ตอนที่221 มุ่งสู่จักรวรรดิซีฉิน (1)
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว เจ้าต้องดูแลท่านแม่ของข้าให้จงดีระหว่างที่ตัวข้าไม่อยู่ หลังจากกลับมา หากพบว่านางเป็นอะไรขึ้นมา ข้าจะมาจัดการกับเจ้าด้วยตัวเอง”
เซียถงมุ่งหางตาปรายเข้าใส่อาจู โดยเฉพาะกับประโยคคำพูดสุดท้าย ทั้งน้ำเสียงและแววตาช่างเปี่ยมล้นไปด้วยรัศมีจิตสังหารข้นคลั่ก
อาจูถึงกับหดศีรษะก้มต่ำลงโดยสัญชาตญาณความตื่นตระหนก จากนั้นก็พยักหน้าตอบน้ำเสียงหนักแน่นว่า
“คุณหนูใหญ่ไม่ต้องห่วงเจ้าค่ะ! บ่าวจะดูแลเอาใจใส่ฮูหยินใหญ่อย่างดีที่สุด!”
กล่าวจบ อาจูก็เงยหน้าขึ้นสบมองเซียถง ต้องกล่าวกันตามตรงเลยว่า แววตาของอีกฝ่ายในปัจจุบันดูมั่นคงและเอาจริงเอาจังกว่าในอดีตมาก แลเห็นความมุ่งมั่นเช่นนั้นของอาจู เซียถงก็พยักหน้าเบาๆ พร้อมหยิบเงินจำนวนสิบเหรียญทองออกมาจากใต้แขนเสื้อของตน ยื่นให้ต่อหน้าอีกฝ่ายและกล่าวว่า
“ดูแลท่านแม่ของข้าให้ดี ส่วนเงินจำนวนนี้เจ้าเอาไปใช้จ่ายตามต้องการเถอะ”
ตราบใดที่สาวรับใช้คนนี้มีความจริงใจที่จะรับใช้ติดตามท่านแม่ของนางจริงๆ นางเองย่อมปฏิบัติต่ออีกฝ่ายอย่างสมเหตุสมผลเช่นกัน!
“คุณหนูใหญ่ ไม่ต้องก็ได้เจ้าค่ะ ที่ผ่านมาฮูหยินใหญ่เองก็มอบเงินให้บ่าวใช้อยู่ตลอด บ่าวไม่ต้องการเพิ่มแล้วเจ้าค่ะ”
อาจูรีบส่ายหน้าปฏิเสธเหรียญทองตรงหน้าในทันที
“รับไปเถอะ นี่ถือเป็นการขอบคุณที่ช่วยดูแลท่านแม่ตลอดมา แล้วหลังจากนีก็ฝากเจ้าด้วย”
เซียถงคว้ามืออีกฝ่ายชักเข้าใกล้และยัดเงินจำนวนสิบเหรียญทองลงบนฝ่ามืออีกฝ่ายโดยตรง สิ้นเสียงกล่าวจบ นางก็หมุนตัวกลับและจากไปโดยไม่รอฟังคำกล่าวใดๆ อีกเลย
อาจูยืนตัวค้างแข็งราวกับรูปปั้นหินพร้อมกับเงินทองในมือ เหม่อมองแผ่นหลังของเซียถงที่ค่อยๆ ลาจากออกไปจนลับสายตา ทันทีทันใด ก็มีน้ำตาสองสายรินไหลออกมาจนอาบแก้มด้วยความซาบซึ้งสุดพรรณนา ในอดีต นางเคยช่วยเหลือสองแม่ลูกอย่างฮูหยินรองเฉิงและเซี่ยเสวี่ยเหลียนก็ตั้งมาก แต่กลับไม่เคยได้รับการปฏิบัติที่ดีขนาดนี้มาก่อนสักครั้ง
ย้อนกลับไปยังเรือนพักของตนเอง ในเวลานี้อิ๋เอ๋อร์ก็เตรียมสัมภาระให้เสร็จสรรพเรียบร้อยแล้ว มีทั้งกระเป๋าใบใหญ่ยักษ์และใบเล็กใบน้อยอีกนับสิบจนเต็มโต๊ะ เซียถงที่เห็นแบบนั้นถึงกับขมวดคิ้วแน่น กวาดสายตามองสัมภาระกองเท่าภูเขาตรงหน้าท และเอ่ยถามขึ้นว่า
“อิ๋งเอ๋อร์ แค่ไปเข้าร่วมงานประลองไฉนถึงเตรียมสัมภาระให้ข้ามากมายปานนี้?”
