ตอนที่224 ศึกต่อสู้ระหว่างทั้งสาม (2)
ตอนที่224 ศึกต่อสู้ระหว่างทั้งสาม (2)
ดูเหมือนว่าเขาจะไม่พอใจกับคำพูดของไป๋หลี่หานเป็นอย่างมาก!
“แล้วอัครมหาเสนาบดีเย่คิดว่าข้าหมายความอย่างไรล่ะ?”
ไป๋หลี่หานมุมปากกระตุกยิ้มแสยะขึ้นบางๆ แลดูกับว่าหาได้สนใจเลยว่าเย่หลีเทียนจะรู้สึกพอใจหรือไม่
“เพราะมิทราบ จึงเอ่ยถามท่านนี่ไง!”
ริมฝีปากสีแดงระเรื่อของเย่หลีเทียนขดบึ้ง สาดประกายตายิงเข้าจับจ้องไป๋หลี่หานสีเย็นจับขั้วหัวใจ
“ข้าก็หมายความไปตามที่ได้ยิน คงมีพวกขวัญอ่อนแถวนี้ไปรายงานเรื่องไร้สาระให้ฝ่าบาทฟัง แต่จะว่าไปแล้ว…อัครมหาเสนาบดีเย่พอทราบหรือไม่ว่าพวกขวัญอ่อนที่ว่าเป็นใคร?”
ไป๋หลี่หานหาได้เกรงกลัวไม่ ยิงสายตาคู่เฉียบคมเข้าสบปะทะกับเย่หลีเทียนโดยตรง ถึงแม้ผิวเผินสายตาคู่นี้จะดูเมินเฉยนิ่งสงบ แต่หากพินิจให้ดีจะพึงทราบทันทีว่า มันเร้นแฝงไปด้วยไอเย็นยะเยือกเสมือนคมมีด
“ข้าเองก็มิทราบว่าใครเป็นใคร แต่หากเรื่องนี้ไม่เป็นความจริง แล้วไยท่านราชันย์หมาป่าสวรรค์ถึงต้องร้อนตัว?”
เย่หลีเทียนแสยะยิ้มมุมปากขึ้นทีหนึ่ง ถึงกระนั่นประกายสายตายังคงมืดหม่น ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะพลังลมปราณสีทมิฬกลุ่มนั้นที่ยังหมันโคจรอยู่ภายใน
“มิทราบว่าตรงไหนรึที่ดูเหมือนว่าข้าผู้นี้ร้อนตัว? แต่จะว่าไปแล้ว ในฐานะที่เจ้าเป็นถึงอัครมหาเสนาดี กลับปล่อยให้คนขวัญอ่อน สติสตางค์ไม่สมประกอบมาเข้าเฝ้า แถมยังพูดจาเท็จกรอกหูฝ่าบาทเช่นนี้อีก นับว่าเจ้ามีความผิดฐานละเลยหน้าที่หรือไม่?”
ไป๋หลี่หานระบายยิ้มอ่อน สวนตอบกลับไปหมัดหนัก
ภาพฉากในปัจจุบันที่เห็นคือ ทั้งสองฝ่ายที่นั่งตรงข้ามกันและกันกำลังสบสายตาปะทะกันเขม็ง ราวกับมีประกายสายฟ้าพุ่งออกมาประสานงานเสียงดังชี่ๆ ความหนาวเย็นแผ่ซ่านไปทั่ว ทำเอาอุณหภูมิภายในเกี้ยวมังกรทองคำแห่งนี้ลดฮวบลงทันที
เซียถงนั่งพิงผนังเกี้ยว ลอบสังเกตมองสายตาระหว่างทั้งสองที่สบปะทะอย่างดุเดือดอยู่ห่างๆ ถึงแบบนั้นตัวนางเองก็มิได้แยแสอันใดมากมายนัก เพราะจะอย่างไรเรื่องนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับตัวนาง ที่ต้องการในยามนี้ก็แค่นั่งเงียบๆ จนกว่าจะไปถึงปลายทาง…
ฝ่าบาทเคลื่อนสายตาเยียบเย็นจับจ้องภาพฉากตรงหน้าเช่นกัน มองหน้าไป๋หลี่หานตัดสลับไปหาเย่หลีเทียนเป็นบางจังหวะ แววตาของสองคนนี้ลึกล้ำปราศจากคลื่นอารมณ์เกินหยั่งถึง ต่อให้เป็นเขาก็ตาม กลับไม่สามารถมองผ่านอ่านอารมณ์ของสองคนนี้ได้ออกเลยว่า กำลังคดอะไรอยู่กันแน่
ทันใดนั้น ก็มีสายลมเย็นจากไหนมิทราบหวนพัดผ่านเข้ามาหาไป๋หลี่หานและเย่หลีเทียนในเกี้ยว
เมื่อสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่ปะทุถึงจุดสูงสุดใกล้จะระเบิดออก เซียถงก็รีบยืดหลังตรงขึ้นทันใด เพ่งสายตาลอบมองไปยังทั้งสาม จัดระเบียบเสื้อผ้าให้เข้าที่ แอบเตรียมตัวเคลื่อนไหวเผื่อในยามฉุกเฉินทันที
ฝ่าบาทเร่งหันขวับจับจ้องไปทางไป๋หลี่หานกับเย่หลีเทียนทันที แววตาเผยประกายความไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด เจ้าสองคนนี้คิดจะปลดปล่อยรัศมีแรงกดดันออกมาข่มกันโดยไม่เห็นแก่หน้าองค์จักรพรรดิอย่างข้าผู้นี้แล้วรึ?
