ตอนที่422 เสาะหาสัตว์อสูรบนหุบเขาหิมะ (2)
ตอนที่422 เสาะหาสัตว์อสูรบนหุบเขาหิมะ (2)
นี่คือสัตว์อสูรธาตุน้ำแข็งที่ตรงตามเงื่อนไขทุกประการ ทันทีที่ได้เห็น เซียถงดีใจเสียจนลืมความเหน็บหนาวทุกประการใด
แต่ทันใดนั้น เมื่อเห็นว่ามีใครบางคนปีนขึ้นมาสู่ยอดหุบเขา กวางเหมยฮวาก็ลุกขึ้นเหยียดยืนตรงด้วยทีท่าตื่นตระหนก และเริ่มวิ่งออกไปทันที เซียถงตกใจยิ่งยวด เมื่อครู่เพิ่งหยิบใช้พละกำลังมหาศาลในการปีนป่ายขึ้นสู่ยอดเขา ทำให้นางรู้สึกเหน็ดเหนื่อยอย่างมากในขณะนี้ ทว่าในปัจจุบัน กวางเหมยฉวายังคิดที่จะหลบหนี แล้วมีหรือที่นางจะไล่ตามมันทัน?
ขณะที่กำลังเร่งรีบ ตีฝีเท้าไล่ตามออกไป เจ้าจี้จี้ก็กระโจนขึ้นหน้า พุ่งขัดขวางมิให้กวางเหมยฮวาตนนั้นหลบหนีไปได้ต่อ
กวางเหมยฮวาที่กำลังตีกีบสี่ขาสับวิ่งพลันชะงักหยุดทันตา ก้มศีรษะมองเจ้าจี้จี้ตัวน้อยที่อยู่บนพื้นหิมะเจือแววประหลาดใจ ก่อนจะส่งเสียงร้องออกมา
“หวูว หวูวว…”
“จิ๊ดจิ๊ด จิ๊ด…”
สัตว์อสูรสองตนกำลังสื่อสารด้วยภาษาที่พวกเขาเข้าใจกันเองอยู่ ทางด้านเซียถงเหม่อมองภาพฉากเบื้องหน้าด้วยความประหลาดใจ จี้จี้คงกำลังบอกว่า ให้หยุดวิ่งกระมัง?
สัตว์อสูรทั้งสองตนนั้นสื่อสารกันอยู่สักครู่หนึ่ง จี้จี้ที่ยืนโดยใช้สองอุ้งเท้าหลังบนพื้นหิมะหนา จู่ๆ ก็ยกอุ้งเท้าหน้าชี้ไปทางเซียถงอย่างว่างเปล่า
จากนั้นจี้จี้ก็รีบร้อนกระโดดโหยงเหยงกลับมาหา มันกระตุกคอเสื้อดึงเรียกเซียถงอยู่ทีสองที แล้วจี้ไปที่กวางเหมยฮวาตนนั้นพร้อมส่งเสียงร้องดังแหลม
เซียถงเหลียวตามองติดตามไปทางกวางเหมยฮวาตนนั้น หลังจากทายปริศนาจากท่าทางของมันสักครู่ ก็แกะข้อความออกมาได้ดังนี้ : ‘นายท่าน มันบอกว่า ท่านสามารถเอาโลหิตส่วนหนึ่งไปจากกวางเหมยฮวาได้ แลกกับที่ท่านห้ามฆ่าชีวิตมัน’
ได้ทราบเช่นนั้น เซียถงตะลึงงันไปชั่วขณะ เจ้าจี้จี้ไปเจรจาขอมันได้จริงๆ รึ?
“นายท่าน มิทราบว่าทำไม ข้ารู้สึกคุ้นเคยกับสัตว์อสูนตนนี้เสียเหลือเกิน ดูราวกับ…ข้าเคยรู้จักมันมาก่อน?”
เสี่ยวฮั่วเอ่ยเสียงดังก้องผ่านห้วงความคิดของนาง
“เจ้ารู้จักมัน?”
เซียถงสื่อจิตยิงคำถามกลับไป
“ข้าเองก็ไม่แน่ใจนัก ทว่ากลับคุ้นเคยกับมันเสียเหลือเกิน และเหตุที่มันตามทำตามท่านโดยง่าย อาจเพราะมันสัมผัสได้กลิ่นอายของข้าผ่านกายท่าน”
เสี่ยวฮั่วกล่าว
จะอย่างไร เสี่ยวฮั่วในเวลานี้จำไม่อะไม่ได้เลย ต่อให้ซักถามต่อไปก็เปล่าประโยชน์อยู่ดี ก่อนอื่นก่อนใด เซียถงจัดการปัญหาที่อยู่ในมือก่อนดีกว่า คิดได้เช่นนั้น นางจึงพยักหน้าให้จี้จี้และกล่าวว่า
“ตกลง ขอโลหิตเพียงหนึ่งส่วนเท่านั้น ข้าจะไม่เอาชีวิตของมัน”
จี้จี้ส่ายหางปุกปุยของมันอย่างมีความสุข และกระโดดวิ่งไปหากวางเหมยฮวาที่รออยู่อีกฝั่ง เพื่อถ่ายทอดสาสน์จากเซียถง
ทว่ากวางเหมยฮวาตนนั้นกลับมีทีท่าลังเล ชักไม่แน่ใจขึ้นมาฉับพลัน
“จิ๊ด!”
