ตอนที่504 สถานการณ์เลวร้าย (2)
ตอนที่504 สถานการณ์เลวร้าย (2)
คนขับเกี้ยวล้มลงกับพื้นทันควัน ยกมือปิดป้องเบ้าตาที่โดนเสียบทะลุ แผดเสียงกึกในลำคอด้วยความเจ็บปวดทรมานสุดแสน และกระแสความเจ็บปวดนั้นยิ่งเพิ่มพูนเป็นทวีตอนที่เซี่ยเสวี่ยเหลียนกระชากกริชถอนกลับขึ้นมา และกระหน่ำจ้วงท้องของเขานับหลายสิบครั้ง แทงแล้วแทงอีกอย่างบ้าคลั่ง…
“เซียถง! เซียถง! ตายไปซะ! ตายห่าไปซะ! ข้าไม่ปล่อยเจ้าแน่นอน! ข้าไม่มีวันปล่อยเจ้าแน่นอน! เจ้าจะต้องตกนรกหมกไหม้! ตายห่าไปซะนังสารเลว! ฮ่าฮ่าฮ่า…”
คนขับเกี้ยวผู้นั้นสิ้นชีพตายลงไปนานแล้ว แต่เซี่ยเสวี่ยเหลียนก็ยังไม่มีทีท่าจะหยุดกระหน่ำแทง หน้าท้องของชายคนนั้นเน่าเละเป็นเนื้อเปื่อยชิ้นยุ่ย โดนสับแทงจนไม่เหลือชิ้นดีอันใด เศษชิ้นเนื้อน้อยใหญ่กระเด็นเปรอะเปื้อนไปทั่วใบหน้าคลุ้งคลั่งของนาง เนื้อตัวชุ่มชโลมธารเลือดย้อมชุดแพรพรรณจนแดงฉาน…
อย่างไร หาใช่แค่เซี่ยเสวี่ยเหลียนที่อยู่ตรงนี้เพียงคนเดียว ในทางตรงข้าม กลับมีดวงตานับหลายสิบคู่กำลังลอบมองอยู่ในความมืดแถวป่าใกล้เคียง
หงอวี๋ในชุดสีแดงแทบไม่อยากจะเชื่อสายตา ไฉนตนเองต้องมาพบเจอกับคนโรคจิตขนาดนี้ ทันทีที่เดินทางลงจากหุบเขาคุนหลุนมา!
นางสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อสัมผัสได้ว่ากำลังมีชายหนุ่มเคลื่อนหน้าเข้าใกล้ หงอวี๋ร้องอุทานเสียงแผ่ว
“นายน้อยจวิ๋นเส้า?”
“ท่านหรือหรือไม่ นาง…”
คล้อยหลังความตกใจหนึ่งส่วน นางพยายามจะบอกให้นายน้อยตนเองได้รู้ หญิงสาวตรงหน้ามันน่ากลัวปานใด!
ทว่าเมื่อได้ยินเสียงก่นด่าสาปแช่งไม่หยุดหย่อนจากปากหญิงคลั่งเบื้องหน้า สิ่งแรกที่แวบเข้ามาในห้วงความคิดของจวิ๋นเส้า กลับเป็นภาพของสาวงามนางนั้นในชุดสายลับรัดรูปสีดำ
หญิงคลั่งนางนี้กับสาวรูปงามนางนั้น ดูเหมือนจะมีบัญชีแค้นอาฆาตต่อกันอย่างลึกซึ้ง แต่กลับจินตนาการไม่ออกเลยว่า ต้องเป็นบัญชีแค้นอาฆาตกันปานใด ถึงทำให้คนๆ หนึ่งเสียสติกลายเป็นโรคจิตได้ขนาดนี้?
“นายน้อย พวกเราควรจะทำอย่างไรต่อไปดี?”
“ปล่อยไปเถิด กรรมใครกรรมมัน เรามิอาจแทรกแซง รีบเดินทางต่อเถอะ พวกมันอาจยังอยู่แถวนี้…”
ภายใต้แกนนำอย่างหงอวี๋ในชุดสีแดง ทุกคนต่างเร่งฝีเท้าเดินเข้าป่าผ่านดงพฤกษาออกไป
ขณะที่จวิ๋นเส้าและคณะเดินทางจากไป ไม่นานนักก็มีคนอีกกลุ่มเดินทางเข้าใกล้สถานที่แห่งนี้เช่นกัน
ขณะเดินผ่านเส้นทางแห่งหนนั้น พวกเขากลุ่มนี้แลเห็นเซี่ยเสวี่ยนเหลียนที่กำลังกระหน่ำแทงศพคนตายจากระยะไกล ทว่าหาได้สนใจอันใดเช่นกัน
ขณะที่พวกคนเหล่านั้นกำลังจะเดินทางออกไป แต่ทันใดนั้นกลัยได้ยินคำว่า ‘เซียถง’ ดึงดูดเข้าอย่างจัง ซึ่งก็เป็นสุ้มเสียงตะโกนแหกปากของเซี่ยเสวี่ยเหลียนนั้นเอง
บนหลังม้าผู้นำหน้าสุด ชายหนุ่มผู้หนึ่งพลันกกระตุกบังเหียนหยุดฝีเท้าม้าฉับพลัน เร่งเหลียวมองไปยังต้นเสียงดังกล่าวโดยไว
“ท่านพ่อบ้าน นั่นมันคุณหนูรองตระกูลเซี่ยมิใช่รึ?”
