ตอนที่452 มุ่งหน้าต่อไป (2)
ตอนที่452 มุ่งหน้าต่อไป (2)
เย่หลีเทียนแสยะยิ้มเบาๆ กล่าวตอบไปว่า
“ถูกต้องแล้วฝ่าบาท! นางให้ความสำคัญแก่แม่ตนเองยิ่งกว่าสิ่งใด เพราะคนเฉลียวฉลาดอย่างนางรึจะไม่รู้ว่า องค์จักรพรรดิซีฉินกำลังส่งนางไปตาย โดยสั่งให้นางเดินทางมุ่งสู่หุบเขาคุนหลุน? นางในเวลานี้ต้องการผลบัวศักดิ์สิทธิ์ยิ่งกว่าสิ่งใดทั้งปวง เพื่อต้องการรักษาโรคภัยที่รุมเร้าแม่ตัวเองมาทั้งชีวิต! กล่าวคือ หากท่านต้องการควบคุมนางให้อยู่ภายใต้อาณัติเบ็ดเสร็จ เช่นนั้นก็ควรทำดีต่อแม่นาง พยายามซื้อใจให้เข้าพวกกับฝ่ายเรา!”
“เช่นนี้นี่เอง! ข้าเข้าใจแล้ว!”
องค์จักรพรรดิตงหลี่ระเบิดหัวเราะลั่นด้วยความปีติยินดี พึงทราบคนอย่างเซียถง หากยิ่งใช้ไม้แข็งด้วยแล้วจะยิ่งผยศหนักข้อ เช่นนั้นก็แค่เปลี่ยนแผนและเข้าทางท่านแม่ของนางแทนก็สิ้นเรื่อง ภายในเย็นวันนั้น ก็ได้มีพระราชโองการแต่งตั้งเซี่ยอี้เฉิงจากขุนนางขั้นสอง ขึ้นกลายมาเป็นขุนนางขั้นหนึ่งทันที ยามนี้เขาคือ มหาเสนาบดีเซี่ย ส่วนฮูหยินหลีก็กลายเป็นที่รู้จักในฐานะ ภรรยาเอกขุนนางขั้นหนึ่งแห่งวังหลวง
โดยในพระราชสารได้ระบุว่า ‘เนื่องด้วยความดีความชอบขององค์ราชินีแห่งดินแดนอี้เฉิง เซียถง ที่เคยสร้างชื่อเสียงและความเจริญรุ่งเรืองนำมาสู่จักรพรรดิตงหลี่ บัดนี้ผู้เป็นบิดามารดรสมควรอย่างยิ่งแล้วที่ได้การสถาปนาเลื่อนชั้นยศ พร้อมกับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นสูงสุด เพื่อเป็นเกียรติประวัติแก่คนรุ่นหลังสืบเนื่องต่อไป’
นอกจากยศศักดิ์ตำแหน่งที่ได้เลื่อนขั้นเพิ่มขึ้นมา องค์จักรพรรดิตงหลี่ยังพระราชทานสมุนไพรหายากอีกจำนวนนับไม่ถ้วน ส่งตรงถึงจวนมหาเสนาบดีเซี่ย กล่าวได้ว่า เพียงชั่วข้ามวัน ฮูหลินหลี่และเซี่ยอี้เฉิงก็กลายมาเป็นบุคคลโด่งดังทั่วทั้งเมืองเฟิงหลี่
ทั้งคณะขุนนางระดับสูงและคุณหญิงผู้ทรงเกียรติทั้งหลาย ต่างแหแหนเข้ามาแสดงความยินดีพร้อมกับของขวัญล้ำค่าถึงหน้าประตูจวนมหาเสนาบดีเซียกันเป็นแถว ตลอดทั้งวันนั้น เซี่ยอี้เฉิงต้องออกมารับแขกจนแทบไม่หวาดไม่ไหว และเขาเองก็ตระหนักทราบดี เหตุที่ตัวเขามีวันนี้ได้ก็เพราะฮูหยินหลี่ ในสายตาของเขา ณ ปัจจุบัน นางมีค่ายิ่งกว่าสิ่งใดบนผืนพิภพ!
