ตอนที่508 ตามหากิเลน (2)
ตอนที่508 ตามหากิเลน (2)
ตัดมาอีกด้าน เซียถงกับไป๋หลี่หานจูงมือเดินจากทุ่มดอกไม้สีชมพู ข้ามผ่านหนองน้ำสายหนึ่งออกไปแล้ว หนทางเบื้องหน้าจะมีภัยอันตรายใดรออยู่บ้างกลับมิทราบ แต่ยามนี้มีไป๋หลี่หานคอยอยู่เคียงข้าง นางกลับหาได้รู้สึกหวาดหวั่นกลัวเกรงไม่ ดั่งว่าภาระความกดดันที่แสนหนักอึ้งกลับถูกปลดทิ้งไปจนหมดบนสองบ่า ขอเพียงว่าในสายตาของนางยังมีชายผู้นี้อยู่เป็นพอ!
มีไป๋หลี่หานอยู่ทั้งคน เซียถงไม่จำเป็นต้องกลัวอะไรอีกแล้ว!
ด้วยความเบื่อหน่ายหรืออย่างไรมิทราบ หลิวซูที่กำลังนอนเล่นนอนเปื่อยอยู่ในห้วงความคิดของเซียถง จู่ๆก็ย้ายก้นไปนั่งข้างเสี่ยวฮั่ว พลางยกนิ้วขึ้นจิ้มมันอยู่เป็นครั้งคราว
“อะไรเนี่ย!”
ดวงไฟสีม่วงกลุ่มนั้นสั่นไสววูบวาบ เปลวแสงกระเพื่อมไปมาด้วยความรำคาญใจ ส่วนบริเวณที่หลิวซูใช้นิ้วกดทับก็กลายเป็นรอยบุ๋มบางๆ ก่อนจะกลับคืนสภาพในเวลาต่อมา
หลิวซูมุ่นคิ้วสีหน้าเบื่อหน่าย กล่าวขึ้นว่า
“บอกความจริงข้ามา เจ้าไล่กิเลนตนเมื่อครู่ไปได้ยังไง? ถึงจะตบตาเซียถงได้ แต่นั่นไม่ใช่กับข้า!”
มันยังจำได้แม่น ถึงเหตุการณ์ตอนนั้นในพระราชวังซีฉิน หากไม่ใช่เพราะเสี่ยวฮั่วที่จู่ๆก็เอ่ยปากเข้าแทรกแซงกะทันหัน ที่พยายามขอร้องให้เซียถงตอบตกลง แล้วมีหรือที่นางจะยอมตัดสินใจมาหุบเขาคุนหลุนแห่งนี้?
เสี่ยวฮั่วมิได้เอ่ยตอบส่งเสียงใดๆอยู่สักครู่ใหญ่ ผ่านไปสักระยะจึงค่อยเอ่ยว่า
“เจ้ายังกล้ามาพูดอีกงั้นรึ! ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจแล้วว่า หากปล่อยให้นายท่านเปิดฉากโจมตีก่อน กิเลนตนนั้นจะตอบโต้กลับทันที! แต่เจ้าก็ยังจงใจปิดปากเงียบ ไม่บอกให้นายท่านทราบก่อนว่า มันไม่ทำอันตรายใครก่อน! อย่าคิดว่าข้าไม่รู้เจตนาของเจ้า? คิดจะปล่อยให้ นายท่านเกิดความเข้าใจผิดและเข้าโจมตีกิเลนตนนั้นให้ถูกฆ่า ทั้งหมดก็เพื่อปลดปล่อยให้ตัวเจ้าเป็นอิสระ! ข้าพูดถูกหรือไม่?”
กลยุทธ์ที่ว่าใครเป็นฝ่ายเปิดก่อนย่อมถูกเสมอ กลยุทธ์ดังกล่าว หลิวซูมักจะหยิบใช้ออกมาเพื่อเอาตัวรอดตลอดและนั่นก็ได้ผลดีเรื่อยมา ทว่าสิ่งนี้กลับใช้กับเสี่ยวฮั่วไม่ได้!
“นี่เจ้ากำลังพูดบ้าอันใด?!”