ชายหนุ่มผู้ซึ้งเป็นผู้นำอยู่บนหลังม้าก็หาใช่ใครอื่น เขาก็คือเฟิงหมิงอี้ ชายปริศนาผู้ก้มหัวให้เย่หลีเทียนในตอนนั้น เขามุ่งสายตาสะดุดมองเซี่ยเสวี่ยเหลียนอยู่สักครู่หนึ่ง ก่อนจะปั้นสีหน้าจริงจังกล่าวขึ้นว่า
“แล้วไฉนนางถึงอยู่ที่นี่ได้? หากจำไม่ผิด องค์รัชทมายาทแห่งตงหลี่กำลังตามตัวให้ควัก? ไม่คิดไม่ฝัน จะมาพบเจอนางอยู่ที่นี่”
เฟิงหมิงอี้กระโดดลงจากหลังมือและเดินไปหยุดอยู่ข้างเซี่ยเสวี่ยเหลียน ขณะที่เขากำลังจะเหยียดมือเข้าแตะสัมผัสทักทาม จู่ๆ ก็เป็นนางที่หันขวับมองหน้าในทันใด สายตาของนางดูเลื่อนลอยจนผิดวิสัย รูม่านตาดำคีบเล็ก ถึงแบบนั้น นางก็กำลังยิ้ม ถึงรอยยิ้มดังกล่าวจะดูแปลกๆ ก็ตามที
“คุณหนูเซี่ย…”
ทว่ายังไม่ทันสิ้นเสียงกล่าวจบ เซี่ยเสวี่ยเหลียนที่กำบีบกริชคมในมืแน่นก็ยกขึ้นฟันใส่หน้าเฟิงหมิงอี้อย่างรวดเร็ว แต่เป็นผู้ใต้บัญชาของเขาที่กระโจนเข้าช่วยเหลือเอาไว้ได้ทัน พร้อมตบท่าฝ่ามือโจมตีสวน ปัดกริชเล่มนั้นจนหลุดกระเด็นจากมือของนางตกพื้นไป คลื่นกระแทกกระบวนนี้กอปรกระแสลมปราณหนักหน่วง ส่งผลให้เซี่ยเสวี่ยเหลียนเป็นลมหมดสติในอ้อมแขนของผู้ใต้บัญชาคนนั้นไป
เขาขมวดคิ้วแน่น ปั้นสีหน้าสับสนงุนงงมิใช่น้อยเลย ก่อนจะเงยหน้าเอ่ยถามเฟิงหมิงอี้ขึ้นคำหนึ่ง
“ท่านพ่อบ้านเฟิง! เช่นนี้จะเอาเยี่ยงไรต่อ? เหมือนว่านางคนนี้จะกลายเป็นคนเสียสติไปแล้ว!”
เฟิงหมิงอี้ระดมสมองใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะโบกมือสั่งให้ผู้ใต้บัญชาปล่อยตัวนางไป อย่าเอาผิดถือโทษ
“สั่งให้ใครสักคนพานางกลับไปก่อน ส่วนที่เหลือเดินทางมุ่งสู่หุบเขาคุนหลุนต่อพร้อมกับข้า!”
ผู้ใต้บัญชาคนนั้นเอ่ยถามคำหนึ่งอย่างไม่ค่อยแน่ใจนัก
“เอ่อ…จะไม่นำตัวไปส่งให้องค์รัชทายาทแห่งตงหลี่รึท่าน?”
เฟิงหมิงอี้ครุ่นพินิจอีกเล็กน้อย คิดทบทวนอย่างถี่ถ้วนจึงค่อยส่ายหัวกล่าวว่า
“ไม่ จะอย่างไรนางก็เป็นบ้าไปแล้ว ไม่มีความจำเป็นจะต้องส่งมอบคืนให้องค์รัชทายาทแห่งตงหลี่”
“แต่มิใช่ว่าตอนนี้ องค์รัชทายาทแห่งตงหลี่แทบจะพลิกแผ่นดินตามหาตัวนางอยู่หรอกรึ?”