ทันใดนั้นเอง จู่ๆ จี้จี้ก็คำรามเสียงแหลมคมออกมาด้วยความโกรธจัด ทำเอากวางเหมยฮวาตนนั้นแสดงท่าทีหวาดกลัวผ่านดวงตาฉายวาบออกมา ก่อนจะโค้งศีรษะให้จี้จี้อย่างเชื่อฟัง
สุ้มเสียงหนึ่งดังผ่านห้วงความคิดของเซียถงขึ้นอีกครั้ง ขณะที่กำลังเดินตรงเข้าใกล้กวางเหมยฮวาตนนั้นตามที่จี้จี้กวักมือเรียกหา ส่งสัญญาณว่าทางสะดวกแล้ว เสี่ยวฮั่วกล่าวขึ้นอีกว่า
“นายท่าน ถึงโลหิตเพียงหนึ่งส่วนจะหาใช่ปริมาณมากถึงขั้นชีวิต แต่นี่จะทำให้มันตกอยู่ในสภาวะอ่อนแอชั่วขณะ ซึ่งท่ามกลางหุบเขาเหมันต์ มีแต่ภัยอันตรายที่มองไม่เห็น บางทีกวางเหมยฮวาตนนั้นอาจกังวลว่า ตนจะถูกฉวยจังหวะที่กำลังอ่อนแอถูกลอบโจมตีก็เป็นได้”
เซียถงพยักหน้าเข้าใจ และนางเองก็มีแผนรับมือกับเรื่องเหล่านี้แล้วเช่นกัน แต่สิ่งที่ทำให้นางประหลาดใจที่สุดในตอนนี้ก็คือ จี้จี้เป็นตัวอะไรกันแน่? ไฉนถึงสามารถควบคุมให้กวางเหมยฮวาตนนั้นเชื่อฟังได้? พึงทราบ กวางตนนั้นเป็นถึงสัตว์อสูรปราณวิญญาณชั้นปลายตนหนึ่ง!
จี้จี้ส่งเสียงร้องคมแหลมออกมา ทั้งยังส่ายหางไปมาอย่างผู้มีชัย ดูท่ามันจะมีประโยชน์มากกว่าเรื่องกินแล้ว
การจะหลอมกลั่นโอสถหาได้จำเป็นต้องใช้โลหิตสัตว์อสูรในปริมาณมากขนาดนั้น เพียงหนึ่งส่วนก็นับว่าเพียงพอแล้ว ดังนั้น เซียถงจึงใช้มีดสั้นเปิดปากแผลเล็กๆ บนผิวของกวางเหมยฮวาตนนั้น เติมเต็มโลหิตลงไปในขวดหยกได้จำนวนครึ่งหนึ่งก็เป็นพอ ก่อนจะนำผงโอสถห้ามเลือดออกมาจากแขนเสื้อ และชโลมทาลงบนปากแผลของกวางเหมยฮวาตนนั้น
ซึ่งระหว่างกระบวนทั้งหมด มีอยู่หลายครั้งที่กวางเหมยฮวาตกอยู่ในการตื่นตระหนก คิดจะวิ่งหนีออกไปก็บ่อยมาก แต่ทุกครั้งที่มันเกิดอาการตื่นตระหนก ก็มักจะถูกสายตาดุร้ายคู่หนึ่งของจี้จี้จ้องเขม็งใส่จนสงบไปเอง
หลังจากที่เซียถงทาผงโอสถห้ามเลือดให้กวางเหมยฮวาเสร็จสรรพ ก็นำโอสถระดับสามออกมาเม็ดหนึ่งให้มันกินต่อ
โอสถระดับสามเม็ดนี้ มีฤทธิ์เพิ่มเสริมกำลังความแข็งแกร่งให้แก่ผู้บำเพ็ญตบะอย่างมหาศาล กล่าวว่า หากผู้บำเพ็ญตบะขอบเขตเสาหลักเหลืองทานเข้าไป จะสามารถทะลวงขึ้นสู่ขอบเขตเสาหลักเขียวได้ในพริบตา ซึ่งกวางเหมยฮวาตนนี้ก็เป็นสัตว์อสูรปราณวิญญาณชั้นปลาย ถึงจะไม่มีผลในการยกระดับพลังของมันให้เพิ่มขึ้นสูงไปกว่านี้ แต่อย่างน้อยที่สุด ก็น่าจะช่วยฟื้นฟูพลังของมันได้ไม่มากก็น้อย
หลังจากจัดการทุกอย่างเสร็จสรรพ เซียถงก็เก็บขวดที่บรรจุโลหิตของกวางเหมยฮวาใส่ใต้อกเสื้อ และเตรียมเดินลงหุบเขาในทันที
“หวูวว หวูวว…”