หลิวซูแผดเสียงคำรามใส่เสี่ยวฮั่ว
เสี่ยวฮั่วสวนตอบทันทีว่า
“ข้าพูดถูกหรือไม่? หากเจ้าภักดีต่อนายท่านจริงๆ คงต้องบอกให้ทราบก่อนอยู่แล้ว เพื่อป้องกันมิให้เกิดเหตุอันตราย?”
“นี่เจ้าเอาอะไรมาพูดกัน!”
หลิวซูก้มหน้าก้มตาลง สีหน้าเผยแสดงความเก้อเขินอยู่หลายส่วน คล้อยหลังเงียบนิ่งไปครู่หนึ่ง จู่ๆมันก็กล่าวต่ออีกว่า
“อันที่จริง…เซียถงเองก็ดีไม่ใช่น้อย แต่ในบางครั้งบางเรื่องกลับเจ้าอารมณ์เกินไป ข้าล่ะห่วงเสียเหลือเกิน ไป๋หลี่หานจะรับมือกับนางไหวได้ยังไง?”
“เดี๋ยวก่อน เดี๋ยวก่อน! จะยังไงนางก็แต่งงานแล้ว ตัวเจ้าเองก็ไม่เห็นต้องกังวลกับเรื่องนี้เลย”
“ข้าย่อมทราบ แต่อย่างไรก็น่าห่วงอยู่ดี กลัวว่าอนาคตที่ควรสดใสจะต้องพังลง เพียงเพราะความอารมณ์ร้อนของนาง อย่างเรื่องกิเลนเมื่อครู่ก็เช่นกันเช่น”
เสี่ยวฮั่วได้ยินหลิวซูเผยความในใจออกมาเช่นนั้นก็อดยิ้มมองมันมิได้ ปรากฏว่า ความจงรักภักดีที่มีให้ต่อเซียถงช่างมากมายอย่างสุดซึ้ง และนั่นอาจมีไม่แพ้เสี่ยวฮั่วเลย!
“โฮกกก…”
เสียงคำรามของสัตว์ใหญ่แผดดังไพศาล ก้องกังวานเสียจนสั่นสะเทือนไปทั่วแผ่นปฐพีสารทิศ
ชั้นหมอกเมฆาที่ลอยต่ำอยู่เบื้องหน้าเผยให้เห็นเงาของบรรดาสัตว์อสูรป่าเถื่อนจำนวนนับไม่ถ้วน ยิ่งชั้นหมอกอ่อนจางลงเท่าไหร่ ก็ยิ่งแลเห็นใบหน้าของพวกมันชัดเจนมากยิ่งขึ้น เผยปรากฏสายตาอันดุร้ายสุดแสนของแต่ละตน
พริบตาต่อมา พวกมันทั้งหลายแห่แหนวิ่งกระโจนเข้าใส่อย่างบ้าคลั่ง!
“ไปเร็ว!”
ไป๋หลี่หานโอบเอวคว้าตัวเซียถง เร่งกระแสลมปราณสีเงินระยิบระยับ แต่ที่น่าแปลกที่สุดคือ เมื่อเหินทะยานบินสู่เวหาในครานี้ ภายใต้คู่เท้าของเขา ก็ได้ปรากฏรัศมีแสงประกายม่วงเจิดจรัสทะลักทลายออกมาเป็นวงใหญ่! ส่งผลให้ความเร็วในการเหาะเหินของเขาเพิ่มพูนขึ้นเป็นทวี!
เซียถงเหม่อมองวงแสงใต้ฝ่าเท้าของไป๋หลี่หาน เร่งเงยหน้าขึ้นถามทันทีว่า
“ท่านเองก็มีวรยุทธ์ต่อสู้ลับ?”