ไป๋หลี่หานในเวลานี้ยังอยู่ในอี้เฉิง และทันทีที่เขาได้รับข่าวสารเหล่านี้ ก็ถึงกับกระตุกยิ้มมุมปากอย่างอดมิได้
“คิดจะใช้ไม้อ่อน หวังพิชิตใจถงเอ๋อร์ของข้างั้นรึ? อย่างไรเสีย นี่ก็ถือเป็นเรื่องดีเช่นกัน หากถงเอ๋อร์ได้ทราบว่า เวลานี้ท่านแม่ของนางกำลังมีความสุข นางเองก็พลอยมีความสุขตามไปด้วย”
เมื่อได้ยินดังนั้น องค์จักรพรรดินีเหลิ่งที่อยู่ข้างๆก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย นางกล่าวขึ้นมาเจือสีหน้าเป็นกังวลว่า
“นี่เจ้าไม่กลัวเลยรึว่า นางอาจเป็นตัวเบี้ยหมากขององค์จักรพรรดิตงหลี่…”
ทว่ายังไม่ทันที่นางกล่าวจบเสียด้วยซ้ำ ไป๋หลี่หานก็เอ่ยขึ้นแทรกทันทีว่า
“เสด็จแม่ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ถงเอ๋อร์ก็คือพระชายาเอกของข้าเพียงหนึ่งเดียว ทั้งจากนี้และตลอดไป ข้าเชื่อมั่นในตัวของนาง และก็หวังว่าสักวัน เสด็จแม่จะขจัดความอคติที่มีต่อตัวนางได้เสียที นางเป็นคนดีจริงๆ ซึ่งท่านเองก็ทราบดีอยู่แก่ใจ…”
เห็นทีท่าการแสดงออกของไป๋หลี่หาน องค์จักรพรรดินีเหลิ่งก็แอบตกใจอยู่ไม่น้อย หานเอ๋อร์คนนี้ไม่เคยพูดแทรกหรือกล่าวขัดจังหวะนางเลยสักครั้ง ยิ่งไปกว่านั้นเอง นางเฝ้าสังเกตอยู่หลายครั้งแล้ว ตลอดทุกครั้งที่หานเอ๋อร์กล่าวถึงเซียถง แววตาของเขาจะดูอ่อนโยนลงหลายส่วน ซึ่งนี่เป็นโอกาสที่หาพบได้ยากมากสำหรับเจ้าลูกชายผู้แสนเย็นชาคนนี้ นอกเหนือจาก ผู้เป็นแม่อย่างนาง และเหลิ่งเหยียนหรันแล้ว เขาก็ไม่เคยแสดงเปิดใจกับใครอีกเลย
เมื่อถึงมาได้ถึงจุดนี้ สีหน้าที่แสดงถึงการต่อต้านขององค์จักรพรรดินีเหลิ่งก็คล้ายจะอ่อนลงหนึ่งส่วน นางปรับเปลี่ยนน้ำเสียงเล็กน้อยฟังดูอ่อนลงมาก ถอนหายใจเฮือกหนึ่งอย่างช่วยมิได้และกล่าวว่า
“เห้อ.. ข้าเองก็หวังว่า นางจะจริงใจต่อตัวเจ้าจริงๆ หากเป็นเช่นนั้นได้ ข้าเองย่อมมีความสุขตามไปด้วยเช่นกัน หานเอ๋อร์ เจ้าเองก็อย่าโทษแม่คนนี้เลย ที่เป็นพวกขี้ระแวงเช่นนี้ ตลอดชั่วชีวิตที่ผ่านมา แม่คนนี้มักพบเจอแต่คนหลอกลวง ถูกคนอื่นแย่งชิงไปเสียทุกอย่าง จนโดนเนรเทศออกมาแสนไกล ในตอนนั้นก็ได้แต่โทษตัวเอง หากรู้จักแยกแยะใครดีชั่วมากกว่านี้เสียหน่อย เจ้าคงไม่ต้องมาใช้ชีวิตยากลำบากมาตั้งแต่เด็ก…”
ไป๋หลี่หานระบายยิ้มอ่อน พลางกุมสองมือที่เหี่ยวย่นของจักรพรรดินีเหลิ่งอย่างแผ่วเบา ตัวเขานั้นเชื่อมั่นในเซียถง และก็หวังเช่นกันว่า สักวันท่านแม่ของเขาเองก็จะเชื่อใจนางบ้าง แต่กระนั้น ไป๋หลี่หานเองงก็เข้าใจ จากประสบการณ์ชีวิตอันแสนขมขื่นที่ผ่านมาของท่านแม่ เรื่องแบบนี้คงต้องใช้เวลาค่อนข้างมากเป็นพิเศษ
เดินทางจากตำหนักองค์จักรพรรดินีเหลิ่งอกมา ทันใดนั้นก็มีองครักษ์จากหน่วยเงาผู้หนึ่งแสดงตัวออกมา ปรากฏกายอยู่เบื้องหลังไป๋หลี่หาน
“นายท่าน”
“องค์ราชินีกับโม่ซวนเดินทางพ้นเขตปกครองซีฉินออกมาแล้ว คาดว่ากำลังจะมุ่งหน้าไปถึงหุบเขาคุนหลุนในอีกไม่ช้า”
ไป๋หลี่หานโบกมือส่งเป็นคำตอบ และองครักษ์จากหน่วยเงาผู้นั้นก็อันตรธานหายวับไป
เซียถง นี่เจ้าคิดจะไปหุบเขาคุนหลุนจริงรึ? ดูท่าข้าจำต้องรีบจัดการธุระให้เสร็จสิ้นโดยไวแล้ว!