“เดี๋ยวบ่าวจะอธิบายให้ฟังเข้าค่ะ กระเป๋าใบเล็กตรงนี้เป็นส่วนของเสื้อผ้าของคุณหนู ส่วนกระเป๋าข้างกันเป็นขนมที่คุณหนูชอบทาน กระเป๋าอีกใบเป็นรองเท้าเผื่อต้องใช้ในแต่ละสถานการณ์ ส่วนใบตรงโน้น…”
อิ๋งเอ๋อร์กล่าวอธิบายเป็นไฟแลบ อธิบายถึงรายละเอียของกระเป๋าทีละใบ
ยิ่งรับฟังมากเท่าไหร่คู่คิ้วของเซียถงยิ่งขมวดแน่นเป็นปมมากขึ้นเท่านั้น ตกลงแล้วนี่นางไปเข้าร่วมงานประลองจริงหรือไม่? ทำราวกับว่ากำลังไปท่องเที่ยว? และที่สำคัญไปกว่านั้นคือ นางไปมีเสื้อผ้ากับรองเท้ามากมายขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อใด?
สังเกตเห็นท่าทีชวนสงสัยของเซียถง อิ๋งเอ๋อร์ก็ยิ้มอธิบายต่อว่า
“คุณหนู ระหว่างที่ท่านกำลังง่วนอยู่กับการบำเพ็ญตบะและหลอมกลั่นโอสถ เห็นว่าคงไม่มีเวลาว่างออกไปซื้อเสื้อผ้า บ่าวจึงอาสาออกไปเลือกซื้อชุดใหม่ๆ มาให้ ในครั้งนี้ท่านไปในนามของจักรวรรดิตงหลี่ เสื้อผ้าแพรพรรณที่สวมใส่ต้องดูดีมีเกียรติ…”
ยังไม่ทันพูดจบ เซียถงก็ตรงไปหยิบกระเป๋าเสื้อผ้าเล็กๆ ใบหนึ่งขึ้นมา และกล่าวแทรกไปว่า
“ข้าเอาไปใบเดียวเป็นพอ แล้วขอเงินสักประมาณห้าสิบเหรียญทองไว้ติดตัวเผื่อฉุกเฉิน ส่วนเสื้อผ้าที่เหลือเจ้านำไปใส่เองเถอะ”
“ตะ-แต่…แต่คุณหนู บ่าวอุตส่าห์ซื้อมาให้คุณหนูนะเจ้าค่ะ! แล้วบ่าวจะไปกล้าใส่ได้ยังไง”
อิ๋งเอ๋อร์ส่ายหน้าอาน ปั้นหน้าบูดบึ้งเล็กน้อยปนน้อยใจ
เสื้อผ้าแพรพรรณเหล่านี้ที่เพิ่งซื้อเตรียมให้ ล้วนถูกถักทอขึ้นจากผ้าไหมคุณภาพสูง อิ๋งเอ๋อร์ใช้เงินไปจำนวนข้างค่อนมากกับเสื้อผ้าชั้นเยี่ยมหลายสิบชุด แล้วคุณหนูจะปฏิเสธได้อย่างไร?
“ไม่ว่าจะเอาไปใส่หรือทิ้ง สุดแท้แล้วแต่เจ้าเลือกแล้ว”
เซียถงเดินเข้าไปยังส่วนด้านในห้องพัก พลางเอ่ยเสียงกล่าวออกมา ข้าวขาวมากมายปานนี้ หรืออิ๋งเอิ๋อร์คิดจริงๆ ว่านางไปกำลังไปเที่ยวเล่น?
อิ๋งเอ๋อร์ขมวคิ้วมุ่น เก็บข้าวของลงจากบนโต๊ะอย่างไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ นางเพียงต้องการให้คุณหนูของตนเฉิดฉายที่สุดภายในงานประลองที่กำลังจะจัดขึ้น จึงพยายามเลือกชุดเสื้อผ้าสวยๆ ไว้ในเนื่องในโอกาสต่างๆ
จะไปต่างแดนทั้งทีคุณหนูต้องเลิศที่สุด!
