ตอนที่263 หลินเฟยผู้โหดเหี้ยม
ตอนที่263 หลินเฟยผู้โหดเหี้ยม
“มองที่ตัวเองสิ”
แลเห็นสีหน้าแววตาของฉิงหยุนช่างว่างเปล่านัก หลีโม่จึงชี้นิ้วไปที่ตัวของอีกฝ่ายและเอ่ยทักขึ้นคำหนึ่ง
มองติดตามสายตาของหลีโม่ ก้มดูตัวเอง ฉิงหยุนถึงกับตาค้างแข็งเบิกกว้าง มิทราบเลยว่าตั้งแต่เมื่อใด เสื้อผ้าบนร่างของเขาทั้งหมดถูกตัดสะบั้นขาดรุ่ยเป็นชิ้นๆ โดยคมดาบของหลีโม่ และปล่อยให้เขายืนเปลือยกายต่อหน้าทุกคน ด้วยความตื่นตระหนกสุดขีด ฉิงหยุนรีบยกมือทั้งสองเข้าปิดป้องส่วนสำคัญช่วงล่างของร่างกายโดยไว
แลเห็นเขาเกิดอาการเกื้อเขินหนักข้อ บรรดาผู้ชมทั้งหลายก็ยิ่งระเบิดหัวเราเสียงดังมากขึ้น ทางด้านองค์จักรพรรดิแห่งตงหลี่ถึงกับหน้าถอดสีซีดขาว ยกฝ่ามือขึ้นปิดตาด้วยความอับอายขายขี้หน้ายิ่งแล้ว เขาไม่สามารถทนมองได้อีกต่อไป
“ปรากฏว่า บุรุษชายทุกคนในตงหลี่ชอบเปลือยกายนี่เอง ท่านดูนั่นสิ! สัดส่วนของเขาน่าดูชมเสียทีเดียว เนื้อตัวขาวจั๊วะ มีกล้ามเนื้ออยู่เล็กน้อย น่าจะเอาพ่อหนุ่มคนนี้ไปแสดงตัวในหอนางโลม มากกว่าที่จะอยู่ในสนามประลอง! ฮ่าฮ่าฮ่า!”
เป็นองค์จักรพรรดิหน่านเฟิงคนแรกที่ระเบิดหัวเราะเยาะเย้ย สีหน้าท่าทางดูสนุกสนานอย่างยิ่ง
“เจ้าหนุ่มนั่นสุขภาพผิวดีเยี่ยมจริงๆ จักรพรรดิตงหลี่ โดยปกติแล้วท่านมีเคล็ดลับการบำรุงผิวอย่างไร? ไฉนถึงไม่บอกให้ข้ารู้บ้าง?”
ต่อมาเป็นองค์จักรพรรดิแห่งซีฉิน ทำท่าทำทางทำเป็นกระซิบถามองค์จักรพรรดิตงหลี่ที่นั่งหน้ามืดหม่นอยู่เคียงข้าง
“ก้นของเจ้าหนุ่มนั้น…กลมสวยน่าหยิกนัก”
ปิดท้ายด้วยองค์จักรพรรดิแห่งเป่ยฮั่นที่กอดอกนั่งเงียบตลอดทาง ยามนี้คลี่ยิ้มแสนเจ้าเล่ห์ออกมาบางๆ พลางกล่าวเสียดสีไปวาจาหนึ่ง
“ยังไม่รีบลงสนามอีก!?”