ไป๋หลี่หานตัดสินใจอย่างเด็ดขาด และรีบมุ่งหน้าออกไปสะสางธุระต่างๆในอี้เฉิงนับไม่ถ้วนจนสำเร็จเสร็จสิ้น โดยไม่รีรออันใดอีก เขาเร่งเดินทางออกจากอี้เฉิง เพื่อมุ่งหน้าไปหาเซียถง ก่อนที่นางจะไปถึงหุบเขาคุนหลุน
แทบจะในเวลาเดียวกัน เย่หลีเทียนก็เป็นเหมือนไป๋หลี่หานไม่มีผิด หลังจากที่รีบสะสางภารกิจทั้งหมดในวังหลวงตงหลี่เสร็จสิ้น เขาก็เร่งเดินทางออกไปหาเซียถงทันที
ขณะนี้กำลังมีม้าเร็วทั้งสองตนควบทะยานออกจากเมืองเฟิงหลี่และดินแดนอี้เฉิงในเวลาแทบจะพร้อมเพรียง โดยที่ทั้งสองต่างมีจุดหมายเดียวกันก็คือ หุบเขาคุนหลุนที่ตั้งอยู่ ณ ใจกลางระหว่างสี่จักรวรรดิ!
ตกกลางดึก พวกเขาแวะพักเอาแรง ณ โรงเตี้ยมแห่งหนึ่งในเมืองเล็กๆ เค่อฮั่วลอบกระตุกแขนเสื้อของเค่อมู่เบาๆ เอ่ยเสียงแผ่วกระซิบขึ้นว่า
“พิราบส่งสาสน์ของฝ่าบาทมาถึงแล้ว เนื้อความระบุว่า พยายามเสาะหาโอสถเพื่อทดสอบพลังที่แท้จริงของเซียถง”
“พลังที่แท้จริง? นางหรือยังต้องทดสอบอันใดอีก? ก็เห็นอยู่ว่ามีความแข็งแกร่งอยู่ที่ขอบเขตราชัน์ม่วงชั้นต้น แล้วก็ยังเป็นเซียนโอสถ นอกเหนือจากนั้นก็…นางสำแดงใช้วรยุทธ์ต่อสู้ได้ ทั้งหมดก็มีเท่านี้”
“ไม่ ยังมีอีกอย่างที่มิได้รับการพิสูจน์ให้แน่ชัด”
“ยังจะมีอะไรอีก?”
เค่อมู่ปั้นหน้าฉงนใจ สักครู่หนึ่งคล้ายกับเพิ่งนึกอะไรออก จึงอุทานขึ้นคำหนึ่งด้วยความประหลาดใจขึ้นว่า
“หรือเป็นไปได้ไหมว่า…นางยังเป็นถึงนักอัญเชิญอสูร? นี่ต้องบ้าไปแล้ว! ใครที่ไหนบนผืนพิภพที่จะเก่งรอบด้านปานนั้น?”
หากมียอดอัจฉริยะฟ้าประทานเช่นนี้จริงๆคงไร้เทียมทานไปแล้ว!
