ตอนที่417 ความหล่อเหลาเบื้องหลังหน้ากาก (1)
ตอนที่417 ความหล่อเหลาเบื้องหลังหน้ากาก (1)
“พระราชวังแห่งนี้ได้รับการคุ้มกันหนาแน่มาก ถึงแม้ข้าอยากหนีปานใด กลับไม่สามารถต่อให้เหาะเหินได้ก็ตาม”
เซียถงขมวดคิ้วส่ายหน้าอีกครั้ง
สาวน้อยนางนั้นชักรำคาญใจ โบกมือโวยวายด้วยความโมโห
“เจ้าเป็นคนขี้ขลาดกระไรปานนี้! แค่ตอบคำถามข้ามาเป็นพอ อยากจะหนีออกไปหรือไม่!?”
“ไม่อยาก”
เซียถงกล่าวตอบสั่นๆได้ใจความ
สาวน้อยกระทืบเท้าลงพื้นอย่างแรก ยามนี้ความอดทนได้ถึงขีดจำกัดแล้ว จึงแหกปากโวยวายขึ้นว่า
“เจ้านี่มัน…อ่า! ญาติผู้พี่ของข้าไม่ได้ชอบเจ้า! แล้วเจ้ายังมาทำอะไรอยู่ที่นี่อีก? พวกคณะขุนนางของอี้เฉิงเองก็เฝ้าจับตาดูเจ้าอยู่มิใช่น้อย! หรือเพราะคิดว่าการได้รับพระราชโองการอภิเษกสมรสจากตาแก่นั่นแล้ว จะทำให้เจ้าได้ขึ้นกลายเป็นพระชายาเอกของราชาหมาป่าสวรรค์จริงๆ? เสียใจด้วย! เพราะมันไม่ง่ายนัก!”
“อืมๆ ก็คงงั้นแหละ”
เซียถงพยักหน้าตอบทีหนึ่ง พลางหยิบลูกผิวกั่วสีแดงฉ่ำบนโต๊ะมากัดอย่างสบายๆ
“นี่ฟังข้าอยู่รึเปล่า!? หรือที่พูดไปเมื่อครู่ตั้งยาว เจ้ากลับไม่ได้รับฟังเลยสักคำ?”
เสมือนสาวน้อยนางนั้นถูกทีท่าอันไม่แยแสของเซียถงฆ่าตายทั้งเป็น ด้วยความโกรธจัดจนกะจิตกะใจรุ่มร้อนเป็นฝืนไฟ นางหันขวับคว้าเหยือกทองสัมฤทธิ์บนโต๊ะขึ้นกระดกคำโต หวังให้น้ำเย็นช่วยปลอบประโลมอารมณ์
“เดี๋ยว…”
เซียถงอยากจะเอ่ยปากเตือนออกไปเหลือเกินว่า ห้ามดื่มน้ำในเหยือกเด็ดขาด แต่เมื่อเห็น สาวน้อยนักกระหายนางนี้ซัดโฮกไม่หยุดต่อเนื่องสองสามอึก นางก็หยุดมือหุบปาก และไม่กล่าวอะไรใดๆต่ออีก
“สรุปว่าตอนนี้ เจ้าอยากหนีพิธีอภิเษกสมรสหรือไม่!?”
สาวน้อยร่างบางเดินโซเซเริ่มยืนไม่ตรง ใช้สองมือเข้าพยุงตัวไว้กับโต๊ะ ในเวลานี้จู่ๆนางก็รู้สึกดั่งว่า มีค้อนยักษ์หนักร้อยตันทับอยู่ที่เปลือกตาสองข้าง พยายามข่มกลั้นกระแสความอ่อนเพลียที่ถาโถม ฝืนลืมตาเปิดกว้างสุดกำลังแล้วกลับไม่สามารถ นางสะบัดหัวอย่างแรง ร้องอุทานขึ้นว่า
“ไฉนจู่ๆถึงง่วงปานนี้?”
