ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง – ตอนที่ 415 เซียถงเข้าอภิเษกสมรส (1)

ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง

ตอนที่415 เซียถงเข้าอภิเษกสมรส (1)

ตอนที่415 เซียถงเข้าอภิเษกสมรส (1)

เซี่ยอี้เฉินศีรษะสั่นสะท้านเหลือเชื่อปวดเศียรแทบระเบิด ร่างเอียนเอียงแทบล้มคะมำไถลออกไปเบื้องหน้า โชคยังดีที่อิ๋งเอ๋อร์พุ่งเข้ามาพยุงได้ทัน เอ่ยทักถามด้วยความเป็นห่วงขึ้นว่า

“นายท่าน! เป็นอะไรรึเปล่าเจ้าค่ะ!?”

เซี่ยอี้เฉิงโบกมือปัด ทรงตัวลุกขึ้นทันที เดินหน้าก้าวออกไปหาอาจู เอ่ยถามน้ำเสียงเด็ดเดี่ยวเฉียบขาดว่า

“เจ้ากล้าสาบานหรือไม่ สิ่งที่เจ้ากล่าวไปทั้งคือความจริง?”

“เรียนนายท่าน หากไม่เชื่อคำพูดของบ่าวคนนี้ โปรดไปถามฮูหยินรองเฉิงได้เลย!”

ถึงสีหน้าการแสดงออกของอาจูจะซีดเซียวหวั่นใจ ทว่าแผ่นหลังของนางก็ยังตั้งเหยียดตรง ยืนหยัดกับคำพูดตนเองไม่แปรเปลี่ยน

“นังสารเลวนั่น! ที่ข้าทำดีกับนางเรื่อยมาช่างเสียเปล่าโดยแท้! นี่ข้าโดนใส่หมวกเขียวสวมเขาอยู่เสียนานนับสิบปีเชียว! โกหกตบตาข้า หวังจะบ่มเพาะเมล็ดพันธุ์ชั่วร้ายขึ้นมา!”

เซี่ยอี้เฉินก้าวฉับเสียงดังสนั่น เดินจากออกไปพร้อมกับเพลิงโทสะที่สุมทรวงอัดแน่น

อาจูร่วงลมกับพื้นอย่างโรยรา ปราศจากเรี่ยวแรงยืดหยัดใดๆได้อีก

“อาจู ข้าจะขึ้นเบี้ยเงินเดือนให้เจ้า เพิ่มเป็นสองเท่าถาวรตลอดชีพ!”

เซียถงยิ้มกริ่มหันมากล่าวกับอาจูอย่างพึงพอใจ พลางเหม่อมองแผ่นหลังที่แสนเกรี้ยวกราดของเซี่ยอี้เฉิงลับหายไป

เรื่องภูมิหลังที่แท้จริงของเซี่ยเสวี่ยเหลียน มันถูกฮูหยินรองเฉิงปกปิดเป็นความลับสุดยอดตลอดมา หากแต่ว่าอิ๋งเอ๋อร์ที่บังเอิญไปได้ยินบรรดาบ่าวรับใช้นินทากันลอยๆเกี่ยวกับเรื่องนี้ มีหรือที่นางจะคาบข่าวมาบอกกล่าวให้เซียถงได้ตระหนักสงสัย?

“อิ๋งเอ๋อร์ เจ้าไปเตรียมอาหารกล่องมาสักชุด แล้วก็เรียกรถม้ามาให้ด้วย ข้าจะพาท่านแม่ออกไปชมทิวทัศน์บนหุบเขาเฟิงฮั่วเสียหน่อย เห็นว่าสถานที่แห่งนี้บรรยากาศดี เหมาะแก่การเที่ยวชมในช่วงนี้”

เกรงว่า จวนเสนาบดีเซี่ยในวันนี้คงต้องลุกเป็นฟืนเป็นไฟตลอดเช้าเย็นเป็นแน่แท้ คงเสาะหาความสงบเงียบไม่ได้ เช่นนั้นแล้ว แทนที่จะปล่อยให้ท่านแม่ของนางต้องมาทนฟังเรื่องทะเลาะวิวาท สู้พานางออกไปเที่ยวชมอะไรสวยๆงามๆแถวนี้ยังดีเสียกว่า