ใบหน้าขององค์จักรพรรดิตงหลี่แปรเปลี่ยนเป็นสีดำสลับเขียว แหกปากคำรามใส่ทางฉิงหยุนด้วยความโกรธเกรี้ยวสุดแสน
ฉิงหยุนเนื้อตัวสั่นเทาไม่หยุด ตวัดคมกระบี่ลงและรีบขดตัววิ่งลงจากสนามประลองไปท่ามกลางเสียงหัวเราะเยาะของทุกคน
องค์จักรพรรดิหน่านเฟิงยังคงยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เอนกายพักพิงกับเก้าอี้แผ่นอนอย่างสบายอารมณ์ ส่วนทางองค์จักรพรรดิแห่งตงหลี่ได้แต่กัดฟันชำเลืองมององค์จักรพรรดิแห่งหน่านเฟิง สีหน้าแววตาดูเคียดแค้นมาก ทุกครั้งที่จัดงานประลองสี่จักรวรรดิ ตัวเขามักจะถูกองค์จักรพรรดิอีกสามคนที่เหลือหัวเราะเยาะใส่เช่นนี้มาโดยตลอด ซึ่งมีองค์จักรพรรดิหน่านเฟิงเป็นตัวตั้งตัวตีก่อนเสมอ
กรรมการป่าวประกาศในนัดแรก หลีโม่แห่งจักรวรรดิเป่ยฮั่นเป็นฝ่ายชนะ และการประลองนัดถัดมาก็คือ จักรวรรดิเป่ยฮั่นอีกครั้ง ปะทะกับ จักรวรรดิซีฉิน เป็นการปะทะกันระหว่างหลินเฟยและชายหนุ่มร่างอ้วนท้วน
ทันทีที่ที่กรรมการกำลังปริปาก ประกาศเริ่มต้นการประลอง หลินเฟยก็เปิดฉากเผด็จศึกทันที และก่อนที่ทุกคนจะได้เห็นว่า ภาพฉากต่อหน้าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ก็แลเห็นแค่เพียงคมกระบี่ในมือหลินเฟยเข้าสะบั้นศีรษะของชายหนุ่มร่างอ้วนท้วนขาดกระเด็นออกไปทันควัน วงรัศมีฟันฟาดตัดเป็นแนวนอน ศีรษะของชายหนุ่มกระเด็นกระดอน ธารเลือดสีแดงสดพุ่งกระฉูดสาดกระเซ็นทั่วสนามราวกับน้ำพุ จากนั้นเขาก็เอียงศีรษะลอบส่งสายตาไปทางองค์จักรพรรดิแห่งเป่ยฮั่นอย่างยโสจองหองนัก
“อวดดี!”
องค์จักรพรรดิเป่ยฮั่นตบพนักเก้าอี้ลุกขึ้นพรวด คำรามเสียงดังสนั่นพิโรธสุดแสน สบสายตาจ้องหลินเฟยที่อยู่เบื้องล่างตาเขม็ง พร้อมชี้หน้ากล่าวว่า
“เจ้าเล่นสกปรก! ลอบโจมตีก่อนสัญญาณจะเริ่ม! ช่างเป็นการกระทำที่รังเกียจ! ไร้ยางอายสิ้นดี!!”
“กลับเป็นคนจากจักรวรรดิเป่ยฮั่นของท่านที่อ่อนหัด เห็นข้าเคลื่อนไหวอยู่ต่อหน้าต่อตาเช่นนี้ ไยถึงไม่หลบให้ทันเสียล่ะ? ไม่รู้จักสำเหนียกในความอ่อนแอของตน ก็ยังกล้าลงแข่ง ไยจะโทษข้าได้?”
หลินเฟนเหลือบหางตาปรายมองไปที่องค์จักรพรรดิแห่งเป่ยฮั่นที่อยู่เหนือศีรษะ ถ่มน้ำลายลงพื้นคำหนึ่งด้วยความรังเกียจ
เขาเพิ่งจะสิ้นเสียงกล่าวจบไป ทันใดนั้นก็มีชายวัยกลางคนผู้หนึ่งกระโจนลงมาจากอัฒจันทร์ฝั่งจักรวรรดิเป่ยฮั่น ตรงเข้าเผชิญหน้ากับหลินเฟยอย่างไม่เกรงกลัว
“เอาชีวิตลูกชายข้าคืนมา!!”
ชายวัยกลางคนร่างสูงใหญ่หันคมกระบี่เล่มยาวในมือใส่ทางหลินเฟย ทันทีที่สิ้นเสียงกล่าวจบ เขาก็พุ่งเข้าโจมตีใส่อีกฝ่ายด้วยความเร็วประดุจสายฟ้า บรรดาผู้ชมทั้งหลายไม่มีใครมองทันการเคลื่อนไหวของชายคนนี้เลยสักคน และเพียงเสี้ยวอึดใจต่อมา คมกระบี่ในมือเขาก็หวืดอากาศเฉี่ยวแผ่นอกของหลินเฟยไปอย่างฉิวเฉียด หลินเฟยร่นกระบวนถอยหนีด้วยทีท่าแสนสงบนิ่ง พลางหยิบผ้าชิ้นหนึ่งออกมาจากใต้อกเสื้อของตน
“ตาแก่ กลับเป็นเจ้าที่เลือกติดพันความตายเอง เช่นนั้นก็อย่าได้โทษข้า”
หลินเฟยชำเลืองมองผ้าชิ้นหนึ่งที่หยิบออกมา ส่วนมืออีกข้างที่กระชับจับกระบี่ก็เริ่มเคลื่อนขยับกวัดแกว่งเข้าโจมตีสวน1ตอบ เพียงสองจังหวะที่ฟันฟาดออกไป ก็สามารถทำให้กระบี่เล่มยาวของชายวัยกลางคนผู้นั้นถูกทำลายเป็นเสี่ยงเล็กเสี่ยงน้อยในพริบตา…
ชายวัยกลางคนยิ่งเดือดดาลจัด ปริโถมเข้าใส่หวังจับหลินเฟยมาฉีกเป็นชิ้นๆ แต่ชั่วพริบตานั้นเอง หลินเฟยเหลือบสายตากดต่ำ กระดกปลายเท้างัดศีรษะที่โดนสะบั้นขาดก่อนหน้าเตะไปทางชายวัยกลางคน ร่างกายสูงใหญ่ถึงกับชะงักค้างไปโดยฉับพลัน แลเห็นศีรษะของลูกชายตัวเองที่ต้องตายอย่างอนาจ เนื้อตัวพลันสั่นเทิ่มเกินจะหักห้าม พร้อมกับน้ำตาที่ไหลบ่า หลินเฟยใช้จังหวะนี้ แทงกระบี่เสียดทะลวงตรงหน้า ประกายคมเย็นยะเยือกสาดสะท้อน หวังจะฆ่าอีกฝ่ายให้ตายในคราเดียว
“แม่ทัพหวู่! ระวัง!!”