สุ้มเสียงของกวางเหมยฮวาดังขึ้นฉับพลัน ก่อนจะรีบวิ่งนำหน้าเซียงออกไปยังเส้นทางหิมะสีขาวโพลน ใช้เขาทั้งสองข้างของมันกวาดไปตามพื้นหิมะ กู้กับดับหนามแหลมคมตลอดทางเท้าออกให้อย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นไม่นาน มันก็หันมาพยักหน้าให้นาง ราวกับกำลังจะสื่อว่า ทางสะดวกแล้วสามารถลงไปได้อย่างหมดห่วง
ปรากฏว่า กับดักหนามแหลมที่ถูกฝังอยู่ใต้หิมคือฝีมือของกวางเหมยฮวาตนนี้ทั้งหมด!
เซียถงพยักหน้าขอบคุณกวางตนนั้นและนำเจ้าจี้จี้สอดเก็บเข้าแขนเสื้ออุ่นของตัวเอง จากนั้นก็มุ่งหน้าลงหุบเขา เมื่อกลับมาถึงช่วงตีนเขาด้านล่าง ม้าอาชาตนนั้นที่เคยผูกติดกับต้นไม้เอาไว้กลับหายไปอย่างไร้ร่องรอยไปแล้ว จะเหลือก็แค่รอยเท้าของมันที่ระหกระเหินจากออกไปไกล ดูเหมือนว่า ม้าตนนั้นจะไม่สามารถทนต่อความหนาวเหน็บได้ จึงสะบัดเชือกผูกให้หลุดและวิ่งหนีออกไป
ในเมื่อไม่มีภาหนะให้ใช้กลับไป ก็ทำได้เพียงแค่เดินทางเท่านั้น และดูจากระยะทางแล้ว น่าจะใช้เวลาอย่างเร็วสุดก็ปาเข้าไปยามหนึ่งกว่าจะถึงตัวเมือง
เซียถงเงยหน้ามองแผ่นฟ้าที่ปกคลุมไปด้วยสายลมหนาวเหน็บและหิมะ หากปล่อยให้ตกดึกขึ้นมา เกรงว่ากระแสลมและอุณหภูมิน่าจะยิ่งเลวร้ายกว่าปัจจุบันเป็นหลายเท่าตัว เรียกได้ว่า การเดินทางกลับในเวลากลางคืนเป็นสิ่งที่อันตรายอย่างยิ่ง ท้องฟ้าก็เริ่มมืดครึ้มแล้วเช่นกัน โดยไม่รีรอให้เสียเวลาเปล่า เซียถงเริ่มออกวิ่งอย่างบ้าคลั่ง เงาร่างแปรเปลี่ยนเป็นสายฟ้า เหินทะยานออกไปด้วยความเร็วสูงสุด
ภายใต้สภาพหิมะอันกว้างใหญ่ ปรากฏเงาสายหนึ่งปราดพุ่งออกไปดุจประกายอสนีบาต ทิ้งทวนเพียงรอยเท้าที่เหยียบย่ำบนหิมะเท่านั้น แต่เสี้ยวอึดใจต่อมา รอยเท้าที่ว่าพลันถูกพายุห่าหิมะกวาดล้างทับทมอย่างรวดเร็ว หิมะเริ่มส่อแววตกหนักยิ่งขึ้นและยิ่งขึ้น กล่าวได้ว่า การเดินทางท่ามกลางหิมะยามค่ำคืน นับเป็นเรื่องต้องห้ามอย่างร้ายแรง
เพื่อที่จะเร่งฝีเท้าความเร็วให้สูงขึ้นกว่านี้ เซียถงเรียกระดมพลังลมปราณสุดขั้วระเบิดคลั่งไม่หยุดหย่อน
นางทะยานวิ่งออกไปอย่างสิ้นหวัง จุดหมายที่ห่างไกลเกินไปกลับกลายเป็นความว่างเปล่าไร้จุดหมายไปเสียดื้อๆ และในที่สุด ท้องฟ้าก็เริ่มมืดสนิท เซียถงในเวลานี้หลงทาง วิ่งไปได้สักพักกลับสัมผัสได้ว่า เส้นทางนี้กลับไม่ถูกต้อง ขณะที่พยายามปรับเปลี่ยนเส้นทางอยู่หลายต่อหลายครั้ง ก็ค้นพบว่าได้ ตนได้หลงทางเป็นที่เรียบร้อย
สารทิศที่กวาดมอง ล้วนมีแต่หิมะและวิสัยทัศน์สีขาวโพลน ในขณะเดียวกัน กระแสลมและหิมะก็ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว อุณหภูมิที่สัมผัสได้ลงฮวบอย่างรวดเร็ว
“จี้จี้ เจ้าพอจะนำทางได้หรือไม่?”
