ตอนที่222 มุ่งสู่จักรวรรดิซีฉิน (2)
“โอ้? ไฉนนางถึงอยู่ไกลปานนั้น?”
ฝ่าบาทชะโงกศีรษะออกทางหน้าต่าง เหลียวหลังมองไปทางท้ายขบวน แลเห็นว่าเซียถงกำลังควบขี่ม้าอยู่ท้ายแถวเพียงลำพัง ดังนั้นจึงหันมากล่าวกับฉิงหยุนว่า
“ไปเรียกเซียถงมา ข้ามีธุระที่ต้องคุยกับนาง”
ฉิงหยุนพยักหน้าและหันหัวม้าควบไปทางเซียถงทันที
“ฝ่าบาท พวกเราทุกคนต่างเป็นกังวลเรื่องความปลอดภัยของท่าน จึงพยายามอยู่รวมกลุ่มรุมล้อมเกี้ยวมังกรทองของท่าน แต่การที่เซียถงปลีกวิเวกซ่อนตัวอยู่ท้ายหลังขบวนเสด็จ กลับเป็นที่ชัดเจนว่า นางหาได้ใส่ใจเรื่องความปลอดภัยของท่านเลยแม้แต่น้อย!”
หลีเหว่ยลอบสังเกตสีหน้าการแสดงออกของฝ่าบาทอยู่สักครู่ จึงค่อยปริปากกล่าว
ใช้ประโยชน์จากช่วงที่เซียถงไม่อยู่นี่แหละ ใส่ไฟให้ฝ่าบาทไม่ชอบขี้หน้าเซียถงเข้าไว้เป็นการดีที่สุด
ทว่าฝ่าบาทมิเพียงไม่เอ่ยขานวาจาใดๆ ตอบกลับ แต่ยังพยายามยื่นมือผ่านหน้าต่างโบกเรียกเซียถงที่อยู่ท้ายหลังจากระยะไกล ทำราวกับไม่เคยได้ยินสิ่งที่หลีเหว่ยพูดเลยสักนิด
“ฝ่าบาท เซียถงดูหมิ่นดูแคลนท่านเกินไปแล้ว! นางสมควรได้รับบทลงโทษเพื่อจะได้ปรับปรุงตัวให้ดีขึ้นในภายหลัง อย่าปล่อยให้นางหยิ่งผยองลำพองตนไปมากกว่านี้เลยขอรับ!”
หลีเหว่ยก็ยังพยายามกล่าวเกลี้ยกล่อมต่อไป
“หลีเหว่ย เจ้าพูดราวกับว่าตนเองเป็นอัครเสนาบดีข้างกายฝ่าบาทก็มิปาน เช่นนั้นแสดงว่าไม่เห็นแก่หน้าอัครมหาเสนาบดีเย่ที่อยู่ตรงนี้แล้วกระมัง?”
ไป๋หลี่หานซึ่งนั่งอยู่บนเกี้ยวมังกรทองคำพร้อมกับฝ่าบาทและเย่หลีเทียน กล่าวมาถึงจุดนี้ เขาก็เหลียวหางตาปรายมองเย่หลีเทียนที่นั่งข้างๆ และกล่าวต่อว่า
“สงสัยว่าตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีของเจ้าจะเริ่มสั่นคลอนเสียแล้ว?”
เย่หลีเทียนนั่งกอดอกอย่างเงียบงันอยู่เคียงข้าง เหลือบสายตาหม่นทมิฬสาดใส่ไป๋หลี่หานไปหนึ่งที แต่มิได้กล่าวอะไรตอบ
หลีเหว่ยที่ได้ยินดังนั้นก็ตกใจเป็นอย่างมาก รีบหันขวับไปทางเย่หลีเทียนที่นั่งนิ่งสีหน้ามืดหม่น เร่งกล่าวอธิบายเหนื่อยตกไม่น้อยว่า
“ท่านอัครมหาเสนาบดีเย่ ขะ-ข้า…ข้ามิได้หมายความเช่นนั้นเลยขอรับ! เพียงเห็นว่า เซียถงจงใจปลีกวิเวกออกห่างจากเกี้ยวมังกรทองของฝ่าบาท จึงเป็นกังวลเรื่องความปลอดภัยของฝ่าบาทก็เท่านั้น…”
“หากมีผู้ลอบสังหารปรากฏตัวขึ้นมา บริเวณแรกที่ถูกโจมตีก็คือไม่หน้าก็ท้ายขบวน และการที่เซียถงยอมเสียสละไปอยู่ท้ายแถวเช่นนี้ก็หาใช่เพราะห่วงเรื่องความปลอดภัยของฝ่าบาทที่สุดหรอกรึ? กลับเป็นพวกเจ้าเสียมากกว่าที่รักตัวกลัวตาย จึงมาอยู่ข้างเกี้ยวมังกรทองคำของฝ่าบาท ที่ข้าพูดถูกต้องหรือไม่?”