ชั่วแวบต่อมา คล้ายกับว่านางเพิ่งตระหนักรู้แจ้ง ชี้นิ้วใส่เซียถง ดวงตาย่อยยานขี้เกียจแทบปิดสนิทแล้ว แต่ก็ยังเค้นเสียงสุดท้ายคำรามลั่น
“เจ้าวางยาลงใน…”
ทว่ายังไม่ทันพูดจบ นางก็สลบมอดทรุดฮวบลงกับพื้น
เซียถงเหยียดแขนรับร่างของสาวน้อยเอาไว้ได้ทันก่อนจะตกถึงพื้น แบกอุ้มขึ้นมานอนแผ่บนเตียงอย่างหมดสภาพ เนื่องด้วย ผงโอสถนิทราซองนี้ถูกหลอมกลั่นขึ้นมาเป็นพิเศษ เพื่อใช้กำราบไป๋หลี่หานโดยเฉพาะ ดังนั้นแล้ว ฤทธิ์โอสถจึงรุนแรงมากถึงขนาดที่ว่าสามารถล้มพญาช้างสารได้ในพริบตา อนึ่ง จากที่ลอบพินิจตรวจสอบดูแล้ว ระดับพลังลมปราณของสาวน้อยนางนี้อยู่ต่ำกว่าไป๋หลี่หานมาก แค่จิบเดียวก็ทำเอาสลบไสลได้แล้ว แต่แม่นางเล่นซัดไปเกือบครึ่งเหยือก และที่จู่ๆจอดับภาพตัดวูบไปทั้งแบบนั้น ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเลย
สาวน้อยหลับตาปิดสนิทนอนอยู่บนเตียง ช่วงปลายจมูกจะได้ยินเสียงกรนเบาๆอยู่เล็กน้อย
หากพาร่างนางออกไปทั้งแบบนี้ เกรงว่าความได้แตกเป็นแน่ และแผนลอบวางยาในเหยือกน้ำก็คงล้มเหลวไม่เป็นท่า ยิ่งเป็นคนช่างสังเกตอย่างไป๋หลี่หานด้วย… เซียถงระดมพลังสมองครุ่นคิดอย่างหนัก สักครู่ต่อมา รีบเร่งตัดสินใจฉับไวเนื่องจากเวลาไม่รีรอ จึงอุ้มร่างของสาวน้อยที่หลับปุ๋ยขึ้นมาอีกครั้ง และใช้เท้าตวัดผ้าคลุมยาวสีแดงเปิดใต้เตียงออกโดยไว แผนการชั่วคราวของนางก็ง่ายมาก ก็แค่ซ่อนสาวน้อยนางนี้อยู่ที่ใต้เตียงไปก่อน ด้วยฤทธิ์โอสถนิทราที่อีกฝ่ายซัดโฮกเข้าไป เที่ยงวันพรุ่งนี้ก็ยังไม่น่าตื่น
ส่วนที่ว่าหลังจากนางตื่นแล้วจะเอาอย่างไรต่อ ถึงตอนนั้นค่อยวางแผนคิดใหม่
เซียถงอุ้มร่างบางของสาวน้อยจับยัดใส่ใต้เตียงโดยไว และทันทีที่นางกระโดดขึ้นนั่งบนเตียง ไป๋หลี่หานในชุดเจ้าบ่าวสีแดงเพลิงก็เดินกลับเข้ามาอยู่หน้าประตูพอดี สีหน้าการแสดงออกยามนี้ดูฉงนสงสัย เหลือบมองประตูที่ถูกเปิดแง้มครึ่งทาง เอ่ยถามคำหนึ่งด้วยความสงสัยขึ้นว่า
“ประตูบานนี้เปิดได้ยังไง?”
เซียถงแสร้งทำหน้าไม่รู้เรื่อง ชำเลืองหาอีกฝ่ายอย่างมิค่อยเข้าใจนัก ปิดปากเงียบไม่เอ่ยตอบอะไรใดๆ
ไป๋หลี่หานตรงเข้ามาปิดประตู เดินขึ้นเตียงไปนั่งข้างๆนางและเอ่ยถามขึ้นอีกคราว่า
“ไยเจ้าไม่พูดล่ะ?”
แต่ทันทีที่เขาปีนขึ้นเตียงมานั่งข้างเซียถง ก็เพิ่งสังเกตเห็นแสงสะท้อนสีเย็นวูบวาบอยู่ใต้ผ้าห่ม ในขณะนี้กำลังมีคมมีดแหลมจ่อติดอยู่กลางอกของตน นางค่อยๆโน้มตัวเข้ามาใกล้ เอ่ยเสียงแผ่วกระซิบข้างหูว่า
“ท่านพี่ คืนนี้ไปหาที่อื่นนอนกัน”
กล่าวได้ว่า สถานะของทั้งคู่ในปัจจุบันถือเป็น สามีภรรยากันแล้ว เช่นนั้นสรรพนามที่นางใช้ขานเรียกไป๋หลี่หานจึงเปลี่ยนไปเช่นกัน
“โอ้? แล้วอยากให้ข้าไปนอนที่ไหนล่ะ?”