ฟังว่าบรรยากาศและทิวทัศน์บนหุบเขาเฟิงฮั่วในช่วงนี้ ค่อนข้างงดงามน่าดูชม ตลอดทั้งวันยันช่วงเย็น เซียถงตั้งใจจะพาฮูหยินหลี่ออกไปสูดอากาศธรรมชาติข้างนอกเสียหน่อย วางแผนว่าจะกลับเข้าจวนอีกทีก็หลังมืดเลย

คล้อยหลังอาบน้ำเปลี่ยนชุดเสร็จสรรพ เซียถงก็มุ่งหน้าออกไปหาฮูหยินหลี่ที่เรือนพักโดยไว แต่ทันทีที่กำลังจะก้าวย่างเข้าประตูเรือน จู่ๆก็เห็นใครคนหนึ่งคล้ายจะเป็นคนบ้าเสียสติ ปราดวิ่งเข้าใส่ฮูหยินหลี่ จับแขนของนางกระชากอย่างแรง และร้องลั่นตะโกนโหวกเหวกร้อนใจยิ่งว่า

“ท่านแม่! ท่านแม่ยังจะอยู่ที่นี่เพื่ออันใด!? พวกคนจากจวนเสนาบดีเซี่ยกำลังตามฆ่าพวกเรา! รีบไปหาพ่อที่แท้จริงของข้าเร็ว! บางทีเขาอาจจะช่วยพวกเราได้!!”

ฮูหยินหลี่กรีดร้องลั่นแตกตื่นอย่างหนัก เซียถงที่เห็นดังนั้นก็รีบวิ่งไปคว้าไหล่ของคนบ้าเสียสติตรงหน้า ยกกระชากตัวลอยในบัดดล ก่อนจะทุ่มอัดพื้นสุดแรง เปล่งเสียงคำรามลั่นด้วยความโกรธเกรี้ยวว่า

“มีคนบ้าที่ไหนหลุดเข้ามา! พวกยามที่เฝ้าหน้าประตูจวนมันหายหัวไปไหนหมด!?”

คนบ้าเสียสติดังกล่าวนอนดิ้นคร่ำครวญอยู่กับพื้นด้วยความเจ็บปวด ผมเผ้ายาวรุงรังของอีกฝ่ายดูกระเซอะกระเซิงยุ่งเหยิงไม่เป็นระเบียบ เซียถงมุ่งสายตาจับจ้องอีกฝ่าย ยิ้มกล่าวขึ้นคำหนึ่งว่า

“ผู้หญิงคนนี้เป็นใคร? หน้าตาสะสวยดีดูไม่น้อยเลย”

ทันทีที่นางพยายามจะเอื้อมมือไปจับ จู่ๆคนบ้าเสียสตินางนั้นก็กรีดร้องโวยวายขึ้นอีกว่า

“อย่า! อย่าทำร้ายข้า! อย่าทำร้ายข้าเลย!! จะ-เจ้า…เจ้าจะจับข้าไปทรมานใช่ไหม?! ท่านองค์รัชทายาทเจ้าค่ะ ได้โปรดช่วยข้าด้วย! นังเซียถงมันพยายามจะฆ่าข้า! นังเซียถงมันพยายามจะฆ่าข้า!!”

เสียงแหกปากโวยวายดังสนั่นไปทั่วทุกพื้นที่ นางคนนี้ระดมพลังลมปราณมั่วซั่วไร้ระเบียบไปยังแขนข้างหนึ่ง สะบัดกวาดโจมตีใส่เซียถงสุ่มสี่สุ่มห้า

เพียงคว้ารับเรียวแขนข้างนั้นและพลิกกลับบิดมอง เซียถงมุ่งสายตาจับจ้องใบหน้าของนางคนนั้นโดยละเอียด และชั่วพริบตาต่อมา ก็ถึงกับตะลึงงันไปสักครู่ใหญ่ คนบ้าเสียสติที่ผมเผ้ายุ่งเหยิงนางนี้กลับหาใช่ใครอื่น แต่ก็คือเซี่ยเสวี่ยเหลียน!

เมื่อได้เห็นเซี่ยเสวี่ยเหลียนผู้สง่างดงาม กลับกลายมาเป็นคนบ้าเสียสติ ใบหน้ามอมแมมสกปรก ดวงตาเลื่อนลอยไร้จุดเพ่งมอง เซียถงก็ตกใจยิ่งยวด นี่นางกลายเป็นบ้าตั้งแต่เมื่อใดกัน?