ทันทีที่หลีเหว่ยได้ฟังคำกล่าวของไป๋หลี่หานก็ถึงกับหน้าซีดเผือด เหงื่อแตกพลั่กทั่วหน้าผาก ราวกับว่าตนเองตัวเล็กลงเท่ามดในทันใด กล่าวน้ำเสียงสั่นเทาด้วยความหวาดกลัวว่า
“ขะ-ข้า…ข้ามิได้หมายความเช่นนั้นขอรับ! ข้ามิได้คิดเช่นนั้นเลย! ท่านราชันหมาป่าสวรรค์เข้าใจผิดแล้ว!”
ข้างเกี้ยวมังกรทองเต็มไปด้วยขุนนางชั้นสูงและผู้คนใกล้ชิดของฝ่าบาทมากมาย ซึ่งการที่หลีเหว่ยเป็นคนจุดชนวนจนทำให้ไป๋หลี่หานกล่าววาจาชวนเข้าใจผิดขนาดนี้ออกมาได้ นับว่าเพียงพอแล้วที่จะทำให้ตัวหลีเหว่ยถูกผู้คนเหล่านี้เกลียดขี้หน้า
“ข้าเข้าใจผิดไปงั้นรึ? ก็เพียงกล่าวถามตามเนื้อผ้าที่เจ้าว่ามา หรือจะบอกว่าข้าเป็นฝ่ายผิด?”
หลีเหว่ยพูดไม่ออกไปครู่ใหญ่ เพราะหากตอบว่าใช่ ก็เท่ากับเป็นการหาเรื่องท่านราชันหมาป่าสวรรค์ไปโดยปริยาย แต่หากปฏิเสธก็อาจทำให้ผู้คนรอบข้างขุ่นเคืองตนได้เช่นกัน ไม่ว่าจะเลือกทางไหนล้วนแล้วแต่สร้างปัญหาครั้งใหญ่หลวง! ภายใต้แรงกดดันขุมใหญ่ของไป๋หลี่หาน เนื้อตัวหลีเหว่ยพลันเปียกโชกไปด้วยเหงื่อเย็นในทันใด
“ไฉนท่านชอบสร้างเรื่องลำบากใจให้แก่เยาวชนรุ่นใหม่เสมอเลย? ในความเห็นของข้า ที่หลีเหว่ยกล่าวมาก็มีส่วนถูก ห่วงใครใคร่ให้อยู่ใกล้สายตา ที่พวกเราทุกคนอยู่ใกล้ฝ่าบาทก็หวังจะช่วยเหลือได้ทันท่วงทีในยามฉุกเฉินมิใช่รึ? แต่การที่เซียถงปลีกตัวไปอยู่ไกลปานนั้น เป็นที่ชัดเจนว่าแทบจะมิได้ใส่ใจในเรื่องความปลอดภัยของฝ่าบาทเลย”
เย่หลีเทียนที่นั่งปิดปากเงียบอยู่ตลอด จู่ๆ ก็เปล่งเสียงกล่าวออกมา
ระหว่างที่เอ่ยกล่าว หางตาของเขาก็เหลือบไปสังเกตเห็น สีหน้าการแสดงออกที่แปรเปลี่ยนไปของฝ่าบาทซึ่งนั่งอยู่ตรงข้าม เมื่อกล่าวจบประโยคสุดท้าย กลับไม่คิดไม่ฝันเลยว่า ฝ่าบาทจะขมวดคิ้วแน่นราวกับไม่พอใจ
หลีเหว่ยลอบยกมือขึ้นปาดเหงื่อเย็นบนหน้าผากเช็ดถูไปทีหนึ่ง เหลียวหลังส่งสายตาซาบซึ้งใจให้ทางเย่หลีเทียน ว่ากันว่า ท่านอัครมหาเสนาบดีเย่ผู้นี้เป็นคนโหดเหี้ยมเลือดเย็นเกินมนุษย์ แต่สำหรับตัวเขาแล้ว อย่างน้อยก็น่าจะดีกว่าราชันหมาป่าสวรรค์
“เกรงว่าจะไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไหร่นักที่อัครมหาเสนาบดีเย่จะมากล่าวเช่นนี้ หรือสิ่งที่เจ้าพยายามจะสื่อคือ ความจงรักภักดีจะวัดกันที่ระยะห่างระหว่างตัวเราและฝ่าบาท? หากเป็นเช่นนั้นจริง คงไม่ต้องมีนายทวานตามหน้าด่านเมือง ช่วยกันเฝ้าระวัง กระจุกกันอยู่แค่ในวังหลวงดีกว่ากระมัง?”