เซียถงพยายามเสาะหาและระบุเส้นทางที่ถูกต้องอย่างหนักหน่วง แต่จนแล้วจนรอดกลับไม่สามารถ ดังนั้นนางเลยต้องฝากความหวังสุดท้ายไว้กับจี้จี้
จี้จี้โผล่แค่หัวออกมาจากใต้แขนเสื้อของนาง ยืดเหยียดจมูกของมันออกไปสูดดมอยู่สักครู่ ก่อนที่จะลืมหดตัวกลับไปโดยไว คลุกตัวอยู่ใต้แขนเสื้ออยู่แบบนั้นด้วยความหนาวสั่น เนื่องด้วยสภาพหิมะที่กระหน่ำตกหนัก ทำให้มันไม่ได้กลิ่นอะไรเลย
“นายท่าน มุ่งหน้าตรงไปทางขวา ข้าสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของใครบางคนจากด้านนั้น”
ทันใดนั้นเอง เสี่ยวฮั่วก็เอ่ยเสียงดังผ่านห้วงความคิดของนาง
เซียถงที่ได้ยินแบบนั้นก็ดีใจเป็นอย่างยิ่ง ปลายเท้าถีบตัวพุ่งปราดออกไปทางขวาด้วยความเร็วสุดขีด ไสววูบทะยานออกไปประดุจสายลม นางมิทราบเลยว่า ตนตีฝีเท้าวิ่งออกไปนานแค่ไหนแล้ว แต่สิ่งหนึ่งที่สัมผัสได้อย่างชัดเจนก็คือ แข้งขาทั้งสองข้างของนางคล้ายกำลังจับตัวเป็นน้ำแข็งแล้ว และเบื้องหน้าก็ยังไม่มีแม้แต่ร่องรอยความสิ่งมีชีวิตใด
อุณหภูมิรอบตัวยิ่งทวีความหนาวเหน็บขึ้นต่อเนื่อง ชั่วขณะต่อมา นางรู้สึกราวกับสองมือและสองเท้าของนางหาใช่ของนางอีกต่อไป เสี้ยวพริบตาก่อนที่ทุกอย่างจะเลวร้ายไปกว่านี้ ทันใดนั้นก็แลเห็นประกายไฟจุดหนึ่งปรากฏขึ้นจากไกลโพ้น พร้อมเสียงกีบเท้าม้าที่กำลังควบมาทางนี้ ทั้งยังมีเสียงร้องตะโกนลือลั่นด้วยความเป็นกังวลยิ่งว่า
“เซียถง! เซียถง! เจ้าอยู่ไหน!!”
ได้ยินสุ้มเสียงของใครบางคนดังขึ้น เซียถงมีความสุขเป็นอย่างมาก นางรีบเร่งฝีเท้าเป็นเท่าทวี ตะโกนลั่นสุดเสียงดังว่า
“ข้าอยู่นี่!”
เสียงกีบเท้าม้าดังเข้ามาใกล้มากขึ้น ประกายไฟจุดดังกล่าวเริ่มขยายใหญ่กลายเป็นดวงหนึ่ง เพียงพริบตาต่อมา เงาอาชาและคนที่ถูกคบเพลิงอยู่บนหลังมันก็เปิดเผยต่อหน้าต่อตา
ท่ามกลางกระแสหิมะถาโถมรุนแรง เซียถงแลเห็นเงาร่างที่แกร่งกล้าบนหลังอาชาควบเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งดูท่าแล้วอีกฝ่ายจะควบม้าตามหานางตลอดทางอย่างไม่มีลดละ พินิจสังเกตได้จากร่างสูงที่โครงเครงเริ่มไม่มั่นคงนั่น คู่เท้าเซียถงไสววูบ ถีบร่างตัวเองส่งขึ้นไปยังบนหลังม้าเบื้องหน้า ทางด้านอีกฝ่ายเองก็รีบพุ่งเข้ามารับประดุจดาวหางเช่นกัน