“หากปล่อยให้เซี่ยเสวี่ยเหลียนตกอยู่ในกำมือองค์รัชทายาทแห่งตงหลี่ มีหวังนางตายแน่นอน อืม…สำหรับองค์รัชทายาทของฝ่ายเราเองก็คมไม่สนใจนางเช่นกัน จับมาแต่งเนื้อแต่งตัวให้ดีก่อน แล้วพากลับไปพระราชวังเถอะ จากนั้นค่อยว่ากันอีกที”
“แต่จะเก็บนางไว้ทำไมรึท่าน…”
ในกรณีนี้ เซี่ยเสวี่ยเหลียนกลายเป็นคนเสียสติไปแล้ว ไม่รู้จะคลุ้มคลั่งอีกตอนไหน เก็บใกล้ตัวแล้วจะมีประโยชน์อันใดกัน? เขาไม่สามารถเข้าใจได้เลยสักนิด ไฉนพ่อบ้านเฟิงถึงปฏิบัติกับนางเช่นนี้ด้วย…
“นายสั่งก็เพียงรับฟัง!”
“ขะ-ขอรับ!”
เฟิงหมิงอี้กล่าวออกไปดังนั้น ทว่าสายตาของเขากลับมิได้มุ่งมองไปที่เซี่ยเสวี่ยเหลียนเลยแม้สักนิด แต่ดันสะดุดสนใจเข้ากับองครักษ์หน่วยเงานายหนึ่งที่นอนตายเป็นศพอยู่ข้างต้นไม้ เขาค่อยๆ ย่องเท้าก้าวเข้าไปสำรวจศพขององครักษ์หน่วยเงาผู้นั้นอย่างระมัดระวัง หลังจากที่พิสูจน์จนค่อนข้างแน่ใจแล้ว กระทั่งเขาเองยังอดแปลกใจมิได้ เพราะเห็นได้ชัดเลยว่า อีกฝ่ายคือผู้ใต้บัญชาของราชาหมาป่าสวรรค์ แล้วเขามาอยู่กับเซี่ยเสวี่ยเหลียนได้ยังไง? ราชาหมาป่าสวรรค์ต้องการตัวนางไปทำอะไร? หรือนางคนนี้ยังพอมีประโยชน์อะไรอยู่บ้างจริงๆ?
สรุปแล้ว คณะเดินทางของเฟิงหมิงอี้จึงถูกแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม หนึ่งคือกลุ่มที่แยกตัวกลับไปพร้อมกับเซี่ยเสวี่ยเหลียน ส่วนที่เหลือยังคงดำเนินภารกิจเดิมคือ มุ่งสู่หุบเขาคุนหลุนต่อไป
ในอีกด้าน หงอี้กำลังตักน้ำจากข้างลำธารบรรจุใส่ถุงเครื่องหนังใส่น้ำดื่มให้เต็ม แต่ทันใดนั้นเอง นางชำเลืองหางตาบังเอิญไปเห็นเงาร่างหนึ่งลอยอยู่อีกฟากฝั่งของลำธาร นางรีบเก็บถุงเครื่องหนังน้ำดื่มเหน็บข้างเอว และรีบกระโดดว่ายไปช่วย
เมื่อว่ายเข้ามาใกล้ก็พบว่าอีกฝ่ายเป็นผู้หญิง
หงอี้ลากร่างของนางคนนั้นขึ้นฝั่ง เห็นทีแรกพลางนึกว่าเป็นศพ จึงต้องการจะกู้ร่างนำมาเผาให้เป็นที่เป็นทาง แต่เมื่อลองใช้หูแนบชิดบนเนินอกให้จงดี ปรากฏว่ายังมีสัญญาณชีพอยู่ จึงเร่งทำการปฐมพยาบาลเบื้องต้นโดยเร็ว
จวิ๋นเส้าเห็นว่าหงอวี๋เพิ่งจะกลับมาจากการเติมน้ำดื่ม ก็เลยตั้งใจจะหันไปเอ่ยถาม แต่ดันเห็นว่านางมาพร้อมกับอีกร่างที่แบกหามอยู่บนแผ่นหลัง เขาถึงกับเปลี่ยนคำถามพลัน
“บนหลังเจ้าใครกันรึ?”