“จักรวรรดิหน่านเฟิงไม่ค่อยมีความสัมพันธ์ที่ดีเท่าไหร่นักกับจักรวรรดิตงหลี่ของเรา แต่เพราะเหตุใดกัน…เมื่อไม่นานมานี้ ข้าถึงได้ยินว่า อัครมหาเสนาบดีเย่กับองค์ชายแห่งหน่านเฟิงมีสัมพันธ์สนิทชิดเชื้อกัน พอจะอธิบายได้หรือไม่?”
ไป๋หลี่หานระงับไอเย็นยะเยือกที่แผ่ซ่านออกจากรอบตัวลงทันควัน เปล่งเสียงดังเอ่ยถามเย่หลีเทียน ประกายสายตาเร้าร้อนจ้องจับผิดชัดเจน
เมื่อได้ฟังเช่นนั้น เย่หลีเทียนถึงกับผงะง้ำไปครึ่งจังหวะ สีหน้าเผยแววตื่นตะลึงเล็กน้อย ก่อนที่เสี้ยวอึดใจต่อมา สีหน้าการแสดงออกจะกลับสู่สภาวะสงบนิ่งดังเดิม ระบายยิ้มสีเย็นชา กล่าวตอบไปว่า
“ข้ามิทราบว่า ท่านราชันย์หมาป่าสวรรค์ไปได้ยินเรื่องนี้มาจากไหน? นี่หาใช่ความจริงไม่เลย”
“แล้วหากไม่ใช่ความจริง ไยเมื่อครู่ท่านถึงดูตกใจล่ะ? เกรงว่าคงมีเรื่องอะไรบางอย่างซ่อนแฝงอยู่ในใจกระมัง?”
ไป๋หลี่หานหรี่สายตาเข้ากดดันหนักขึ้น เอ่ยถามย้ำไปอีกคำหนึ่ง ในขณะเดียวกันก็ลอบปรายหางตา เข้าสังเกตสีหน้าการแสดงออกบนใบหน้าของฝ่าบาทเช่นกัน
แววความไม่พอใจในสายตาคู่นั้นของฝ่าบามพลันหายวับ สิ่งที่เข้าทดแทนคือความนิ่งสงบ ปราศจากอารมณ์ใดๆ
ซึ่งนี่มันแปลกมาก…
“ท่านราชันย์หมาป่าสวรรค์ นี่คิดจะใส่ร้ายปรักปรำข้าต่อหน้าฝ่าบาทงั้นรึ?”
เย่หลีเทียนปริปากเริ่มมีน้ำโห สีหน้าหมองหม่นเป็นทวี หากไม่เห็นแก่หน้าฝ่าบาท ตัวเขาคงเปิดฉากลงมือไปนานแล้ว
“จะจริงหรือเท็จกลับไม่ทราบ แต่ที่แน่นอนก็คือ อัครมหาเสนาบดีเย่กำลังโกรธเพราะคำพูดของข้า?”