เซียถงเพิกเฉยต่อทีท่าไม่พอใจของอิ๋งเอ๋อร์โดยสิ้นเชิง ตรงเข้าไปหยิบคัมภีร์วรยุทธจากที่ซ่อนลับออกมาจากกำแพงห้องด้านในสุดออกมา เนื่องจากก้อนพิษสีดำทมิฬเกาะติดอยู่ในร่างกายของนางเป็นเวลานานเกินไป ส่งผลให้ยังมีบางส่วนเข้าอุดตันตามเส้นลมปราณและเส้นเอ็น แม้นางจะเคยกำจัดออกไปแล้วก็ตาม แต่เศษเล็กเศษน้อยเหล่านี้ก็ยังเป็นปัญหากวนใจอยู่ตลอดมา และตราบใดที่นางสามารถกำจัดพิษก้อนสีทมิฬเศษเล็กเศษน้อยเหล่านี้ไปจนสิ้น ในเวลานี้ระดับพลังลมปราณของนางจะทะลวงขึ้นสู่ขอบเขตเสาหลักฟ้าชั้นสูงได้โดยตรง
เพียงว่าหลายวันมานี้ที่พยายามขจัดเศษพิษอุดตันเหล่านั้นกลับไม่ง่ายเลยจริงๆ และงานประลองสี่จักรวรรดิก็ใกล้เข้ามาเต็มทนแล้ว ดังนั้น เพื่อที่จะยกระดับความแข็งแกร่งให้ได้รวดเร็วที่สุด ในตอนนี้ก็เหลือแค่หนทางสุดท้ายแล้ว นั้นก็คือ การยืมอานุภาพความแกร่งกล้าจากวรยุทธต่อสู้เท่านั้น ซึ่งปัจจุบัน นางสำเร็จแค่วรยุทธชั้นนิลเท่านั้น และมิอาจทราบได้เลยว่า วรยุทธชั้นดินมันจะยากและซับซ้อนปานใด
ใช้เวลาทั้งคืนเต็ม เซียถงนั่งศึกษาคัมภีร์วรยุทธ์เล่มนั้นอยู่ในห้องไม่หลับไม่นอน รายละเอียดเคล็ดวิชาในหน้าบทวรยุทธ์ชั้นดินค่อนข้างยากกว่าชั้นนิลมาก และไม่ว่าเซียถงจะพยายามทำความเข้าใจอย่างไร แต่แทบจะไม่คืบหน้าเลย
“วรยุทธชั้นดินมีเพียงยอดฝีมือขอบเขตราชันย์ม่วงขึ้นไปเท่านั้นที่จะฝึกปรือได้ ตัวเจ้ายังอยู่ต่ำกว่าถึงหนึ่งขอบเขตใหญ่ อย่าพยายามให้สูญเปล่าเลย”
หลิวซูปรากฏกายขึ้นต่อหน้าในห้องพร้อมมือทั้งสองข้างที่กอดแผ่นอกแน่น ยืนพิงกำแพงกล่าวกับเซียถง เหล่มองกระบวนท่าการเคลื่อนไหวอันแข็งทื่อของเซียถง
กลับกลายเป็นอย่างนั้นเสียได้
เซียถงถอนหายใจเฉือกใหญ่ หยิบคัมภีร์วรยุทธต่อสู้ไว้ในมือ กวาดสายตาพินิจไตร่ตรองหน้ากระดาษในบทวรยุทธชั้นนิล ดูเหมือนว่า นางจำเป็นจะต้องถอยหลังหนึ่งกล่าว และทบทวนเคล็ดวิชาชั้นนิลให้ชำนาญเท่านั้น เพราะว่า ทั้งระดับพลังลมปราณก็ไม่สามารถพัฒนาต่อไปได้ ในส่วนของวรยุทธชั้นดินก็จำเป็นต้องเลื่อนระดับกลายเป็น ยอดฝีมือขอบเขตราชันย์ม่วงเสียก่อน
ในวันรุ่งขึ้น เซียถงเพิ่งลุกจากที่นอนได้ไม่นาน ขันทีคนดีคนเดิมจากวังหลวงก็ปรากฏตัวขึ้นมพนหน้านางอีกครั้ง และเชิญนางขึ้นเกี้ยวเดินทางเข้าวังหลวงโดยตรง เพื่อเข้าร่วมขบวนเสด็จเดินทางมุ่งสู่จักรวรรดิซีฉินพร้อมกับฝ่าบาทแห่งตงหลี่
