ตอนที่523 เบี่ยงเบนความสนใจ (1)
ตอนที่523 เบี่ยงเบนความสนใจ (1)
ขณะนั้นเอง เซียถงก็ลองกวาดสายตาไปรอบข้าง
ไม่มีใครสักคนหลงเหลืออยู่ที่นี่ แต่ยังมีร่องรอยการต่อสู้และคราบเลือดที่กระเซ็นสาดตามต้นไม้ใบหญ้า ทั้งยังรอยเท้าจำนวนนับไม่ถ้วนสะเปะสะปะไร้ระเบียบทิ้งเอาไว้
ปราศจากข้อสงสัยใดๆอีกต่อไป จักต้องมีศึกสัประยุทธ์ฉากใหญ่เกิดขึ้นหมาดๆแถวบริเวณนี้ แต่ที่น่าสงสัยคือ ทำไมมีบางช่วงบางจุดเมื่อโดนล้างทิ้ง ราวกับไม่อยากให้พูดคนที่ตามมาถึงทีหลังสืบเสาะติดตามไป
เสี่ยวฮั่วขมวดคิ้วถักแน่น และชี้นิ้วไปยังด้านหนึ่ง
มันกล่าวว่า
“นายท่าน! ตรงนั้น!”
พูดจบผ้าเตี่ยวสีแดงของมันก็โหมกระพือ สับเท้าวิ่งไปตามที่ชี้โดยไว
เซียถงกับหลิวซูเร่งตามติดใกล้ชิด จากจุดเดินที่ยืนอยู่ห่างออกไปอีกสักประมาณครึ่งลี้ แรกพบคือกลิ่นเลือดคาวเหม็นที่พุ่งเข้าปะทะใบหน้าตามสายลม เซียถงผลักกิ่งก้านระเกะระกะที่ขวางหน้าทิ้งไป เบื้องหน้าจะเห็นได้ว่าเป็นทุ่งราบกว้าง แต่ภายในนั้นเต็มไปด้วยซากศพเกลือนกลาดนับพันร่าง บางจุดสุมกองกันเป็นภูเขาพะเนิน
เซียถงสะดุดสายตาเข้ากับชุดเกราะการแต่งกายของศพเหล่านั้นทันที
“ชุดเกราะ? พวกนี้เป็นทหาร!”
ทว่ามีสิ่งหนึ่งที่คล้ายจะไม่ปกติ กล่าวคือ ชุดเกราะของทหารพวกนี้ไม่เหมือนกับของพวกตงหลี่หรือซีฉิน กระทั่งของจักรวรรดิอื่นๆก็ไม่ใกล้เคียงเลย เซียถงรู้สึกไม่คุ้นเคยเท่าไหร่นัก
“เจ้าเคยเห็นชุดเกราะพวกนี้หรือไม่?”
หลิวซูส่ายหัว
“น่าจะเป็นของดินแดนเล็กๆกระมัง?”
“หรือการปรากฏตัวของพวกทหารเหล่านี้ อาจข้องเกี่ยวกับที่ไป๋หลี่หานหายตัวไป?”
เซียถงกำลังหารือกับหลิวซูอยู่นั้น จู่ๆเสี่ยวฮั่วก็แหงนหน้าขึ้นมองฟ้าเพื่อจะพยายมตรวจสอบหาเบาะแสเพิ่มเติม ซึ่งสิ่งแรกที่แลเห็นก็คือ อินทรีโลหิตร่างยักษ์ที่กำลังยืนอยู่กลางเวหา เขารีบกระตุกแขนเสื้อของนางทันที เร่งกล่าวว่า
“นายท่าน! ดูบนนั้นสิ!”
เซียถงเงยหน้าขึ้นมองตาม แลเห็นสองเงาร่างกำลังนั่งโดยสารอยู่บนหลังของอินทรีโลหิตตนนั้น
นั่นมันหลัวซีกับชิงเยวี่ยไม่ใช่รึ?
ในขณะเดียวกัน ชิงเยวี่ยก็ก้มไปเห็นเซียถงอยู่เบื้องล่างเช่นกัน
“เกิดอะไรขึ้นกัน?”