“ก็อาจจะเป็นนางนี่แหละ ไม่ไกลจากนี้มีหุบเหวเทียมฟ้าอยู่ บนนั้นอุดมไปด้วยสัตว์อสูรแกร่งกล้ามากมาย…”
“เข้าใจแล้ว เดี๋ยวข้าจัดการเอง”
“เนื่องด้วยหุบเหวเทียมฟ้าเป็นทางอ้อมที่นำไปสู่หุบเขาคุนหลุน เช่นนั้นเจ้าก็จัดฉากให้ดูสมจริงหน่อยล่ะ ทำยังไงก็ได้ให้พวกเขาเปลี่ยนเส้นทางไปสายนั้นแทน”
ขณะที่สองพี่น้องตระกูลเค่อกำลังสนทนากันอยู่นั้น กลับไม่รู้เลยว่า บนหลังคาโรงเตี๊ยมกำลังมีใครคนอื่นกำลังลอบดักฟังอยู่
ชายเสื้อแพรพรรณสีแดงเพลิงพัดกระพือตามแรงลม เขาคนนี้มีผมยาวสลวยสีเงินเป็นประกาย กำลังนั่งแกว่งเท้าอยู่ภายใต้จันทร์เสี้ยวเฉิดฉาย และชั่วพริบตาขณะต่อมา ร่างดังกล่าวก็อันตรธานหายวับไปกลางอากาศ
เสี้ยวอึดใจต่อมา เงาร่างของเขาก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง ยามนี้กำลังแงะแผ่นกระเบื้องชิ้นหนึ่งจากบนหลังคาออกมา นัยน์ตาสีแดงบริสุทธิ์ดุจมณีทับทิมงามกำลังมองลอดช่องผ่านรูบนหลังคาเข้าไป ภายในนั้นมีหญิงสาวนางหนึ่งกำลังแช่อ้างน้ำร้อนอย่างสบายอารมณ์ ดูท่ากำลังเพลิดเพลินกับการอาบน้ำอยู่ และนางคนนั้นเองก็มิได้รู้สึกตัวเลยว่า ตนเองกำลังถูกถ้ำมองอยู่
หากย้อนกลับไป ระหว่างที่หลิวซูกำลังนั่งรับลมอยู่บนหลังคาโรงเตี๊ยม จู่ๆก็พลันได้ยินบทสนทนาของสองพี่น้องตระกูลเค่อเล็ดลอดเข้าหูของมันโดยบังเอิญ และแน่นอน ตัวมันก็หาได้เพิกเฉยต่อเรื่องนี้ไปได้ จึงรีบแจ้นมาหาเซียถงเพื่อคาบข่าวมาบอก ทว่าระหว่างทาง เหมือนมันจะได้ยินเสียงหญิงสาวกำลังอาบน้ำอยู่อย่างสบายอารมณ์ เห็นแบบนั้น มันหรือจะอดใจมิให้แวะถ้ำมองได้ไหว? แต่ระหว่างที่กำลังแอบดูหญิงสาวนางนั้นอาบน้ำแช่ตัวอยู่ในอ่างนั่นเอง คล้ายกับว่าหลังคาเรือนพักหลังนี้ค่อนข้างทรุดโทรมและเก่าแก่ ทำให้แผ่นกระเบื้องชิ้นหนึ่งที่อยู่ใต้เท้าลื่นหลุด ร่างของมันเสียการทรงตัวฉับพลันและพลัดตกลงไปในอ่างแช่น้ำด้านล่างโดยตรง หญิงสาวที่กำลังแช่น้ำอย่างสบายใจ ถึงกับส่งเสียงกรี๊ดลั่นทันทีที่เห็นร่างของเด็กหนุ่มร่วงล่นลงมาจากบนฟ้า
ซึ่งจุดที่หลิวซูร่วงลงมาก็ช่างแม่นยำเสียเหลือเกิน ตกลงมาในอ่างแช่น้ำอย่างพอดิบพอดี เรือนร่างสวยงามอันไร้ที่ติของหญิงสาวถูกอีกร่างของเด็กหนุ่มคร่อมอยู่ ดวงตาสีแดงทับทิมคู่นั้นสบมองไปที่นาง และชั่วอึดใจต่อมา นางก็ส่งเสียงกรีดร้องอีกครั้งทำเอาแก้วหูแทบฉีก
หลิวซูขมวดคิ้วแน่น ทั้งรู้สึกสงสัยและรำคาญในเวลาเดียวกัน หญิงสาวนางนี้ดูจะแตกต่างจากเซียถงมากจริงๆ แค่แอบดูนิดแอบดูหน่อยก็ทำเป็นขวยเขิน ส่งเสียงกรีดร้องลั่นราวกับกำลังจะถูกฆ่าก็มิปาน
หลิวซูรีบยกสองมือขึ้นปิดหู ตะคอกสวนกลับไปว่า
“หยุดแหกปากได้แล้ว!!”