ไป๋หลี่หานกล่าวเสียดสีตอกสวนกลับไป พลางทอดสายตามองออกไปมองทิวทัศน์นอกหน้าต่าง หากสังเกตให้ดีมุมปากของเขาคล้ายจะเชิดยิ้มขึ้นเล็กน้อย
จากวิสัยทัศน์ที่มองเห็นในปัจจุบัน กำลังมีสาวน้อยในชุดสีขาวควบม้ากำลังเข้ามาใกล้ทีละนิด นางคือคนที่อยู่ปิดท้ายขบวนเสด็จ สีหน้าและแววตาของนางคนนี้ช่างเมินเฉย ราวกับว่าสรรพสิ่งบนผืนพิภพแห่งนี้นางมิได้แยแสหรือสนใจใดๆ
“มิทราบว่าฝ่าบาททรงเรียกหม่อมฉันมามีธุระอะไรงั้นรึเจ้าค่ะ?”
เซียถงควบม้าขาวตรงเข้าชะลอหยุดอยู่ข้างเกี้ยวมังกรทองคำ เปิดผ้าคลุมใบหน้าเผยให้เห็นร่องรอยจุดด่างดำมากมาย ทว่านัยน์ตากลับใสบริสุทธิ์ประดุจสายน้ำยามฤดูใบไม้ร่วง เอ่ยปากถามขึ้นคำหนึ่ง
“โอ้ มาแล้วรึ? เซียถง ต้องใช้เวลาอีกตั้งสองถึงสามวันกว่าจะไปถึงจักรวรรดิซีฉิน ข้าผู้นี้กลัวว่า ตัวเจ้าจะทนความอ่อนล้าไม่ไหว จึงสั่งให้คนไปเรียกเจ้าขึ้นมานั่งเกี้ยวด้วยกัน”
ขณะที่กำลังรับฟังพูดคนรอบข้างเถียงกันไปมา ฝ่ามักจะมีสีหน้าเย็นชาไม่แยแสใครผู้ใด แต่ทันทีที่เซียถงมาถึง สีหน้าการแสดงออกของเขากลับถูกฉาบไปด้วยรอยยิ้มอันแสนอบอุ่น เอ่ยถามน้ำเสียงเป็นมิตรเสมือนชายใจดีคนหนึ่ง
ชวนให้ขึ้นมานั่งเกี้ยวด้วยกัน?
เมื่อได้ยินเช่นนั้น นัยนต์ตาสุกไสวของเซียถงพลันหยุดนิ่งไปชั่วขณะ เหลือบสายตามองไปทางทิศตะวันตกเล็กน้อย ยามนี้ท้องฟ้าเองก็เริ่มมืดแล้วเช่นกัน เคลื่อนลงมาอีกนิดก็จะพบกับสายตาคู่ไร้อารมณ์ของไป๋หลี่หานที่กำลังจับจ้องมองมา เกินจะคาดเดาได้เช่นกันว่า ในหัวของเขากำลังครุ่นคิดอะไรอยู่ ตัดมายังเคียงข้าง ก็จะพบกับสายตาคู่มืดทมิฬของชายใบหน้าหล่อเหลาอย่างเย่หลีเทียน
ทั้งคู่ต่างจับจ้องมาที่นางด้วยสายตาที่เกินตีความเข้าใจได้ เซียถงที่ถูกเรียกตัวให้ขึ้นไปนั่งกะทันหันเช่นนี้ก็ทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะเช่นกัน
ให้นางขึ้นไปนั่งบนเกี้ยวมังกรทองนี่น่ะรึ? ไฉนถึงกลับกลายมาเป็นเช่นนี้?
ในทางตรงข้าม ฉิงหยุนกับหลีเหว่ยที่บังคับอานม้าอยู่เคียงข้าง ต่างเบิกตาโตด้วยความประหลาดใจยิ่งยวด ทั่วทั้งสีหน้าการแสดงออกมีแต่ความอิจฉาริษยาล้นปรี่
เมื่อพวกเขาเคลื่อนสายตาจับจ้องไปที่เซียถง นอกเหนือจากความอิจฉาริษยาแล้ว เบื้องลึกในแววตาเหล่านั้นก็ยังมีร่องรอยความเกลียดชังฉาบผสมอยู่อีกด้วย หญิงสาวอัปลักษณ์อันดับหนึ่งแห่งจักรวรรดิตงหลี่หรือจะได้รับเกียรติเช่นนี้ได้อย่างไร?!