เท่าที่นางเคยทราบมา เว้นเสียแต่ยอดปรมาจารย์ขอบเขตจักรพรรดิครามฟ้าขึ้นไป เฉพาะผู้ที่ฝึกปรือวรยุทธ์ต่อสู้ลับจนบรรลุชั้นสูงแล้วเท่านั้น ถึงจะมีความสามารถพิเศษเพิ่มเสริมเข้ามา ตัวอย่างก็เช่น การใช้เกราะแสงวิญญาณ หรือไม่ก็วิชาเหาะเหินบนฟ้า
จุดเด่นที่สังเกตได้เด่นชัดที่สุดสำหรับคนประเภทนี้คือ วงแสงที่ปรากฏขึ้นใต้เท้าทั้งสองข้างของบุคคลนั้นๆ ซึ่งการที่ได้เห็นไป๋หลี่หานบินบนฟ้าเฉยๆ นางเองก็มิได้รู้สึกประหลาดใจอันใดอยู่แล้ว เพราะพึงทราบ อีกฝ่ายเป็นยอดปรมาจารย์ขอบเขตจักรพรรดิครามฟ้า แต่การที่ได้เห็นวงแสงประกายม่วงปรากฏขึ้นใต้ฝ่าเท้า พร้อมกับความเร็วที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดนี้ มันทำให้นางอดสงสัยมิได้ หรือจริงๆแล้ว ไป๋หลี่หานเองก็เป็นอีกหนึ่งคนที่มีวรยุทธ์ต่อสู้ลับในตำนาน ทั้งยังฝึกปรือจนสำเร็จชั้นสูงได้แล้ว
ไป๋หลี่หานไม่คิดที่จะปิดบังอะไรนางอยู่แล้ว และถึงจะโกหกก็ไม่มีทางหลบซ่อนจากสายตาของนางได้เช่นกัน เช่นนั้จึงพยักหน้าตอบไปว่า
“ใช่แล้ว ข้าเองก็ฝึกปรือวรยุทธ์ต่อสู้ลับจนสำเร็จชั้นสูงแล้ว เพราะท่านแม่ของข้าเคยเป็นทายาทหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ที่ซ่อนเร้น วรยุทธ์ต่อสู้ลับเหล่านี้จึงเปรียบดั่งมหาขุมสมบัติ”
พอได้ยินคำว่า‘เคย’เซียถงก็พึงทราบทันที เรื่องราวในอดีตเกี่ยวกับตระกูลคงหาใช่เรื่องสวยหรู
“ท่านแม่ของข้า…เป็นทายาทคนสุดท้ายของตระกูลเรา”
ตระกูลเหลิ่ง?
ปรากฏว่า ตระกูลเหลิ่งเองก็เป็นหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ที่ซ่อนเร้นในทวีปเทียนหลาง?
สังเห็นเห็นแววความประหลาดใจที่ฉายผ่านดวงตาของนางออกมา ไป๋หลี่หานจึงกล่าวอธิบายต่อว่า
“อันที่จริง ท่านแม่ของข้ามิใช่คนสกุลเหลิ่ง ในสมัยที่สี่ตระกูลใหญ่ยังเรืองอำนาจ พวกเขาได้ก่อมหาสงครามนองเลือดศึกใหญ่ เหล่านั้นไล่เข่นฆ่ากันเองอย่างบ้าคลั่ง ด้วยความกังวลว่าตระกูลของเราจะสูญสิ้นสายเลือดไป ท่านตาของข้าจึงแอบเอาบุตรสาวนางหนึ่งของตระกูลเหลิ่งสลับกับท่านแม่ของข้า และเร่งให้ท่านแม่ของข้า รีบแต่งงานออกเรือนอพยพหนีโดยทันที กว่าที่ข้าจะทราบเรื่องนี้ก็โตแล้ว และทุกคนในตระกูลล้วนตายสิ้นไม่เหลือ ดังนั้นแล้ว คัมภีร์วรยุทธ์ต่อสู้ลับจึงตกอยู่ในมือข้า เพียงแต่ นอกจากตัวข้าแล้ว ก็ยังไม่มีใครที่ได้รับถ่ายทอดวรยุทธ์นี้เพิ่มเติมเลย”
ความลับหัวข้อดังกล่าวที่ถูกเก็บซ่อนเอาไว้ตลอดมา ช่างเป็นอะไรที่น่าตกตะลึงยิ่งยวดสำหรับเซียถง และที่สำคัญคือ ทั้งที่ความลับดังกล่าวต้องสังเวยผู้คนไม่รู้กี่ร้อยชีวิตเพื่อกลบฝังมันไว้ตลอดกาล ทว่าไป๋หลี่หานกลับตัดสินใจที่จะบอกแก่นางโดยไม่คิดปิดบังใดๆ
นี่แสดงให้เห็นแล้วว่า เขาเชื่อใจนางขนาดไหน!