ไป๋หลี่หานส่งสายตาปริบแลดูขบขัน โดยหาได้สนใจคมมีดแหลมที่กดทับอยู่บนหน้าอกของตนเลยแม้สักนิดเดียว
“เว้นเสียแต่ที่นี่ ไม่ว่าท่านพี่อยากนอนที่ใด ย่อมเลือกได้ตามใจอยาก”
เซียถงกล่าวขึ้นประโยคหนึ่ง ซึ่งน้ำเสียงของนางเย็นยะเยือกดุจน้ำแข็ง
“ก็เว้นเสียแต่ที่นี่ ข้าเองก็มิได้อยากไปนอนที่ไหนแล้ว เซียถง หาใช่ตัวข้าจะมิทราบว่า สิ่งใดที่เจ้ากำลังกังวล หากเจ้าไม่ต้องการ ข้าเองก็จะไม่บังคับเจ้า”
เรียวนิ้วยาวของไป๋หลี่หานแตะสัมผัสลงบนใบมีดเล่มนั้นทะลุจ่อกลางอก จากนั้นก็ค่อยๆผลักมันออกไปอย่างแช่มช้า นัยน์ตาคู่นั้นภายใต้หน้ากาก ช่างลึกล้ำดุจเกลียวคลื่นสงัดหมุนโคจร
เซียถงเลิกคิ้วขึ้นเจือแววสงสัยเคลือบแคลง เอ่ยถามสวนกลับไปคำหนึ่ง
“ที่ท่านพี่กล่าวไปเป็นความจริงรึ?”
“แล้วคิดว่า ตัวเจ้านั้นจะรอดไปได้หรือไม่ หากข้าคนนี้ใช้กำลังบังคับ?”
ไป๋หลี่หานตอบโต้กลับไปอย่างมีวาทศิลป์
“ท่านพี่ ท่านมิอาจหยิบใช้กำลัง บีบบังคับข้าให้ทำตามในสิ่งที่ต้องการได้ ถึงแม้ที่นี่จะเป็นพระราชวังอี้เฉิง แต่ข้าเอง ก็ยังมีปัญญาก่อความวุ่นวายได้เช่นกัน อาจไม่มากถึงขั้นล่มจม แต่ก็เพียงพอแล้วสำหรับให้ท่านเริ่มบริหารใหม่”
เซียถงเก็บมีดสั้นในมือลงใต้แขนเสื้อดังเดิม
เท่าที่นางรู้จักไป๋หลี่หานมา คนอย่างเขาไม่มีทางทำเรื่องไร้ยางอายโดยที่อีกฝ่ายไม่เต็มใจแน่นอน
ไป๋หลี่หานระบายยิ้มเล็กน้อยและลุกขึ้นยืน ก้าวถอยหลังห่างจากเตียงไปสองสามก้าว จากนั้นก็หันหลังให้เซียถง เอ่ยถามโดยไม่มีแลเหลียวขึ้นว่า
“เซียถง ข้าทราบดี ตัวเจ้าในตอนนี้ยังไม่เชื่อใจข้า แต่ไม่เป็นไรเลย ข้ายังมีเวลาอีกมากสำหรับให้เจ้าได้พิสูจน์ความจริงใจนี้ จะว่าไปแล้ว นี่ก็ไม่ยุติธรรมต่อเจ้าเช่นกัน ที่มาบอกให้เชื่อใจข้า ทั้งที่…ยังไม่เคยเห็นโฉมหน้าของข้าเลยด้วยซ้ำ จริงไหม?”
พูดจบ จู่ๆมือข้างขวาของเขาก็ยกขึ้นมาสัมผัสหน้ากาก พร้อมกับค่อยๆหันหลังกลับมาอย่างแช่มช้า
เซียถงมุ่งสายตาจับจ้องภาพฉากเบื้องหน้าตาเขม็ง ในเวลานี้เสมือนอีกฝ่ายได้ปลุกกระตุ้นความคาดหวังของนางขึ้นฉับพลัน ความรู้สึกดังกล่าวกระทั่งนางเองก็อธิบายไม่ถูกเช่นกัน นี่…หมอนี่กำลังจะถอดหน้ากากให้เห็นแล้วจริงๆรึ?
“บนผืนพิภพแห่งนี้ ยกเว้นท่านแม่ข้าคนนึง ก็ไม่เคยมีใครเคยเห็นโฉมหน้าของข้าภายใต้หน้ากากนี้เลยสักคน แล้วเจ้าล่ะ? อยากเห็นหรือไม่?”
พอหันหลังกลับเข้ามา หน้ากากสีดำขลับก็ถูกเปิดออกไปกว่าครึ่งใบหน้า เผยให้เห็นสันจมูกตั้งตรงได้ทรงสวย ดวงตาคู่ใสพิสุทธิ์เปล่งระยิบระยับดั่งดวงดารา
เซียถงเม้มปากจิกแน่น เร่งระงับความอยากรู้อยากเห็นของตนลงสุดหัวใจ สบถขึ้นคำหนึ่งอย่างไม่แยแสว่า
“ข้ามิได้อยากเห็นเสียหน่อย!”