องค์จักรพรรดิแห่งเป่ยฮั่นตื่นตระหนกสุดขีด รีบเปล่งเสียงตะโกนเรียกสติชายวัยกลางคนทันที
ชายวัยกลางคนผู้นั้นได้สติฟื้นคืนกลับมาได้ทันท่วงที รีบระดมลมปราณขุมใหญ่ ผนึกหลอมกลายเป็นคมกระบี่ลมปราณเข้าซ่อมเสริมคมกระบี่ก่อนหน้าที่เพิ่งหักลง ตรงเข้าตั้งรับสกัดท่ากระบี่ของหลินเฟย อย่างไรก็ตามแต่ ใครจะไปคาดคิด หลินเฟยลอบกางกรงเล็บยาวที่มือข้างซ้ายออกมา และพุ่งเสียบทะลวงเบ้าตาของชายวัยกลางคนทั้งสองข้าง ทุกกระบวนเคลื่อนไหวว่องไวประดุจฟ้าแลบ
ฉากภาพโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ได้บังเกิดขึ้นในชั่วพริบตา
ชายวัยกลางคนผู้นั้นส่งเสียงร้องแผดสนั่นอย่างน่าสังเวชสุดแสน ทรุดตัวลงอยู่ในท่าคุกเข่า มือทั้งสองข้างยกขึ้นปิดกุมบริเวณดวงตา ทั้งยังร้องคร่ำครวญทรมานอยู่เช่นนั้นไม่หยุดหย่อน หลินเฟยก้าวย่างยืนหยุดอยู่เบื้องหน้าร่างของอีกฝ่าย พร้อมยกคมกระบี่ชี้ขึ้นฟ้า และหวดกระหน่ำฟันฟาดนับสิบกระบวน สับร่างอีกฝ่ายจะเละแทบไม่เหลือทรง จุดจบสุดท้ายกลายมาเป็นกองเลือดสับอยู่แอ่งหนึ่งที่ไหลนองไปทั่วพื้นสนาม
บริเวณโดยรอบสนามพลันเงียบสงัดลงในทันใด ทุกสายตาล้วนจับจ้องไปทางศพของทั้งสองที่นอนกองเละอยู่บนพื้นสนามอ้างว้างว่างเปล่า ไม่มีใครกล้าปริปากกล่าวอะไรออกมาอีกเลยสักครู่ใหญ่
เซียถงถึงขนาดกำหมัดแน่น จับจ้องหลินเฟยตาเขม็งไม่เคลื่อนคลาย หลินเฟยคนนี้มิเพียงแค่ว่องไวและแข็งแกร่ง ทั้งยังมีจิตใจอำมหิตเลือดเย็น ชั่วขณะที่ชายวัยกลางคนโจมตี เขาก็แอบโปรยผงพิษที่ห่ออยู่ในเศษผ้าชิ้นนั้นไปแล้ว จึงเป็นเหตุผลที่ว่า เหตุใดชายวัยกลางคนผู้นั้นถึงถูกจัดการได้ง่ายดายปานนี้ ยามใดที่ได้สัประยุทธ์ต่อสู้กับอีกฝ่าย นางจำต้องระวัดระวังตัวเป็นเท่าทวี
หลินเฟยถือกระบี่ยาวในมือพลางยกเท้าขึ้นเหยียบเศษกซากกองศพของชายวัยกลางคนผู้นั้น หันอาวุธชี้ไปทางอัฒจันทร์ฝั่งจักรวรรดิเป่ยฮั่น และเปล่งเสียงประกาศกร้าวอย่างหยิ่งผยองขึ้นว่า
“มีใครอยากตายอีกหรือไม่? กระโดดลงมาได้เลย!”