เซี่ยเสวี่ยเหลียนที่โดนเซียถงกุมตัวจับแขนเอาไว้แน่น ก็กรีดร้องลั่นโวยวายออกมาไม่หยุด พอเซียถงออกแรงบีบเพิ่ม จู่ๆนางก็ร้องห่มร้องไห้ออกมา ตะโกนลั่นทั้งน้ำตาว่า

“ช่วยข้าด้วย! ช่วยข้าด้วย! ท่านองค์รัชทายาทโปรดช่วยข้าด้วย! มีคนกำลังจะฆ่าข้าแล้ว!”

“เซี่ยเสวี่ยเหลียน นี่เจ้าบ้าไปแล้วรึเปล่า?”

เซียถงหวังตะโกนเรียกสติ

“นางเป็นบ้าไปแล้วจริงๆ”

ทันใดนั้น เซี่ยหลู่เฟิงก็ปรากฏตัวขึ้นมา ชำเลืองมองไปทางเซี่ยเสวี่ยเหลียนอยู่หนึ่งปราด พลางกล่าวกับเซียถงอย่างสงบ

“เป็นบ้า?”

เซียถงยิ่งตื่นตระหนกเป็นทวีเท่า คนสติดีทั้งคน จู่ๆจะกลายเป็นบ้าไปได้ยังไง?

“ท่านแม่ของข้า…นางเสียแล้ว ส่วนน้องสาวของข้าก็กลายเป็นบ้าไปอีกคน”

เซี่ยหลู่เฟิงเอื้อมมือไปดึงตัวเซี่ยเสวี่ยเหลียนกลับสู่อ้อมแขนของตน พลางยกมือขึ้นลูบแผ่นหลังอย่างแผ่วเบา พยายามปลอบโยนให้นางสงบสติอารมณ์ลง

เซียถงกวาดสายตามองอีกฝ่ายตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนค้นพบว่า สีหน้าของชายตรงหน้าค่อนข้างซีดเซียวหม่นหมอง ดวงตาคู่นั้นกลายเป็นสีแดงก่ำบวมช้ำ เสื้อผ้าเลอะเทอะสกปรก สภาพโดยรวมดูแล้วค่อนข้างแย่ ทำเอานางอดรู้สึกผิดอย่างช่วยมิได้

ขณะที่เซี่ยหลู่เฟิงจับจ้องมองมา เซี่ยเสวี่ยเหลียนก็ยังแหกปากโวยวายและกรีดร้อง ยกมือยกไม้ขึ้นทุบตีตัวเขาไม่หยุดหย่อน

เซี่ยหลู่เฟิงทำได้เพียงเหม่อมอง เซี่ยเสวี่ยเหลียนที่กลายเป็นคนเสียสติไปแล้วทั้งน้ำตา ถึงจะโดนทุบตีขนาดไหนเขากลับไม่โกรธโมโหใดๆ เพียงยกมือขึ้นปาดเช็ดคาบเลือดผสมน้ำลายที่เปรอะเปื้อนบนคาง เงยหน้ากล่าวกับเซียถงอย่างใจเย็นว่า

“ท่านแม่ของข้าก็ตายไปแล้ว ส่วนน้องสาวของข้าก็กลายมาเป็นคนสติไม่ดี เท่านี้ก็ไม่มีใครเที่ยวตามรังควานเจ้าแล้ว”

พูดจบ เขาก็อุ้มเซี่ยเสวี่ยเหลียนขึ้นกอดในอ้อมแขน และหันหลังเดินจากออกไป

แผ่นหลังของบุรุษชายตรงหน้าเคลื่อนออกไปไกลห่างอย่างแช่มช้า ทั้งยังโซซัดโซเซดูไม่แน่นอนบางจังหวะ ราวกับว่าบนบ่าทั้งสองกำลังแบกรับความอ้างว้างและโศกเศร้าอันไร้ที่สุดสิ้นอยู่ ดั่งหัวใจดวงนี้ของเซียถงถูกบางสิ่งบางอย่างทิ่มแทง ริมฝีปากบางของนางเปิดอ้าออกมา ทว่าพูดไม่ออกแม้สักคำ

“ถองเอ๋อร์ เกิดอะไรขึ้นกัน?”