เซียถงกุมมือของเขาไว้แน่น
“แม้ว่าต้นตระกูลของท่านจะไม่อยู่แล้ว แต่อย่างไรก็ยังมีข้าคออยู่เคียงข้าง! พวกเรา…จะอยู่ด้วยกันมีความสุขไปด้วยกันตลอดไปใช่ไหม?”
ไป๋หลี่หานคลี่ยิ้มกว้าง พลางยกมือขึ้นลูบศีรษะนางทีหนึ่ง
“แน่นอน! แต่ไม่ใช่เพียงข้ากับเจ้า แต่ยังมีหานน้อยกับถงถงน้อยที่กำลังจะถือกำเนิดในอนาคตรออยู่!”
หานน้อย? ถงถงน้อย? คำกล่าวเหล่านี้ช่างดูบริสุทธิ์และใสซื่ออันใดปานนี้? แต่อย่างไร ไป๋หลี่หานกล่าวเชิงสีหน้าค่อนข้างจริงจังเกินคาด ทำให้เซียถงรู้สึกประหม่าขวยเขินขึ้นทันใด ผิวแก้วแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ ใจสั่นไม่เป็นจังหวะจนรู้สึกแน่นบริเวณหน้าอกอย่างบอกไม่ถูก และไป๋หลี่หานเองก็กระชับกอดร่างของนางแน่นขึ้นไปอีก ทั้งเขินทั้งอายจนทำอะไรไม่ถูกชั่วขณะ
เมื่อลดระดับความสูงร่อนต่ำลง ชั้นเมฆสูงเบื้องล่างค่อยๆจางอ่อน
ไป๋หลี่หานกดสายตาส่องลงมา จะเห็นเงาร่างหนึ่งอันโดดเด่นยืนสี่ขาตระหง่านอยู่ท่ามกลางหมู่สรรพสัตว์ป่าเถื่อนฝูงใหญ่ และแกนนำทัพสัตว์อสูรคราวนี้ก็หาใช่ตัวใดอื่น มันคือกิเลนนั่นเอง
เห็นดังนั้น ไป๋หลี่หานจึงเร่งทะยานเหินหาว ขึ้นไปยังจุดสูงสุดบนยอดเขาคุนหลุนทันที
ด้านบนตรงนี้ ไม่เคยมีใครมาถึง
สถานที่แห่งนี้เป็นพื้นที่โล่งกว้างฉาบคลุมไปด้วยหิมะสีขาวโพลน ปราศจากต้นหญ้าพฤกษาขจีเขียวใดๆที่นี่เลย เมื่อทอดสายตามองลงกัน ไม่เพียงจะได้เห็นทัศนีย์ภาพสวยงามเกินขอบเขตจินตนาการ แต่ยังมีธารทะเลสาบกว้างไพศาลดั่งไร้สิ้นสุด พร้อมกับแสงตะวันทอดส่องสะท้อนลงมา ก่อเกิดเป็นประกายระยิบระยับรื่นรมย์เพลินตา สายลมเย็นพัดผ่านแสนโชยอ่อน หิมะสีขาวดุจปุยนุ่นกำลังโบยบินอิสรเสรี ประหนึ่งผืนพิภพทั้งมวลคือแดนสวรรค์!
สรรพสิ่งโดยรอบแสนเงียบสงัด บนท้องนภาผืนน้ำมีเพียงสีครามและขาว ดูสะอาดและบริสุทธิ์ไปเสียหมด สูดอากาศแช่มลึกสุดขั้วปอดก็จะพบแต่ความสดชื่นปลอดโปร่ง น่านฟ้ายามนี้ราวกับอยู่ต่ำเพียงเอื้อมมือก็หยิบถึง ทุกอย่างบนนี้ช่างสุขสงบเกินพรรณนา…