“แต่ข้าอยากให้เจ้าเห็น”
มุมปากคมกริบกระตุกยิ้มขึ้นเล็กน้อย หน้ากากสีดำขลับค่อยๆถูกยกขึ้นเปิดออก
ไป๋หลี่หานมองนางทั้งรอยยิ้มแบบนั้น ส่วนทางฝั่งเซียถงในเวลานี้ นางตะลึงงันแข็งทื่อเป็นรูปปั้นหินไปเรียบร้อยแล้ว
ตรงหน้านาง ปรากฏชายหนุ่มรูปงามประดุจหยกที่กำลังส่งยิ้มพราวเสน่ห์ให้ ทั้งนัยน์ตาและผมเผ้าของเขาล้วนเป็นสีดำขลับเข้มดุจน้ำหมึก แต่เป็นประกายเจิดจรัสน่าดึงดูด ตัดกับริมฝีปากบางสีแดงอิ่มกำลังพอดี รัศมีความหล่อเหลาของเขาสว่างจ้าเจิดจรัสเสียยิ่งกว่าแสงจันทร์ยามรัตติกาล
ใครจะไปคาดคิด โฉมหน้าที่ถูกเก็บซ่อนภายใต้หน้ากากตลอดมา แท้จริงแล้วจะรูปงามหล่อเหลาเกินจินตนาการปานนี้กัน!
เมื่อสรรหาคำพรรณนามาบรรยาย คงกำจัดความได้เพียงว่า หล่อเหลาดั่งฟ้าประทาน แต่ก็งดงามจนอิสตรียังอาย
ไม่น่าแปลกใจเลยที่เหตุใด องค์หญิงแห่งจักรวรรดิซีฉินถึงได้คลั่งรักปานจะกลืนกิน ขนาดญาติผู้น้องของตัวเขาเองยังหลงรัก จนถึงขนาดออกโรงมากันท่านางสุดฤทธิ์เมื่อครู่ แท้ที่จริง โฉมหน้าภายใต้หน้ากากของไป๋หลี่หาน กลับมิได้น่าเกลียดน่ากลัวอย่างที่คนเขาร่ำลือ ในทางตรงข้าม กลับหล่อเหลาจนไม่กล้ามองด้วยตาตรงๆ
อย่างไรเสีย สิ่งที่ทำให้เซียถงตะลึงงันแข็งทื่อเป็นรูปปั้นหินเฉกเช่นนี้ หาใช่เพราะความหล่อเหล่าอันไร้ที่ติของเขา แต่เป็นใบหน้าที่แสนคุ้นเคยนี้ต่างหาก ปรากฏว่า…เขาก็คือชายสวมหน้ากากคลื่นลายเมฆาลึกลับ ที่คอยให้ความช่วยเหลือนางอยู่หลายต่อหลายครั้ง!
เป็นคนที่ช่วยเหลือชีวิตนางจากความเป็นความตายในห้วงมิติมายาของกระบี่ทัณฑ์ฟ้า
ทั้งยังเป็นคนที่คอยติดตามนางไปยังเขตต้องห้ามในป่าสนหลังสถานศึกษาเซิงหลิง เพื่อไล่ล่าฝูงสัตว์อสูร
ปรากฏว่าเป็นเขานี่เอง ที่คอยให้ความช่วยเหลือนางตลอดมาโดยที่รู้ตัวมาก่อนเลย!
สะดุดสายตาจับจ้องใบหน้าที่แสนคุ้นเคยตรงหน้า เสมือนใจดวงนี้ของเซียถงพลิกกลับหัวกลับหางไปหมด หลายหลากคลื่นอารมณ์ถาโถมเข้าใส่อย่างไม่มีหยุดหย่อน จนในท้ายที่สุด นางพยายามกลั้นกรองทั้งหมดจนเหลือแค่ประโยคเดียวเท่านั้น
“ไยถึงเป็นเจ้า?”
“เป็นข้างแล้วมันไม่ดียังไงรึ?”
ไป๋หลี่หานเลิกคิ้วกระตุกเล็กน้อย ยิ้มถามนางกลับไปคำหนึ่ง ดวงตาคู่ใสสะอาดดั่งอัญมณีของเขา จ้องเขม็งมองมา ก่อนจะผันแปรหรี่เล็กเร้นประกายเป็นแสงริบหรี่ราวกับดวงดาราจรัส