ฮูหยินหลี่วิ่งเข้าไปหลบในตัวเรือน เฝ้ามองภาพเหตุการณ์ทั้งหมดจากระยะไกลด้วยความตกใจ และพอทุกอย่างกลับมาสงบเรียบร้อยดีดังเดิม จึงค่อยรีบวิ่งปรี่เข้าหาเซียถง ไถถามถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นโดยทันที

“ท่านแม่ ข้าเองก็มิทราบว่าเกิดอะไรขึ้น เช่นนั้นแล้ว ไปถามจากท่านพ่อน่าจะดีกว่า”

เซียถงสั่งให้อาจูติดตามฮูหยินหลี่เดินทางออกไปหาเซี่ยอี้เฉิงด้วยกัน ส่วนทางด้านนาง ก็ไล่ถามจากพวกบ่าวรับใช้แถวนั้น

ความตั้งใจเดิมของนางก็แค่ ต้องการขับไล่สองแม่ลูกอย่างฮูหยินรองเฉิงกับเซี่ยเสวี่ยเหลียนออกไปจากจวนเสนาบดีเซี่ยเสียเท่านั้น มิได้เพื่อบ่อทำลายชีวิตของพวกเขาให้ฉิบหายวายวอด

หลังจากนั้นไม่นาน เซียถงก็เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด ได้ความว่า เซี่ยอี้เฉิงเดินทางไปเค้นถามความจริงจากปากฮูหยินรองเฉิง จนได้คำตอบ ปรากฏว่าพ่อที่แท้จริงของเซี่ยเสวี่ยเหลียนก็คือ หวานหลีซุน ด้วยความที่เขาไม่สามารถรับความจริงได้อย่างแรง จึงพลั่งมือคว้าแจกันที่อยู่แถวนั้นทุบใส่ศีรษะของฮูหยินรองเฉิงสุดแรง จนตายคาที่ในเวลาต่อมา

ในเวลานั้น เซี่ยเสวี่ยเหลียนบังเอิญแอบไปได้ยินพอดิบพอดีว่า ตนคือลูกชู้สวาทระหว่างท่านแม่กับท่านลุงหวาน แต่ยังไม่ทันจะได้ตั้งตัวทำใจ ก็กลับมาเห็นแม่ตัวเองต้องมาตายต่อหน้าต่อตาอีก ดั่งเส้นสติขาดพึงในพริบตา ทำให้นางกลายเป็นบ้าอย่างที่เห็น

ซึ่งหากกล่าวกันตามจริง สองแม่ลูกคู่นี้ถือได้ว่ารับกรรมตามสมควร เพียงแต่…คนที่ต้องมาแบกรับความทุกข์ทรมานต่อจากนั้นกลับเป็นเซี่ยหลู่เฟิง ทำเอาเซียถงอดถอดถอนหายใจมิได้

วันต่อมา ทั่วทั้งจวนเสนาบดีเซี่ยแห่งนี้ล้วนตกอยู่ในความเศร้าโศก เซี่ยอี้เฉินกับเซี่ยหลู่เฟิงเป็นคนรับผิดชอบจัดงานศพของฮูหยินรองเฉิง ส่วนเซี่ยเสวี่ยเหลียนก็ถูกขังอยู่ในกระท่อมฝืน นั่งบ้าโวยวายเสียสติอยู่แบบนั้น

สองวันถัดมา บรรยากาศภายในจวนเสนาบดีพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ เพราะวันนี้คือว่าที่เซียถงต้องเข้าพิธีอภิเษกสมรส

ในวันพิธีอภิเษกสมรส ได้มีขบวนพิธีสีแดงเพลิงอย่างยิ่งใหญ่เทียบเชิญมาถึงหน้าประตูจวนเสนาบดีเซี่ยเพื่อรับตัวเจ้าสาวขึ้นเกี้ยวขบวนพิธี บรรยากาศตลอดทุกมุมเมืองเต็มไปด้วยความยินดีปรีใจ บรรดาประชาชนทั้งหลายหลากในเมืองเฟิงหลี่ ล้วนแห่แหนกระจุกตัวอัดแน่นอยู่ที่บริเวณนอกประตูเมือง

