ตอนที่342 ตระกูลหลัวถูกรุกราน (2)
ตอนที่342 ตระกูลหลัวถูกรุกราน (2)
ในอีกด้านหนึ่ง หลัวซีถูกต้อนบังคับให้ออกห่างจากผู้อาวุโสอินทรีโลหิตไปยังด้านนอกโถงพิธี ยามนี้กำลังถูกรุกรามโจมตีเช่นกัน ซึ่งกลุ่มยอดฝีมือที่ปิดล้อมกรอบเขาไว้ก็คือพวกดนตรีที่แฝงตัวเข้ามาในงานแต่ง ความแข็งแกร่งของคนพวกนี้อ่อนด้อยกว่าพวกปรมาจารย์ที่ล้อมกรอบปู่ของเขาค่อนข้างมาก แต่ถึงแบบนั้นก็ยังเพียงพอที่จะจับเป็นหลัวซีได้ สัมผัสถึงภัยอันตรายที่คืบคลานเข้ามา ฉู่จู ตงเหม่ยและเซี่ยเห่อรีบวิ่งขึ้นหน้า เข้าขวางมิให้ยอดฝีมือกลุ่มนี้เข้าถึงตัวนายน้อยของพวกนางได้โดยง่าย แต่ละคนรีบกระบี่พร้อมรบเต็มกำลัง
ส่วนผู้คนที่แตกฮือกระจายตามมุมต่างๆ ทั่วลานบ้าน ต่างแห่ไปหยิบยุทโธอาวุธเข้ามาช่วยต้านรับอีกแรง
“นี่เป็นกำลังคนของเจ้ารึ?”
แลเห็นหลัวซีจมอยู่ท่ามกลางวงล้อมภัยอันตราย เซียถงคิ้วขมวดย่นเอ่ยถามขึ้นทันที นางรู้สึกไม่พอใจยิ่งยวด ที่สรุปสุดท้ายต้องกลายมาเป็นเครื่องมือที่ถูกไป๋หลี่หานหลอกใช้อีกต่อหนึ่ง
“คนพวกนี้หาใช่ของข้า คาดว่าเป็นคนขององค์จักรพรรดิซีฉิน กล่าวตามสัตย์จริง สถานที่แห่งนี้เปรียบเสมือนแดนลับแล ทางเข้าถูกซ่อนไว้มิดชิดมาก และหากไม่ได้อสูรจิ้งจอกเพลิงตนนี้ช่วยนำทาง เกรงว่าหาเจ้าไม่เจอเช่นกัน”
ไป๋หลี่หาเหลือบมองริมฝีปากสีอมชมพูฉ่ำของเซียถงที่คดยู่ยี่บึ้งตึง ดูท่านางกำลังหงุดหงิดมิใช่น้อยเลย แต่นี่กลับน่ารักอย่าบอกใคร แค่ได้เห็นปราดหนึ่งก็ทำเอาเขาอดยิ้มมิได้
ตั้งแต่เมื่อใดกันที่นางเริ่มใช้อารมณ์ความรู้สึกกับเขา?
เซียถงได้ยินแบบนั้นพลันรู้แจ้ง ไม่น่าแปลกใจเลยที่ไฉนจี้จี้ถึงหายหัวไปตลอดหลายวันที่ผ่านมา ปรากฏว่ามันกำลังนำทางให้ไป๋หลี่หานเข้ามาช่วยเหลือนี่เอง เซียถงกำลังนอนซบศีรษะอยู่ในอ้อมแขนของอีกฝ่าย พลางเอ่ยถามขึ้นต่อว่า
“องค์จักรพรรดิซีฉินอยากได้วรยุทธต่อสู้ในมือหลัวซีงั้นรึ?”
“ใช่ แล้วมันยังต้องการวรยุทธต่อสู้ในมือเจ้าด้วย”
“ไม่น่าแปลกใจเลยสักนิด ที่ไฉนอีกฝ่ายถึงพยายามคลุมถุงชนให้ข้าอภิเษกกับชิงเยวี่ยให้ได้”
เซียถงพยักหน้ารับทราบในทันที ขณะกำลังจะปริปากถามต่อเนื่อง ทันใดนั้นนางก็พลันสัมผัสได้ถึง ประกายตาสีอ่อนของอีกฝ่ายที่ทอแสงสว่างอบอุ่นเข้าใส่ เพียงชั่วอึดใจ นางรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากลบางอย่าง จึงลืมตาเบิกกว้าง หันเข้าสบปะทะกับสายตาคู่เฉียบคมที่ซ่อนอยู่ภายใต้หน้ากากดำขลับ ทว่าสิ่งที่แตกต่างออกไปคือ แววตาคู่นี้กลับดูอ่อนนุ่มและสว่างไสวกว่าอดีตผ่านมา การที่ไป๋หลี่หานมองมาที่นางด้วยแววตาอ่อนโยน ทำเอานางรู้สึกไม่คุ้นชินเอาเสียเลย
“เจ้า…เจ้ามองอะไร?”
ต่อหน้าท่าทีที่แปลกไปของไป๋หลี่หาน เซียถงตระหนกตกใจ อุทานร้องถามเผยทีท่าระมัดระวังตัวขึ้นทันที
“เหตุผลที่หลัวซีปรารถนาแต่งงานกับเจ้า เป็นเพราะเขาเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของเจ้าแล้วกระมัง?”
ไป๋หลี่หานริมเสียงกระซิบทุ้มต่ำ พลางถอดถอนสายตาจากใบหน้าอีกฝ่ายไป
โฉมหน้าที่แท้จริง? จริงสิ!! เซียถงเพิ่งจะคิดได้ว่า จุดด่างดำบนใบหน้าของนางตอนนี้ได้ถูกลบจนเกลี้ยงเกลาหมดแล้ว! แสดงว่าสิ่งที่ไป๋หลี่หานกำลังเห็นอยู่ ณ ขณะนี้ก็คือ…ใบหน้าที่แท้จริงของนาง? แย่แล้ว! แย่แน่ๆ! เจ้าหมอนี่วางแผนคิดจะทำยังไงต่อกับนางหลังจากที่ได้เห็นหน้าจริงแล้วกัน? หวังว่า…มันจะไม่ซ้ำรอยอีหรอบเดิมกับหลัวซี ที่คิดจะจับนางมาแต่งงานด้วย?
ชั่วพริบตาถัดมา นางใจสั่นระสับระส่ายรุนแรงเสมือนลั่นกลองศึกออกรบ เคลื่อนสายตาเหลือบมอง พยายามคาดเดาสีหน้าการแสดงออกของไป๋หลี่หานที่ถูกซ่อนอยู่ภายใต้หน้ากากผ่าแววตาอีกฝ่าย ลูกตาทอประกายสีดำจัดก่อนหน้าที่สุดแสนจะน่ากลัวของเขา ในเวลานี้กลับสิ้นลายไม่เหลือร่องรอยความน่ากลัว ทว่ามีเพียงความอบอุ่นนุ่มนวลประดุจกระแสน้ำร้อนที่ไหลผ่าน ก็ว่าทำไมสายตาอีกฝ่ายถึงได้แปรเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้ แล้วผู้คนส่วนใหญ่เวลาได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของนาง ทุกคนล้วนเป็นเช่นนี้กันทั้งนั้น ตามด้วยความคิดสกปรกแอบแฝงที่ไล่หลังมา…
ในเวลานี้เอง บนฟากฟ้านภาสูงลิ่ว ปรากฏเงาสีดำขนาดมหึมาลอยอยู่เหนือศีรษะ เสียงกรีดร้องคมแหลมแทบบาดแก้วหูราวอสนีคำรนดังลั่นทั่วสารทิศ ประมาณการได้ครึ่งหลา ถูกปกคลุมด้วยปีกสยายใหญ่ยักษ์
หลายต่อหลายคน แทนที่จะตื่นตระหนกตกใจเมื่อได้เห็นสัตว์อสูรอินทรีโลหิตยักษ์ถลาลมเข้ามา พวกเขากลับถอยขบวนตั้งรับอย่างเป็นระเบียบมาก ร่นฝีเท้าถอยกรูราวกับน้ำลง ทันใดนั้นเองก็มีเสือดาวเหมันต์ร่างยักษ์กระโจนออกโรง พุ่งเข้าสกัดกั้นการโจมตีของอินทรีโลหิตยักษ์โดยตรง แต่อย่างไร ขอจงรู้ไว้ ในคราวนี้เจ้านายของมันกำลังตกอยู่ในอันตรายเป็นตาย ฉะนั้นแล้ว ถึงเจอกับสัตว์อสูรธาตุน้ำแข็งที่แพ้ทางอย่างเสือดาวเหมันต์ อินทรีโลหิตยักษ์ตนนี้กลับไม่ถอยหนีเหมือนครั้งที่แล้ว แต่เข้าพัลวันสู้ยิบตาอย่างดุเดือด สองสัตว์อสูรยักษ์เข้าประสานงาทั้งชน
ฉกฉวยโอกาสนี้เอง ผู้อาวุโสอินทรีโลหิตรีบกวาดสายตาหันไปทางหลัวซีที่โดนปิดล้อม ก่อนจะรีบลุกขึ้นวิ่งฝ่าวงล้อมที่กำลังโกลาหล พุ่งเข้าไปช่วยเหลือหลานชายตัวเองโดยเร็ว
“ผู้อาวุโสอินทรีโลหิตมีโอสถขับพิษเครื่องหอมติดตัวอยู่!”
เซียถงหันขวับไปทางผู้อาวุโสอินทรีโลหิตที่แหกด่าปราการศัตรูมุ่งช่วยเหลือหลัวซีที่อยู่ด้านนอก ที่รีบเอ่ยขึ้นเช่นนี้เพราะมิใช่ใดอื่น หากผู้คิดค้นยาพิษเครื่องหอมที่นางโดนถูกฆ่าทิ้งไป เช่นนั้นแล้วจะไปเสาะหาจากไหนได้อีก?
ตาไป๋หลี่หานเบิกกว้างเป็นประกาย พริบตาขณะ คู่เท้ากระตุกวูบถีบอากาศท้าลมทะยานไปหาผู้อาวุโสอินทรีโลหิตที่อยู่ภาคพื้น แต่ทันใดนั้นเอง พลันนึกอะไรขึ้นได้จึงชะงักหยุดกะทันหัน ชำเลืองหางตาแสนเจ้าเล่ห์เหลือบมองเซียถง และเอ่ยถามขึ้นว่า
“หากช่วยนำโอสถขับพิษที่ว่ามาได้ แล้วเจ้าจะตอบแทนอะไรข้า?”
“เจ้าต้องการสิ่งใดล่ะ?”
คราวนี้ กลับกลายเป็นว่าเซียถงติดหนี้บุญคุณไป๋หลี่หานครั้งใหญ่หลวงของจริง เรื่องเงินทองอีกฝ่ายคงหาได้ต้องการไม่ เช่นนั้นจึงเป็นกังวลยิ่งยวด อีกฝ่ายต้องการสิ่งใดตอบแทนล่ะ? พอได้ยินอีกฝ่ายเรียกหาค่าตอบแทน นางจึงยิงคำถามข้อนี้สวนโดยไว ว่าต้องการสิ่งใด? ฟังดูแล้วเหมือนอีกฝ่ายช่วยเหลือหวังผลตอบแทน แต่นี่กลับทำให้เซียถงรู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก เวลาทำงานย่อมมีสิ่งแลกเปลี่ยน สิ่งใดได้มาโดยไม่จ่ายสักแดง นี่สิถึงน่ากลัว
“เจ้าลองเสนอมาสิ มีอะไรบ้างที่สามารถให้ข้าได้?”
เวาลนี้ไป๋หลี่หานปั้นหน้าปั่นประสาทมิใช่เล่น
“เอ่อ… ข้า…ข้ามี…”
เซียถงลังเลสองใจ กังวลว่าสิ่งที่ไป๋หลี่หานต้องการจริงๆ ก็คือ วรยุทธ์ต่อสู้ที่อยู่ในมือนาง หากปฏิเสธไม่ยอมมอบให้ กลัวว่าจะโดนจับฆ่าทิ้งทันที
“ไม่ ไม่ ข้ามิได้หมายถึงวรยุทธต่อสู้ของเจ้า เรื่องแบบนั้นข้าผู้นี้หาได้สนใจเลยสักนิด”
แค่สังเกตมองสีหน้าการแสดงออกที่เปลี่ยนไปของเซียถง เจ้าตัวย่อมตระหนักทราบทันทีถึงสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังเป็นกังวล เช่นนั้นจึงกล่าวดักทาง แก้ไขให้คลายใจลง
เสมือนความคิดอ่านภายในใจเซียถงถูกเปิดเผยจนหมดเปลือก ใบหน้าของนางแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อทันใด กดสายตาต่ำชำเลืองมองผู้อาวุโสอินทรีโลหิตที่เสียเปรียบเข้าทุกที หลับตาปี๋ตะโกนลั่นขึ้นว่า
“ตราบเท่าที่ข้าสามารถมอบให้เจ้าได้ ข้า…ข้ายอมทุกอย่าง!”
เนื่องจากไป๋หลี่หานไม่รู้ว่า นางเองก็เป็นนักหลอมโอสถคนหนึ่ง จึงกังวลเหลือเกินว่าสิ่งที่เขาต้องการนอกเหนือไปจากวรยุทธต่อสู้ในมือนางและโอสถ มันจะเป็น…