สีหน้าการแสดงออกของบรรดาผู้ชนจากจักรวรรดิเป่ยฮั่นทั้งหลายเปี่ยมปะทุความเคียดแค้นอยู่ล้นปรี่ ทว่ากลับไม่มีใครสักคนกล้าปริปากพูดอะไรสักคำ ส่วนผู้ชมบนอัฒจันทร์ในส่วนอื่นๆ ที่เหลือต่างตกตะลึงยิ่งยวดกับความโหดเหี้ยมของหลินเฟย ดวงตาของแต่ละคนเบิกโตแทบถล่นไหล ขนหัวลุกซู่วรู้สึกสยดสยองถึงเบื้องลึกจิตใจ กระทั่งหายใจเสียงดังยังมิกล้า
“จักรพรรดิซีฉิน! ท่านหมายความเยี่ยงไร?!”
องค์จักรพรรดิแห่งเป่ยฮั่นชี้หน้าใส่องค์จักรพรรดิซีฉิน กู่คำรามลั่นแสนพิโรธ เดิมทีนี่เป็นเพราะงานประลองแข่งขันกระชับมิตร แค่เฟ้นหาผู้แพ้ชนะก็เพียงพอแล้ว แต่จะอย่างไร หลินเฟยคนนี้กลับมีจิตใจต่ำช้า สังหารโหดคนของเขาถึงสองคนในเวลาเดียวกันอย่างไร้ความปรานี แล้วนี่จะไม่ให้องค์จักรพรรดิแห่งเป่ยฮั่นพิโรธได้อย่างไร?
“ระหว่างการประลอง คมดาบอาวุธย่อมไม่มีตา เผลอฆ่ากันเล็กๆ น้อยๆ กลับเป็นสิ่งเลี่ยงมิได้ ท่านจะใส่ใจอันใดให้มากความ?”
องค์จักรพรรดิแห่งซีฉินหาได้แยแสสนใจทีท่าอันโกรธเกรี้ยวของอีกฝ่ายไม่ พลางชำเลืองสายตามองหลินเฟย และคว้าถ้วยชาข้างกายขึ้นมาริมจิบราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“นี่หรือเรียกว่าเผลอ? ไม่เพียงหลินเฟยจะเล่นสกปรกลอบโจมตีก่อนสัญญาณจะเริ่ม แต่มันยังใช้พิษหลอนประสาท ลดทอนปฏิกิริยาการตอบสนองของแม่ทัพหวู่จนเชื่องช้า และฆ่าทิ้งโดยมิไว้หน้าใครใดๆ! จักรพรรดิซีฉิน มิทราบว่าท่านจะอธิบายสิ่งเหล่านี้อย่างไร!?”
“หากมิใช่เพราะผู้เข้าร่วมประลองของท่านไร้ฝีมือ มีหรือที่คนอื่นจะต้องมาซวยตายอย่างเอน็จอนาถเช่นนี้? ท่านจะมาตำหนิคนอื่นได้อย่าง? จงโทษที่คนของตัวเองไร้ความสามารถเสียเถิด”
สีหน้าท่าทางขององค์จักรพรรดิแห่งซีฉินยังคงดูสบายอารมณ์ดี เสมือนกับว่ามิได้เห็นภาพฉากนองเลือดตรงหน้าเลยสักนิด
องค์จักรพรรดิแห่งเป่ยฮั่นกำมือจิกแน่นจนสั่นเทา เส้นเลือกสีเขียวบนหน้าผากปูดโปนขึ้นหนา ทั้งยังเต้นตุบตับอยู่แบบนั้น แววความหมองดั่งก้อนเมฆสีทมิฬมืดค่อยๆ สั่งสมรวมตัวกันบนนัยน์คู่นั้นของเขา ชั่วขณะที่ทุกคนต่างคิดว่า องค์จักรพรรดิแห่งเป่ยฮั่นไม่สามารถควบคุมโทสะได้ไหวอีกต่อไป แต่จู่ๆ นัยน์ตาเดือดดาลคู่นั้นก็พลันอ่อนลง เขาพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อสงบสติอารมณ์โกรธทั้งหมดลง และล้มตัวลงนั่งที่เดิม