“นายน้อย บ่าวช่วยนางขึ้นจากลำธารมา”
หงอวี๋อุ้มร่างของหญิงนางนั้นวางลงต่อหน้า หลังจากได้ปฐมพยาบาลไปแล้วเมื่อสักครู่ หญิงนางก็สำลักน้ำออกมาคำโตอยู่หลายครา แต่ตอนนี้ก็ยังนอนนิ่งไม่ไหวติง เห็นดังนั้นนางจึงยกบาทาขึ้นเตาะหน้าท้องอัดไปอีกสักที หวังกระตุกจิตฟื้นสติกลับมา
โดนลูกเตะไปหนึ่งทีเต็ม หญิงสาวนางนั้นสะดุ้งเฮือกอาเจียนเป็นน้ำออกมาอีกระลอกใหญ่ หน้าอกพองโตสั่นกระเพื่อมเข้าออกรุนแรง ราวกับพยายามสูดเอาอากาศทั้งหมดเข้าสุดขั้วปอด ผ่านไปสักครู่คล้ายจะเริ่มตั้งสติขึ้นได้ จึงค่อยๆ เปิดเปลือกตามอง สังเห็นคนแปลกหน้ากลุ่มใหญ่กำลังก้มหน้ามองลงมาที่นาง
“จะ-เจ้า…พวกเจ้าเป็นใคร?”
“ที่ต้องพูดควรเป็นข้ามากกว่า! อุตส่าห์ช่วยไว้แท้ๆ พูดขอบคุณสักคำยังไม่มี! ไร้มารยาทการศึกษาสิ้นดี!”
หงอวี๋บ่นไม่หยุดปากพลางบิดเสื้อผ้าที่เปียกโชกบนตัว นางยังหันมาจ้องหน้าอีกฝ่ายและกล่าวอีกว่า
“อย่างแรกเลย เจ้าควรบอกชื่อตัวเองก่อนว่าเป็นใครมาจากไหน! และสอง ทำไมจู่ๆ เจ้าถึงจมน้ำ?”
“ขะ-ข้าชื่ออิ๋งเอ๋อร์…”
อิ๋งเอ๋อร์เหม่อมองไปทางหญิงสาวในชุดแดงผู้หยิ่งผยองนางนั้นต่อหน้า ตัดสลับกับชายหนุ่มอีกครั้งที่เอาแต่สะดุดสายตามุ่งมองไม่หยุดหย่อน ก่อนเอ่ยต่อว่า
“ขอบพระคุณอย่างยิ่งที่ช่วยชีวิตข้า ว่าแต่พวกท่านเป็นใครรึ? เอ่อ…หากไม่มีอะไรแล้ว ข้าขอตัว…”
“คิดจะไปก็ไป?”
หงอวี๋ชักกระบี่ขึ้นจากฝักยกขวางทางอิ๋งเอ๋อร์มิให้หลบหนีไปไหน
“พวกที่ปรากฏตัวอยู่แถวหุบเขาคุนหลุนหาใช่คนดีไม่สักคน หากยังสืบเสาะภูมิหลังของเจ้าไม่ชัดเจน อย่าหวังจะลาจากออกไปโดยง่าย!”
เมื่อสักครู่เพิ่งเสาะพบหญิงโรคจิตสติไม่ดีไปหมาดๆ ดังนั้นแล้ว ยามนี้มีโอกาสช่วยชีวิตคนอื่น ไม่ว่าจะเสียมารยาทเพียงใด แต่หงอวี๋จำเป็นต้องไถถามถึงภูมิหลังของอีกฝ่ายให้ชัดแจ้งเสียก่อน เพื่อป้องกันกันถูกลอบกัดในภายหลัง
เจอคมกระบี่สีเย็นเยียบเข้าประจันหน้าระยะเผาขนขนาดนี้ อิ๋งเอ๋อร์ตื่นตกใจขนานหนัก หน้าถอดสีซีดเซียวในอึดใจ แต่อย่างไร นางก็ยังกลั้นใจมุ่งสายตาสบปะทะกับหญิงในชุดแดงผู้หญิงผยอง กล่าวน้ำเสียงหงุดหงิดขึ้นว่า
“ท่านนี่มันไร้เหตุผลสิ้นดี! ช่วยข้าเอาไว้ก็ขอบคุณตามสมควรไปแล้ว! แล้วไฉนยังจะกักขังหน่วงเหนี่ยวกันอีก? ต้องการจับไปเรียกค่าไถ? หรือจะให้เป็นทาส? เหอะ! อย่าได้ฝัน! จงรู้เอาไว้เสีย นายหญิงของข้าทั้งทรงพลังและแข็งแกร่งเกินต้าน! ต่อให้มาหมดนี่ก็ยังไม่คนามือนางสักนิด!”
ได้ยินอิ๋งเอ๋อร์อวดอ้างสรรพคุณของนายหญิงผู้เป็นเจ้านายตัวเอง ทำให้จวิ๋นเส้าพลันนึกถึงใครคนหนึ่งขึ้นมาทันควัน
“นายหญิงของเจ้ามีนามว่า เซียถงกระมัง?”