แต่ยิ่งมันพูดออกไปแบบนั้น หญิงสาวตรงนั้นก็ยิ่งส่งเสียงกรีดร้องดังขึ้น ด้วยความที่มันทนไม่ไหวแล้วจึงเร่งใช้วิชาข้ามมิติ หายวับไปต่อหน้าต่อตากันทั้งแบบนั้น เบื้องหน้าเหลือเพียงอ่างแช่น้ำที่ว่างเปล่า หญิงสาวจับจ้องภาพฉากตรงหน้าอย่างไม่อยากเชื่อสายตาพร้อมสีหน้าตกใจสุดขีด
“เซียถง!”
ทันทีทันใด หลิวซูปรากฏกายขึ้นอีกครั้งอยู่ตรงขอบเตียง มันรีบกระชากผ้าห่มเซียถงและส่งเสียงร้องเรียกไม่หยุดหย่อน
“เมื่อครู่เหมือนข้าจะได้ยินเสียงผู้หญิงกรีดร้อง นี่เจ้าไปแอบดูใครอาบน้ำอีกแล้วงั้นรึ?”
เซียถงเลิกคิ้วมองเจือสีหน้าปวดกระบาลไม่น้อย
หลิวซูชะงักไปชั่วจังหวะ ปั้นสีหน้าประหม่าหลายส่วน ก่อนจะรีบส่ายหน้าสะบัดอย่างแรกเพื่อคืนสติ และกล่าวว่า
“เรื่องนั้นไม่สำคัญ! เมื่อครู่ข้าเพิ่งได้ยินสองพี่น้องตระกูลเค่อคุยกัน มันวางแผนจะลอบฆ่าเจ้า!”
เสมือนกับมีกลิ่นอายบรรพกาลแผดขยายปลดปล่อย ปรากฏเงาร่างหนึ่งยืนตระหง่านซ้อนทับจันทร์เสี้ยวอย่างสนิทชิดแนบดุจสุริยุปราคา ดวงตาหมาป่าคู่เฉียวคมเผยแววประกายออกมา
ใบหน้าเป็นรูปทรงไข่งดงาม ขนตายาวระหงเรียงสวย พินิจจากสัดส่วนโค้งเว้าอันไร้ที่ตินี้ควรจะเป็นอิสตรี
ในทวีปเทียนหลางแห่งนี้ ทั้งนักหลอมโอสถและนักอัญเชิญอสูรต่างมีจำนวนน้อยนิดเพียงหยิบมือ และหายากแทบพลิกแผ่นดิน ขอบเขตของนักหลอมโอสถแบ่งออกเป็นดังนั้น นักโอสถสามัญ ราชาโอสถ ปราชญ์โอสถ เซียนโอสถและจักรพรรดิโอสถ ซึ่งในขอบเขตเดียวกันยังแบ่งเป็นระดับขั้นย่อยได้อีกคือ ชั้นต้น ชั้นกลางและชั้นสูง ซึ่งโดยส่วนใหญ่ นักหลอมโอสถที่พบเจอได้บ่อยที่สุด ล้วนแต่อยู่ในขอบเขตนักโอสถสามัญ และขอบเขตราชาโอสถทั้งสิ้น สำหรับขอบเขตปราชญ์โอสถขึ้นไป การดำรงอยู่ของบุคคลระดับชั้นนี้ มันไม่ต่างอะไรกับเทพเซียนผู้แสนสูงส่งเลยในสายตาของทุกคน กล่าวคือ หากมีโอกาสพบเห็นนักหลอมโอสถที่อยู่ในขอบเขตปราชญ์โอสถขึ้นไปสักครั้งหนึ่งในชีวิต นับเป็นเกียรติประวัติครั้งใหญ่หลวง!
ส่วนบุคคลผู้อยู่ในจุดที่ใกล้เคียงพระเจ้าที่สุด อันเรียกได้ว่า สูงส่งเสียยิ่งกว่าเทพเซียนอย่างจักรพรรดิโอสถ ตั้งแต่ยุคสมัยบรรพกาลจวบจนทุกวันนี้ มีเพียงสองถึงสามคนเท่านั้นที่สามารถบรรลุสู่จุดนั้นได้