ไป๋หลี่หานยิ้มถามไปคำหนึ่ง
“นี่เจ้า…”
เย่หลีเทียนเผลอตัว ลุกขึ้นขึ้นในทันใด หมอนี่มันกล้าใส่ร้ายข้างั้นรึ!? หรือคิดจริงๆ ว่าข้าเป็นพวกลูกพลัมนุ่มที่คิดจะรังแกกันโดยง่าย?!
“พอแล้ว! ราชันย์หมาป่าสวรรค์เพียงล้อเล่นเท่านั้น อัครมหาเสนาบดีเย่ เจ้าเห็นต้องนำพามาใส่ใจ”
ฝ่าบาทที่ลอบเฝ้าสังเกตทั้งสองอย่างเงียบงันมาตลอด ยามนี้ก็ยกมือขึ้นโบกปัดเชิงอย่าได้ใส่ใจนัก ถึงสีหน้าการแสดงออกของเขาจะเงียบสงบ ปราศจากอารมณ์ขุ่นเคืองใดๆ แต่เซียถงที่คอยเฝ้ามองอยู่ตลอดพึงกระจ่างชัดแจ้ง เขากำลังปกป้องเย่หลีเทียนอยู่จริงๆ
เมื่อได้ยินฝ่าบาทกล่าวดังนั้น เย่หลีเทียนก็รีบโค้งศีรษะให้และกล่าวว่า
“ขออภัยฝ่าบาท ข้าหุนหันพลันแล่นเอง”
ฝ่าบาทพยักหน้า กล่าวอย่างไม่แยแสสนใจว่า
“ไม่เป็นไร”
แต่ในขณะเดียวกัน เขาเองก็เหลือบสายตาใส่ไป๋หลี่หานราวกับต้องการจะตำหนิ เนื่องด้วย ต้นเหตุที่เย่หลีเทียนกระทำเสียมารยาทต่อหน้าเขา ทั้งหมดเป็นเพราะไป๋หลี่หาน
ไป๋หลี่หานสังเกตเห็นแบบนั้นก็ได้แต่ถอนหายใจกับตัวเองเฮือกหนึ่ง ฝ่าบาทมิเพียงแค่ ไม่มีเจตนาที่จะตำหนิเย่หลีเทียนเลยสักนิด แต่ยังทำราวกับตัวเขาต่างหากที่เป็นฝ่ายผิด ดูเหมือนว่า เย่หลีเทียนจะได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาทมากกว่าที่เคยจินตนาการไว้เสียอีก จักรวรรดิตงหลี่อยู่ในอันตรายแล้ว!
“มีอะไรไม่พอใจรึเปล่า?”
คล้อยได้ยินสุ้มเสียงถอนหายใจของไป๋หลี่หาน ฝ่าบาทก็หันมาปริปากถาม
“ไม่มีอะไรฝ่าบาท”
ไป๋หลี่หานส่ายหัว
ฝ่าบาทชำเลืองมองไปทีหนึ่งมิได้เอ่ยถามอันใดต่อ จากนั้นก็หลับตาพลางเอนกายพักพิงผนังเกี้ยวรถม้าพักผ่อน บรรยากาศภายในเกี้ยวกลับสู่ปกติอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าฝ่าบาทเอนกายพักผ่อนลงแล้ว ก็ถึงคราวที่เซียถงจะหลับตาพักผ่อนด้วยเช่นกัน เอนศีรษะพิงมุมหนึ่งของผนังเกี้ยว ดวงตาทั้งสองข้างค่อยๆ ปิดลง
อย่างไรเสีย ถึงแม้ดวงตาคู่นั้นของนางจะปิดลงแล้วก็ตาม แต่นางก็ยังสามารถสัมผัสได้ถึงสายตาคู่เฉียบคมที่เคลื่อนหยุดอยู่ตรงหน้าของนาง เสมือนอีกฝ่ายมองทะลุผ่านม่านคลุมหน้าและเปลือกตาเข้ามาได้มิปาน รอบตัวเต็มไปด้วยคมเข็มนับพันที่กำลังจ่อแทง
เซียถงรู้สึกขนลุกอย่างบอกไม่ถูกเมื่อสัมผัสถึงมัน ทันใดนั้นดวงตาของนางก็เปิดขึ้น แต่สิ่งเดียวที่เห็นอยู่ตรงหน้าก็คือ ใบหน้าอันหล่อเหลาของเย่หลีเทียนที่กำลังจับจ้องมาทางนี้ สายตาของอีกฝ่ายช่างมืดหม่นดูน่าสะเทือนขวัญมิใช่น้อย