ขบวนพิธีแห่สีแดงเพลิงในเวลานี้กำลังเดินทางออกนอกเมืองเฟิงหลี่แล้ว โดยมีจุดหมายคือดินแดงอี้เฉิง และในบรรดาผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วน จะมีอยู่คนหนึ่งที่ดูโดดเด่นที่สุด ชายคนนี้กำลังยืนตระหง่านพร้อมด้วยสองมือไขว้หลังอย่างงามสง่า ประดุจรูปปั้นหยกหล่อ จวบจนกระทั่งขบวนพิธีแห่เดินหน้าเคลื่อนออกไปไกลจนใกล้ลับเส้นสายตา ชายคนนั้นก็ยังคงยืนอยู่ท่าเดิมไม่มีแปรเปลี่ยน ประชาชนทั้งหลายเริ่มจะเกิดความสงสัย และเมื่อเพ่งสายตาพินิจมองโดยใกล้ พวกเขาก็จำหน้าได้ทันที ปรากฏว่าชายคนนั้นก็คือ ท่านอัครมหาเสนาบดีเย่แห่งวังหลวง แม้แต่ปัจจุบันที่ขบวนพิธีมุ่งหน้าไปไกลโพ้นจนเหลือเพียงจุดสีดำในเส้นสายตา เย่หลีเทียนก็ยังยืนมองอยู่แบบนั้นไม่มีไหวติงใดๆ

วันต่อมา ตามคำบอกเล่าจากทหารองครักษ์ที่เฝ้ายามหน้าประตูเมือง ฟังว่า ท่านอัครมหาเสนาบดีเย่ก็ยังคงยืนอยู่ตำแหน่งเดิมตลอดทั้งคืน สายตาคู่นั้นของเขาเอาแต่จับจ้องไปยังทิศทางที่ขบวนพิธีแห่จากออกไป

ใช้เวลากว่าสามวัน ในที่สุดขบวนพิธีแห่ก็ได้มาถึงดินแดนอี้เฉิง

ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง

ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง

Status: Ongoing
อดีตนักฆ่าสาวอันดับหนึ่ง ผู้มีใจคอโหดเหี้ยมอำมหิต ได้ทะลุมิติอยู่ในร่างสาวน้อยโฉมหน้าอัปลักษณ์ ที่ทุกคนต่างสาปส่งและรังแกสารพัด!เธอคือนักฆ่ามือวางอันดับหนึ่งแห่งยุค2018 แต่กลับถูกคนที่รักและไว้ใจที่สุดซ้อนแผนและสังหารเธอทิ้งในระหว่างภารกิจหนึ่ง ส่งผลให้วิญญาณของเธอทะลุมิติไปยังโลกอื่น! ซึ่งนางคนนี้เป็นคุณหนูสายตรงแห่งจวนเสนาบดี ใบหน้าช่างอัปลักษณ์น่าเกลียด ทว่ากลับมีพรสวรรค์ในด้านการบ่มเพาะพลังที่น่าทึ่ง!ในท้ายที่สุดนางได้เสียชีวิตลงเพื่อช่วยชีวิตชายที่นางรักสุดหัวใจ และนั่นเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่วิญญาณนักฆ่าสาวสลับเข้าร่าง เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ความงดงามดั่งบุปผาซ่อนพิษซึ่งเป็นจุดเด่นของเธอได้หายไป! โลกทั้งใบที่เคยรู้จักกลับไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว! ใบหน้าอัปลักษณ์? จุดตันเถียนถูกทำลายจนกลายมาเป็นสตรีพิการบ่มเพาะพลังไม่ได้? เจ้าของร่างเก่าถูกสังหารทิ้งโดยไม่มีผู้ใดไยดี? แต่ไม่เป็นไร ทั้งทักษะการฆ่าและจิตใจของเธออันไร้เมตตายังคงอยู่ เรื่องทั้งหมดเป็นแผนการของแม่เลี้ยงกับบุตรสาวของฮูหยินรอง? ได้! ได้เลย! ทุกคนไม่ว่าใครหน้าไหนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับแผนการนี้ จะไม่มีผู้ใดสามารถหนีรอดไปได้แน่แท้! ควบคุมหมื่นอสูร หลอมกลั่นโอสถ ตียุทธ์ภัณฑ์สร้างสิ่งประดิษฐ์ แม้แต่สวรรค์ยังต้องก้มกราบข้า!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท