ตอนที่265 สัตว์วิญญาณตัวน้อย จี๋จี๋ (1)
ตอนที่265 สัตว์วิญญาณตัวน้อย จี๋จี๋ (1)
“อืม อืม คิดไว้อยู่แล้วเชียวว่าเจ้าจะต้องเป็นทายาทหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ที่ซ่อนเร้น ตระกูลหลัวของข้าอยู่ในหน่านเฟิง ส่วนตระกูลของเจ้าปักหลักในตงหลี่ ส่วนอีกสองตระกูลไม่ทราบแน่ชัด แต่คาดการณ์กันว่าน่าจะอยู่ในอีกสองจักรวรรดิที่เหลือ และหากให้ข้าสันนิษฐาน เจ้าคงเป็นทายาทของตระกูลหลี่ใช่หรือไม่? ในบรรดาทั้งสี่ตระกูลใหญ่ที่ซ่อนเร้น กล่าวกันว่า ฝีมือการสัประยุทธ์ต่อสู้ของตระกูลหลี่นั้นโดดเด่นที่สุด”
หลัวซีกล่าวอธิบายงวาจาหนึ่ง พลางเหม่อมองมหาสมุทรบุปผาเบื้องหน้า
เซียถงถึงกับพูดไม่ออก
“เซียถง เจ้าจะต้องคว้าชัยชนะในงานประลองครั้งนี้แน่นอน”
หลัวซีชำเลืองสายตามองย้อนไปหาเซียถง
ได้ฟังดังนั้น นางก็แอบตกใจเล็กน้อย ขนวดย่นคิ้วมองหน้าอีกฝ่ายด้วยความสงสัย กล่าวว่า
“คราวทีแล้ว ที่ข้าชนะเจ้าเพราะบังเอิญเท่านั้น แต่ในคราวนี้ จะชนะหรือแพ้ กระทั่งตัวข้าเองก็ยังไม่มั่นใจเสียด้วยซ้ำ นอกจากนี้เอง ถึงจะบังเอิญเอาชนะเจ้าได้อีกรอบ แต่ก็ยังมีหลินเฟยเป็นอุปสรรคใหญ่อีก”
“ข้าจะจัดการกับหลินเฟยเอง ไม่มีทางปล่อยให้มันต้องมาเผชิญหน้ากับเจ้าโดยตรงแน่นอน”
หลัวซีส่งระบายยิ้มอ่อนส่งให้เซียถงบางๆ
เซียถงชะงักค้างไปชั่วจังหวะ มองหน้าหลัวซีด้วยสายตาว่างเปล่าไม่ค่อยเข้าใจอะไรเท่าไหร่นัก การที่เขากล่าวออกมาเช่นนี้มันหมายความว่าอย่างไร? หรือเป็นไปได้ไหมว่า จุดประสงค์แท้จริงที่เขาเข้าร่วมงานประลองในครั้งนี้ก็เพื่อ ช่วยนางหยุดหลินเฟยเอาไว้?
“เซียถง ข้ามาที่นี่ก็เพื่อช่วยเจ้าหยุดหลินเฟย ถึงตัวข้าจะเอาชนะมันไม่ได้ อย่างน้อยที่สุดก็สามารถทำให้มันบาดเจ็บสาหัสได้เช่นกัน เมื่อถึงตอนนั้นในรอบชิงชนะเลิศ เจ้าน่าจะพอมีทางโค่นมันลงได้ ส่วนที่ว่าเพราะเหตุใดถึงทำเช่นนี้ เพราะ ข้า หลัวซี ต้องการตอบแทนความเมตตาของเจ้าในครั้นนั้น”
หลัวซีมส่งยิ้มให้เซียถงอีกคราหนึ่ง
เซียถงเข้าใจได้ทันทีว่าเขากำลังหมายถึงอะไร ความเมตตาที่ว่าก็คือ งานชุมนุมลมปราณในตงหลี่ครั้งนั้น ที่นางหยุดกระบี่ไม่ลงมือฆ่าอีกฝ่าย แต่…ความเมตตามันนับด้วยรึ? เพราะงานชุมนุมลมปราณครั้งนั้นก็มีกฎห้ามฆ่ากัน จึงเป็นเหตุที่ว่าทำไมนางไม่ลงมือ และตัวนางเองก็ไม่ได้รู้สึกเลยว่า ตนมีบุญคุณต่อหลัวซีอะไรเลย นางส่ายหน้าตอบกลับทันทีว่า
“เจ้าเข้าใจผิดแล้วกระมัง ในตอนนั้นหาได้เรียกว่าความเมตตา และทั้งหมดเป็นแค่คาวมบังเอิญที่สามารถอาชนะเจ้าลงได้”
ว่ากันตามจริง หากก้านกุหลาบเหล็กไหลเย็นของหลัวซีเสียบทะลุเข้ามาตรงหัวใจ แทนที่จะเป็นหัวไหล่ของนางในตอนนั้น อย่าว่าแต่เรื่องแพ้ชนะเลย ชีวิตของนางคงจะหาไม่ไปแล้วเช่นกัน กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เหตุผลหลักที่ทำให้เซียถงเอาชนะหลัวซีได้ ทั้งหมดกลับเป็นเพราะความดมตตาของหลัวซีเองทั้งสิ้น เมื่อนึกย้อนกลับมาคิดให้จงดี กลับเป็นหลัวซีต่างหากที่มีบุญคุณต่อตัวนาง
“ไม่ว่ายังไง ข้าจะพยายามทำให้หลินเฟยบาดเจ็บสาหัสที่สุด หากให้ดีเลยก็คือ ทำให้มันแพ้ตกรอบไป ระดับความแข็งแกร่งของมันอยู่ที่จุดสูงสุดของขอบเขตราชันย์ม่วงชั้นต้น ดังนั้นเจ้าห้ามประมาทโดยเด็ดขาด และจิตใจของมันเลือดเย็นและโหดเหี้ยมราวกับปีศาจ หากพลังลมปราณของเจ้าในเวลานี้ยังไม่มีอะไรพัฒนาขึ้นเลย เกรงว่าจะเป็นอันตรายอย่างยิ่งหากต้องเผชิญหน้ากับมัน”
หลัวซีหรี่สายตาแคบเจือแววกังวล หากจะให้บรรยายว่า หลินเฟยคนนั้นโหดเหี้ยมอำมหิตปานใด ก็ดูได้จากการประลองในวันนี้ได้ ไม่เพียงจะตัดศีรษะของคู่แข่งทิ้งโดยไม่ลังเลเท่านั้น แต่ยังฆ่าคนอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับการประลองทิ้งไปด้วยอย่างไม่ไยดี ดังนั้นแล้ว หลัวซีจึงคิดกับตนเองไว้ว่า ไม่ว่ากรณีใด เขาจะไม่มีวันปล่อยให้อีกฝ่ายหลุดมาเจอกับเซียถงได้แน่นอน
เมื่อมีแสงส่องปะทะหักเหกับนัยน์ตาของหลัวซี มันจะเปลี่ยนเป็นสีทองดูน่าหลงใหลยิ่งนัก ทำให้ทุกคนรู้สึกอบอุ่นใจอย่างน่าประหลาดเมื่อได้สบมอง ใบหน้าอันหล่อเหลาดั่งหยกของเขาเปี่ยมไปด้วยความจริงใจมุ่งมั่น ทำเอาเซียถงแอบอมยิ้มมิได้ ภายในใจรู้สึกหวั่นไหวเล็กน้อย
จะว่าไปแล้ว ตัวนางเองก็ยังมีเรื่องดีๆ ในชีวิตอยู่บ้าง ที่ได้พบเจอกับผู้คนที่ใจดีกับตน ตัวอย่างก็เช่น หยุนซี เซี่ยหลู่เฟิง ฉีหมิงเยว่ ทั้งยังหลัวซีคนนี้อีก ส่วนไป๋หลี่หาน นางยังไม่ค่อยแน่ใจกับท่าทีอีกฝ่ายเท่าไหร่นัก แต่โดยรวมแล้ว หลายสิ่งอย่างที่พวกเขาทำให้ ล้วนมีเจตนาดีกับนางทั้งสิ้น
“เจ้ายิ้มได้งดงามมากจริงๆ ดูเหมือนว่า ร่องรอยจุดด่างดำบนใบหน้าของเจ้ายังพอมีหนทางขจัดทิ้งได้อยู่ หากไม่รังเกียจ หลังจากที่ข้ากลับไป จะลองสอบถามผู้อาวุโสในตระกูลดูว่ามีวิธีจัดการอย่างไรบ้าง”
แลเห็นรอยยิ้มจางอ่อนภายใต้ผ้าคลุมใบหน้าสีขาวบางของเซียถง หลัวซีก็ยกนิ้วจิ้มไปที่ใบหน้าของนางเบาๆ ทีสองที ราวกับเขากับเซียถงเป็นสหายสนิทกันในระดับหนึ่งแล้ว
เรียวนิ้วของหลัวซีค่อนข้างนุ่มมากเลยทีเดียว เสมือนกับว่ามีกระแสน้ำอุ่นไหลเข้ามาผ่านนิ้วที่เข้าสัมผัสบนแก้มของนาง ทำให้รู้สึกสบายเนื้อสบายตัวอย่างบอกไม่ถูก เซียถงไม่ได้มีปฏิกิริยาตอบโต้ใดๆ ปล่อยให้อีกฝ่ายจิ้มแก้มตนอยู่แบบนั้น และกล่าวเพียงว่า
“ไม่จำเป็น ชีวิตนี้ของข้าหาได้พึ่งพารูปโฉม สวยไปก็มิได้ทำให้แข็งแกร่งขึ้น กลับชักนำปัญหาไม่เข้าเรื่องมาเพิ่มด้วยซ้ำ”
“ฮ่าฮ่า งั้นรึ! นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ข้าได้พบเจอกับหญิงสาวเช่นเจ้าที่มิได้สนใจเรื่องหน้าตาแม้แต่น้อย”
หลัวซีชักนิ้วเก็บกลับมา เอียงศีรษะเล็กน้อยเอ่ยอุทานออกมา สีหน้าแววตาเผยแววแสนสับสน เขาเพิ่งเคยเจอกับผู้หญิงที่ไม่สนใจเรื่องหน้าตาเช่นนี้เป็นครั้งแรกจริงๆ ทำเอารู้สึกงุนงวยมิได้
“นอนบนนี้ช่างสบายเสียจริง!”
หลัวซีเดินตรงเข้าสู่มหาสมุทรบุปผาหลากสีสัน และเอนกายนอนราบ ประสานมือทั้งสองข้างไปที่ท้ายทอยและเอนศีรษะหลับตาลง ผิวหน้าสัมผัสได้ถึงสายลมที่โชยอ่อนเข้าปะทะ สัมผัสเย็นสดชื่นทำให้ตัวเขามีความสุขเป็นอย่างมาก ขนตายาวงอนได้ทรงสวยดีดเด้ง ใบหน้าขาวนวลเนื้อละเอียดดูเข้ากับมาหสมุทรบุปผาแห่งนี้มาก ไม่นานเขาก็กึ่งลืมตาขึ้นหรี่มอง เด็ดดอกไม้ป่าสีแดงต้นหนึ่ง นำมาคาบในปาก กลีบทั้งสี่ห้าใบกวัดแกว่งไปมาแผ่วเบาตามลมหายใจของเจ้าตัว
เห็นทีท่าเกียจคร้านของหลัวซีเช่นนั้นแล้ว เซียถงก็เริ่มรู้สึกง่วงขึ้นมาบ้างเช่นกัน จึงเดินตรงเข้ามาท่ามกลางมหาสมุทรบุปผาและเอนแผ่นกายนอนลงบนพื้น อยู่ห่างจากอีกฝ่ายไม่ใกล้ไม่ไกลนัก
ผืนหญ้าอ่อนสีขจีเขียวอยู่ข้างใต้ กลิ่นหอมจางอ่อนของเม็ดดินเคียงบุปผาพัดโชยกลางอากาศ ผึ้งน้อยสีเหลืองประมาณสองสามตัวกระพือปีกบินเสียงวี่แวว เคลื่อนผ่านปลายจมูกของทั้งสองอย่างเป็นมิตร ดวงตะวันทอแสงสีทองอร่าม ฉายฉาบลงมาสร้างความอบอุ่นในแก่ร่างกาย ความอภิรมย์แสนสบายที่เกินจะพรรณนาแผ่ซ่านออกมาจากจิตใจห้วงลึกของนาง ยามนี้พลันรู้สึกขี้เกียจอย่างบอกไม่ถูก ห้ามใจปิดเปลือกตาลงมิได้
นางไม่เคยรู้สึกเกียจคร้านปานนี้มาก่อน เพียงว่าร่างกายของนางในเวลานี้ช่างเบาสบาย เหมือนว่ากำลังแช่ตัวอยู่ในบ่อน้ำพุร้อน ทุกอณูรูขุมขนเปิดออกเป็นอิสระ ระบายความเครียดอันหนักอึ้งที่ต้องแบกรับเสมอมาออกไป ความผ่อนคลายเช่นนี้…ข้าไม่เคยสัมผัสนานแค่ไหนแล้ว…. ผ่านไปไม่นาน เซียถงก็ผล็อยหลับไป
“นี่เจ้า มีอะไรติดอยู่บนหน้า…”
หลัวซีหันศีรษะไปเห็นสิ่งผิดปกติบนใบหน้าของนาง แต่เมื่อเห็นว่าเซียถงกำลังหลับสบายอยู่จึงรีบปิดปากเงียบลงทันใด เพราะจะอย่างไร สิ่งที่อบู่บนใบหน้าก็หาใช่ของมีพิษภัยอันใดเลย แลเห็นดังนั้น เขาจึงหันกลับมาจัดท่านอนดังเดิมและหลับไป
สาวน้อยนางหนึ่งกำลังตกสู่ภวังค์หลับใหลแสนสงบ ท่ามกลางทุ่งดอกไม้ที่กว้างใหญ่เปรียบดั่งมหาสมุทร บนใบหน้าของนาง คล้ายกับมีใยไหมสีฟ้าอ่อนนุ่มประมาณสามสี่เส้นห้อยต่องแต่ง ลอบเข้าละลาบละล้วงอยู่ใต้ผ้าคลุมหน้า สะบัดแกว่งไปทางซ้ายทีขวาทีอยู่แบบนั้น ราวกับไม้ขนไก่ที่กำลังปัดกวาดทำความสะอาด และไม่นานร่องรอยจุดด่างดำบนใบหน้าของเซียถงก็จางอ่อนลง เผยให้เห็นผิวพรรณสีขาวผ่องดั่งหยกเปล่งประกาย เจ้าตัวที่อยู่เกาะบนใบหน้ามีลักษณะอวบอั๋นจ้ำม่ำเล็กน้อยและน่ารังน่าชังเป็นอย่างมาก
เนื่องด้วยจิตใต้สำนึกของนางยังคงระแวดระวังตัวอยู่ตลอดเวลา ดังนั้น ถึงเซียถงจะรู้สึกนอนหลับอย่างสบายใจเพียงใด แต่นั่นก็ยังอยู่ในสภาวะกึ่งหลับกึ่งตื่น และทันทีที่นางสัมผัสได้ถึงบางสิ่งที่มีขนยาวปุกปุยลอดเข้ามามใต้ผ้าคลุมหน้า ลูบไล้ปลายจมูกของนางเบาๆ ก็พยันสะดุ้งเฮือกลืมตาตื่นขึ้นในทันใด และสิ่งแรกที่ลืมตามาเห็นก็คือ กำลังมีเจ้าก้อนขนตัวน้อยปุกปุยกำลังยกอุ้งเท้าขึ้นมาเขี่ยจมูกของนางเล่นอยู่บนใบหน้า