เหล่าผู้พิทักษ์ชนชั้นสูงที่เป็นนายทหารฝีมือดี และองครักษ์ประจำตัวฝ่าบาทล้วนขึ้นม้ากันพร้อมหน้า ประจำตำแหน่งทั้งซ้ายขวาหน้าหลัง โดยมีมีเกี้ยวมังกรสีทองอร่ามขนาดใหญ่อยู่ตรงจุดศูนย์กลาง ผู้พิทักษ์โดยส่วนใหญ่ล้วนเป็นยอดฝีมือขอบเขตเสาหลักฟ้าชั้นสูง ส่วนองครักษ์ที่อยู่ใกล้ชิดกับฝ่าบาทที่สุดสามคน เป็นถึงยอดฝีมือขอบเขตราชันย์ม่วงสุดแกร่งกร้าว
เซียถงหาได้สันทัดความเอิกเกริกอะไรเทือกนี้เท่าไหร่นัก จึงขออาสาขี่ม้าขาวติดตามขบวนเสด็จอยู่ท้ายหลังสุด ทั้งนี้เองก็หาใช่แค่นางเพียงคนเดียวที่เข้าร่วมงานประลองสี่จักรวรรดิในครั้งนี้ และยังมีอีกสองคนที่ได้รับการคัดเลือกเป็นชายหนุ่มสองคนในวัยยี่สิบปี คนหนึ่งชื่อ ฉิงหยุน ส่วนอีกคน หลีเหว่ย
ฉิงหยุนและหลีเหว่ย ทั้งสองต่างมาจากตระกูลใหญ่ที่มีชื่อเสียง และถูกขนานนามว่าเป็น สองอัจฉริยะในเส้นทางการบำเพ็ญตบะแห่งจักรวรรดิตงหลี่ ทั้งนี้ก็ยังเคยฝากผลงานขึ้นติดอันดับสี่ร่วมในงานประลองสี่จักรวรรดิครั้งล่าสุด
ฉิงหยุนและหลีเหว่ยต่างเลือกขี่ม้าขนาบข้างเกี้ยวมังกรสีทองคำที่ฝ่าบาทแห่งตงหลี่ประทับนั่ง หวังเพียงว่า จะได้มีโอกาสสนทนากับฝ่าบาทสักครั้ง
หลังจากเดินทางไปได้สักระยะหนึ่ง พวกเขาทั้งคู่ก็เห็นม่านสีทองคำตรงหน้าเกี้ยวมังกรถูกยกเปิดออกมา ทั้งฉิงหยุนและหลีเหว่ยต่างก็ดีใจเป็นอย่างมาก รีบชะลอความเร็วม้าเคลื่อนเข้าไปใกล้ทันที คลี่ยิ้มกว้างกล่าวขึ้นอย่างสุภาพขึ้นว่า
“ฝ่าบาทมีบัญชาอันใดหรือไม่ขอรับ?”
หลังม่านสีทองคำ ฝ่าบาทแห่งตงหลี่กวาดสายตาแลซ้ายทีขวาทีอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะเอ่นถามขึ้นว่า
“แล้วเซียถงอยู่ไหน? ไยข้าถึงไม่เห็นนางเลย?”
เมื่อได้ฟังฝ่าบาทเอ่ยปากถามถึงเซียถง แววความอิจฉาริษยาเจือเกลียดชังพลันปรากฏขึ้นบนใบหน้าของพวกเขาทันที แค่คว้าอันดับหนึ่งในงานชุมนุมลมปราณได้ กลับได้รับความสนใจจากฝ่าบาทขนาดนี้ มันไม่น่าขันเกินไปหน่อยรึ? จนถึงขนาดที่ว่าพวกเขาทั้งสองถูกฝ่าบาทเมินจนแทบไม่เห็นหัวแล้วด้วยซ้ำ! ยิ่งในปัจจุบันได้ยินฝ่าบาทถามหาแต่เซียถง สิ่งนี้ก็ยิ่งทำให้ความขุ่นแค้นภายในใจของพวกเขาเพิ่มมากขึ้น
“เซียถงอยู่ท้ายหลังขบวนเสด็จขอรับ”
ฉินหยุนไม่ค่อยเต็มใจอยากจะตอบเท่าไหร่นัก แต่สุดท้ายก็ต้องฝืนยิ้มแย้มตอบกลับไป