นเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่วิญญาณนักฆ่าสาวสลับเข้าร่าง เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ความงดงามดั่งบุปผาซ่อนพิษซึ่งเป็นจุดเด่นของเธอได้หายไป! โลกทั้งใบที่เคยรู้จักกลับไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว! ใบหน้าอัปลักษณ์? จุดตันเถียนถูกทำลายจนกลายมาเป็นสตรีพิการบ่มเพาะพลังไม่ได้? เจ้าของร่างเก่าถูกสังหารทิ้งโดยไม่มีผู้ใดไยดี? แต่ไม่เป็นไร ทั้งทักษะการฆ่าและจิตใจของเธออันไร้เมตตายังคงอยู่ เรื่องทั้งหมดเป็นแผนการของแม่เลี้ยงกับบุตรสาวของฮูหยินรอง? ได้! ได้เลย! ทุกคนไม่ว่าใครหน้าไหนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับแผนการนี้ จะไม่มีผู้ใดสามารถหนีรอดไปได้แน่แท้! ควบคุมหมื่นอสูร หลอมกลั่นโอสถ ตียุทธ์ภัณฑ์สร้างสิ่งประดิษฐ์ แม้แต่สวรรค์ยังต้องก้มกราบข้า!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท