ตอนที่393 ภัยคุกคาม (2)
ตอนที่393 ภัยคุกคาม (2)
เซียถงถอยกลับไปนั่งพิงกำแพงที่ตำแหน่งก่อนหน้าพร้อมกับชามในมือ แผ่นหลังอิงแนบและหลับตาลงอีกครั้งโดยไม่เอ่ยกล่าวใดๆ อีก ผ่านไปเป็นเวลานาน จู่ๆ นางก็ได้ยินเสียงตะโกนร้องลั่นออกมาด้วยความหวาดกลัวสุดขีด
“ท่านแม่! ท่านแม่! พวกเจ้าไปให้พ้น! อย่ารังแกท่านแม่! อย่ารังแกท่านแม่ข้าเลย!!”
สะดุ้งเฮือกใหญ่ ตื่นขึ้นทันทีด้วยความตกใจ เซียถงรีบหันไปมองทางด้านเย่หลีเทียน แลเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังหลับตาอยู่ แต่กลับสะบัดสองมือปัดกวาดไปทั่วอากาศ พร้อมเสียงตะโกนลั่นอย่างตื่นตระหนกขึ้นว่า
“ท่านแม่! ท่านแม่! อย่าทิ้งข้าไป! อย่า…”
เขายังพูดต่อ ทว่าคราวนื้มือไม้ที่ปัดกวาดไปมองใบอากาศกลับดูรุนแรงและดุร้ายยิ่งขึ้น
“พวกเจ้า! พวกเจ้าบังอาจฆ่าท่านแม่! เช่นนั้นข้าก็จะฆ่าพวกเจ้าทิ้งให้หมด! คืนชีวิตท่านแม่ของข้ามา!!!”
เสียงร้องคำรามโหยหวนดังระงมอยู่สักครู่หนึ่ง ในเวลาต่อมา สีหน้าการแสดงออกของเขาทั้งที่ยังหลับตาก็แปรเปลี่ยนไป ในเวลานี้กลับดูโศกเศร้าและข่มขื่นเป็นอย่างมาก และจู่ๆ ก็มีน้ำตาไหลรินออกมาจากดวงตาสองข้างที่ปิดแน่น
“ท่านแม่ ท่านแม่อยู่ไหน? ข้าอยากอยู่กับท่านแม่ ข้าอยากอยู่กับท่านแม่อีกครั้ง ข้าไม่ต้องการสิ่งใดเลย ไม่ต้องการร่ำเรียนวรยุทธ ไม่อยากได้เงินทองความมั่งคั่ง แค่ต้องการอยู่กับท่านแม่ แค่ต้องการอยู่กับท่าน…”
สุ้มเสียงนั้นค่อยๆ ลดต่ำลง จากนั้นเย่หลีเทียนก็ร้องไห้ออกมา
เซียถงทนฟังต่อไปไม่ไหวแล้ว จึงเดินเข้าไปใกล้และเอื้อมมือไปเขย่าร่างอีกฝ่ายหวังจะปลุกให้ตื่น ทว่าเรื่องไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น! เย่หลีเทียนลืมตาตื่นขึ้นฉับพลัน กระโจนเข้าใส่เซียถงประดุจสัตว์ป่าดุร้ายจนเสียการทรงตัวล้มคะมำ อีกฝ่ายขึ้นคล่อมบนร่างของนางเอาไว้ และใช้สองมือบีบคอนางหวังจะฆ่าให้ตาย สบถคำด่าสาปแช่งด้วยความแค้นอาฆาตยิ่งว่า
“ไอ้บัดซบ! เจ้าฆ่าท่านแม่! ข้าจะฉีกศพของเจ้าให้เป็นพันหมื่นชิ้น!”
ทุกท่วงท่าที่เย่หลีเทียนเผยแสดงออกมาทั้งดุร้ายและโหดเหี้ยมเกินมนุษย์ ราวกับตั้งใจจะบีบคอให้นางขาดอากาศหายใจตายไปจริงๆ เซียถงพยายามดิ้นรนสุดกำลัง เค้นเสียงตะโกนขึ้นลั่น
“เย่หลีเทียน! ดูให้จงดีก่อน! ข้าเอง! ข้าคือเซียถงไง! หาใช่ฆาตกรสังหารแม่เจ้า!!”
ดวงตาคู่แดงก่ำของเย่หลีเทียนอัดแน่นไปด้วยแววอาฆาตพยาบาท เขายังคงบีบคอนางต่อไปโดยไม่สนใจฟังอะไรใดๆ
สิ่งเดียวที่อยู่ในหัวตอนนี้คือ เขาต้องการจะฆ่าคนตรงหน้าเท่านั้น
เย่หลีเทียนเป็นชายร่างสูงโปร่งพอๆ กับไป๋หลี่หาน และเนื่องด้วยสรีระของผู้ชายก็ดี เรื่องน้ำหนักก็ดี ส่งผลให้เซียถงในเวลานี้เสมือนถูกภูเขาลูกใหญ่กดทับไว้อยู่ ผ่านไปสักครู่หนึ่ง นางรู้สึกคล้ายกับว่า ตนเองกำลังขาดอากาศหายใจและใกล้จะตายในอีกไม่ช้า พยายามดิ้นให้หลุดอยู่สองสามครา แต่พอเห็นว่าอีกฝ่ายก็ยังไม่ได้สติเสียที นางจึงกัดฟันคว้ามีดสั้นที่ซ่อนใต้แขนเสื้อออกมา และแทงทะลุแขนของอีกฝ่ายโดยตรง
เย่หลีเทียนกรีดร้องลั่นด้วความเจ็บปวดสุดหัวใจ แต่เนื่องด้วยกระแสความเจ็บปวดเกินพรรณนานี้เอง จึงทำให้เขาได้สติฟื้นขึ้นอีกครั้ง เมื่อก้มหน้าไปเห็นเซียถงอยู่ใต้ร่างตัวเอง สีหน้าแววตาของเขาดูสับสนมึนงงอย่างมาก
เซียถงตบหน้าอีกฝ่ายเรียกสติอีกสักที พร้อมตะโกนลั่นว่า
“ปล่อยมือได้แล้ว!!”
“เกิดอะไรขึ้น?”
เย่หลีเทียนฟื้นคืนสติมาได้โดยสมบูรณ์ และรีบปล่อยมือคู่นั้นจากคอของเซียถง
นางรีบผลักร่างอีกฝ่ายออกไปให้พ้นทาง ลุกขึ้นจากพื้นอย่างรวดเร็ว เดินกลับไปนั่งพิงกำแพงดังเดิม กระแอมไออยู่สองสามครา ไม่พูดไม่จาใดๆ กับเขาอีกเลย
เย่หลีเทียนชำเลืองมองอีกฝ่ายเจือแววสงสัย กดสายตาต่ำ จับจ้องไปที่มีดสั้นเล่มนั้นที่เสียบคาอยู่ที่แขนของตน และจับมมันดึงออกมาโดยตรง ธารเลือดสดพุ่งกระเซ็นออกมาจากปากแผล แต่หาได้สนใจอะไรไม่ ใช้เสื้อตัวเองปาดเช็ดคราบเลือดบนใบมีดสั้นเล่มนั้น และส่งคืนให้เซียถง กล่าวน้ำเสียงแหบแห้งขึ้นว่า
“ข้าฝันร้ายน่ะ ไม่ได้ตั้งใจจะบีบคอเจ้า”
เซียถงรับมีดสั้นเล่มนั้นกลับคืน และหยิบโอสถห้ามเลือดเม็ดหนึ่งออกมา โยนให้อยู่บนพื้นต่อหน้าเย่หลีเทียน เพราะเมื่อครู่ เป็นฝีมือของนางเองที่แทงมีดเข้าใส่ ดังนั้นก็ควรต้องรับผิดชอบในส่วนนี้เช่นกัน
เย่หลีเทียนมองโอสถเม็ดนั้นบนพื้นตรงหน้าตัดสลับกับเซียถงไปมา ปรากฏแววความลังเลหนึ่งส่วนในดวงตาของเขา
“ท่านอัครมหาเสนาบดีเย่ หากไม่กินโอสถเม็ดนั้นสักที ข้าจะเหยียบขยี้มันเสีย”
เซียถงลุกขึ้นตรงเข้าไปใกล้ พร้อมยกเท้าขึ้นเหนือพื้นเตรียมจะเหยียบโอสถเม็ดนั้นทำลายทิ้งในทันที เสี้ยวอึดใจที่กระทืบเท้าทิ้งดิ่งลงมา กลับมีมือคู่หนึ่งพุ่งเข้ามาปิดป้องโอสถเม็ดนั้นบนพื้นเอาไว้มิให้ถูกเหยียบ
เซียถงเคลื่อนสายตาจับจ้องเย่หลีเทียน เลิกคิ้วเล็กน้อยและกล่าวว่า
“ท่านอัครมหาเสนาบดีเย่ มิใช่ว่าท่านกลัวว่า โอสถเม็ดนี้จะเป็นยาพิษ?”
“ก็ตลอดที่ผ่านมา เจ้าปรารถนาต้องการสังหารข้าทิ้งทุกครั้งที่มีโอกาส แล้วจะให้ข้าไม่คิดว่า มันเป็นยาพิษได้เยี่ยงไร?”
เย่หลีเทียนยิ้มเจือนและถอนมือขึ้นมาพร้อมโอสถเม็ดนนั้น นำมาพินิจตรวจสอบอย่างละเอียดตรงหน้าอยู่สักพัก จู่ๆ เขาก็อุทานขึ้นว่า
“นี่เป็นโอสถห้ามเลือดระดับสอง? คุณหนูเซียมีสมบัติล้ำค่าติดตัวมากมายโดยแท้!”
เซียงสังเกตเห็นว่า ปลายจมูกของเย่หลีเทียนขยับเล็กน้อย พึงทราบทันที ความสงสัยเคลือบแคลงของเขายังไม่หมดสิ้นไปสักทีเดียว เขากำลังแอบดมกลิ่นโอสถเพื่อพิสูจน์ว่ามันมีพิษฉาบคลุมอยู่หรือไม่ ดั่งที่เขาว่ากัน จิตใจของพวกคนชั่วล้วนระแวงคนอื่นไปเสียหมด นางหาได้สนใจทีท่าใดๆ ของอีกฝ่ายอีกต่อไป เพียงย้อนกลับมานั่งเอนหลังพิงกำแพงและหลับตาพักผ่อนอีกครั้ง
เย่หลีเทียนดมกลิ่นพิสูจน์อีกสักพักใหญ่ หลังรู้ว่าโอสถเม็ดนี้ไม่มีพิษจริงๆ จึงค่อยกลืนมันลงท้องอย่างระมัดระวัง และนานแผ่รอบกับพื้นหลับตาลงไปอีกคน
บรรยากาศในห้องลับใต้ดินแห่งนี้เงียบสงัดลงอีกครั้ง
ไม่ทราบวันเวลาผ่านไปนานเท่าใดแล้ว จู่ๆ เสียงคร่ำครวญกระสับกระส่ายก็ดังขึ้นอีกครั้งในห้องลับใต้ดินอันเงียบสงบแห่งนี้ เซียถงชักรำคาญกับเรื่องคร่ำครวญที่ดังกวนประสาทต่อเนื่องอยู่นาน จึงลุกขึ้นเดินไปหาเย่หลีเทียน ทันใดถึงกับตะลึง ร่างกายของเขาราวกับเพิ่งไปอาบห่าพิรุณมา ยิ่งไปกว่านั้นใบหน้าของเขาก็ยังแดงก่ำยิ่งกว่าก่อนหน้าเสียอีก
หลังจากได้รับบาดเจ็บสาหัสปานนั้น แต่ไม่ได้เข้ารับการรักษาที่เหมาะสม สิ่งที่ร่างกายต้องเผชิญในเวลาต่อมาคือ อาการไข้สูง ซึ่งนี่เกิดจากกลไกการป้องกันของร่างกาย หรือเรียกอีกอย่างคือ การตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันอย่างหนึ่งในยามร่างกายติดเชื้อ
หากหลังจากนี้อีกสักครึ่งชั่วยาม ยังคงมีไข้สูงอยู่ แสดงว่าอาการค่อนข้างหนักและมีแนวโน้มจะแย่ลง แต่ถ้าอุณหภูมิไข้ค่อยๆ ลดลงตามลำดับ ก็หมายความได้ว่า บุคคลนั้นพ้นขีดอันตรายแล้ว
แต่ในห้องลับใต้ดินแห่งนี้กลับไม่มีนาฬิกาจับเวลา เซียถงจึงไม่สามารถตรวจสอบอะไรได้ แต่จากที่รู้สึก เหมือนกับว่าเย่หลีเทียนมีอาการไข้สูงมาก่อนอยู่แล้ว ราวกับเป็นมานานกว่าหนึ่งถึงสองวัน นอกจากนี้เองบาดแผลบริเวณหน้าอกที่โดนแทงก็เริ่มเน่าแล้วเช่นกัน หากลองคิดวิเคราะห์ตามสถานการณ์ คณบดีอาจคิดว่า อีกฝ่ายคงไม่น่ามีชีวิตรอดแล้ว จึงคิดจะโยนศพทิ้งไว้ที่นี่ เพราะอย่างไรก็คงใกล้ตายในอีกไม่ช้า
คิดได้เช่นนั้น นางรีบชำเลืองมองเย่หลีเทียนที่นอนนิ่งอยู่บนพื้นทันที ลองเอื้อมมือไปแตะหน้าผากถึงกับสะดุ้ง เขามีไข้สูงมาก! หน้าผากมันร้อนราวกับภูเขาไฟที่กำลังปะทุ
“อัครมหาเสนาบดีเย่! อัครมหาเสนาบดีเย่!”
เซียถงรีบโน้มตัวเขย่าร่างของเขาทันที
เย่หลีเทียนพ่นลมหายใจร้อนระอุ เม็ดเงื่อทั่วหน้าผากไหลรินหยดลงมาราวกับน้ำฝน หลังจากเขย่าตัวเรียกสติอีกฝ่ายอยู่สองสามครา แต่กลับไร้ซึ่งปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ เซียถงก็เริ่มคิดหนัก ชั่วครู่ต่อมาจึงตัดสินใจถอดเสื้อผ้าของเขาออกมา หวังว่าช่วยระบายความร้อนในร่างกายออกมาได้บ้าง มิฉะนั้นหากปล่อยให้อุณหภูมิในร่างกายที่ถูกกักเก็บไว้สูงเกินขีดจำกัดที่ร่างกายรับไว้ เขาอาจจะเสียชีวิตได้ทันที
พริบตาต่อมา เย่หลีเทียนก็ถูกเซียถงแก้ผ้าจับเปลือย จะเหลือก็เพียงกางเกงในอยู่ตัวเดียว