ทันทีที่เห็นทั้งคู่กำลังขี่อินทรีโลหิตร่อนลงมาเทียบข้าง เซียถงก็เร่งเอ่ยถามออกไป
หลิวซูรู้สึกแปลกใจมิยิ่งยวด ทันทีที่เห็นหลิวซูกับเสี่ยวฮั่วกำลังเดินตามเซียถงอยู่ท้ายหลังต้อยๆ แวบแรก เขาอดสงสัยมิได้เลย เด็กหนุ่มกับเด็กน้อยสองคนนี้โผล่มาจากแห่งหนใด? แต่อย่างไร ตอนนี้กำลังเผชิญหน้ากับคำถามร้อนใจของเซียถง เขาจึงเร่งอธิบายเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้ฟังโดยละเอียด
ปรากฏว่า หลังจากที่โบราณสถานใต้บาดาลแห่งนั้นพังสลายลงมา ก็ส่งผลให้หุบเขาคุนหลุนแห่งนี้ไร้ซึ่งปราการด่านผนึกป้องกันใดๆอีกต่อไป ตราผนึกที่ใช้ปกปักรักษาหุบเขาแห่งนี้ล้วนถูกทำลายไปสิ้น และทำให้กลุ่มของพวกเขาสองคนที่รออยู่แถวตีนเขาในตอนแรกสุด สามารถขึ้นมาสู่ยอดเขาได้
แต่พวกเขาทั้งคู่ต่างไม่มีใครอยากพบเจอกับไป๋หลี่หานบนจุดสูงสุดของยอดเขาในเวลานั้น
อย่างเช่นหลัวซี ทุกครั้งได้เห็นหน้าไป๋หลี่หาน เขายังรู้สึกละอายใจไม่หาย เพราะในตอนก่อนหน้านี้ เขาเกือบจะร่วมมือกับท่านปู่เพื่อจับเซียถงมาคลุมถุงชนแต่งงาน ทั้งที่ไม่ได้ถามถึงความเห็นชอบจากฝ่ายหญิงเลยสักนิด ดังนั้นแล้ว เมื่อหลัวซีเห็นหน้าไป๋หลี่หานทีไร เขาจะรู้สึกละอายใจจนไม่กล้าสบตา
ดังนั้น หลิวซีจึงจงใจพยายามเลี่ยงไม่ให้พบเจอกับไป๋หลี่หาน
แต่ในขณะนั้น เขาก็ได้ฟังมาว่า เซียถงกำลังตกอยู่ในอันตราย หลัวซีจึงเปลี่ยนใจในท้ายที่สุด และวางแผนจะขี่อินทรีโลหิตขึ้นไปช่วยสมทบตามหาอีกแรง พร้อมกับชิงเยวี่ยที่ปราศจากพลังต่อสู้ใดๆ
ต่อมา เนื่องด้วยคลื่นแรงกระแทกลมปราณเข้มข้นที่ก่อเกิดจากศึกสัประยุทธ์ใหญ่ด้านบนนั้น อินทรีโลหิตจึงโดนบังคับให้ต้องถอยห่างจากรัศมีแถบนั้นมากขึ้นเรื่อยๆ แต่นั่นก็ยังอยู่ในพิสัยการมองเห็นค่อนข้างชัดระดับหนึ่ง ทั้งคู่แลเห็นไป๋หลี่หานกับเย่หลีเทียนต่อสู้กันอย่างดุเดือด
แน่นอน แรกเห็นดังนั้นทั้งหลัวซีและชิงเยวี่ยปรารถนาจะลงไปช่วยสมทบทันที แต่อย่างไร ทันใดนั้น พวกเขาก็ได้ยินเสียงพลุส่งสัญญาณดังต่อเนื่องถึงสองคราติด พร้อมทั้งกองกำลังทหารอีกหลายพันที่เข้าสมทบ เพิ่มเสริมให้สถานการณ์ศึกสัประยุทธ์ฉากใหญ่ทวีความรุนแรงขึ้นไปอีกเท่าทวี
พวกเขาเพิ่งทราบได้ทันที เซียถงในเวลานี้น่าจะเข้าใกล้บัญชาสี่พิภพมากแล้ว หรือไม่ก็ได้มาแล้ว แต่กลับถูกทัพทหารจากจักรวรรดิอื่นๆชุบมือเปิบ ลอบเข้าจู่โจมฉับพลันเพื่อหวังจะแย่งชิงเป็นของตน
จักรพรรดิแต่ละพระองค์ล้วนถวิลหาและปรารถนาบัญชาสี่พิภพยิ่งกว่าสรรพสิ่งใด ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นแผนการสกปรกสักแค่ไหน พวกเขาเหล่านั้นก็ยอมทำได้เพื่อแย่งชิงจากมือเซียถงมา!
และข้อสันนิษฐานนี้ก็ยิ่งมีน้ำหนักขึ้นไปอีก เพราะปัจจุบัน ตราผนึกที่ใช้ปกปักหุบเขาคุนหลุนก็ได้สลายหายไปโดยสิ้นแล้ว นี่ย่อมเปิดโอกาสให้กองกำลังจากฝ่ายต่างๆเดินทัพเข้าบุกยึดได้อย่างง่ายดาย
พินิจคำนวณโดยคร่าวจากบนฟ้า พวกเขาเห็นกองกำลังทหารจำนวนนับหมื่นนาย ได้เห็นแบบนั้นทำเอาทั้งคู่ตะลึงงันไปชั่วขณะ
“เจ้ากับเซียถงก็ผ่านอะไรมาด้วยกันตั้งมากมาย และข้าก็เคยคิดมาเสมอ ต่อให้เจ้าจะเกลียดชังข้าปานใด แต่สำหรับเซียถงแล้ว เจ้าจะต้องให้อภัยไว้ชีวิตนาง! แต่กลับไม่นึกไม่ฝัน เจ้าจะทิ้งนางให้อยู่ในธารน้ำแข็งทะเลสาบได้ลงคอ! เพราะเห็นแก่บัญชาสี่พิภพถึงปานนี้!!”
ไป๋หลี่หานทราบมาโดยตลอดว่า ตอนนั้นในเรือนพักของคณบดีเคราขาว มันเกิดอะไรขึ้นบ้างระหว่างเย่หลีเทียนและเซียถง แต่เขาเลือกที่จะไม่พูดเพราะรักนาง และยังกลัวว่านางจะไม่สบายใจ
ในปัจจุบัน กองทหารที่สั่งสมระดมพลบนยอดเขาคุนหลุนแห่งนี้มีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆแล้ว ซึ่งมีความเป็นไปได้มากว่า นอกจากกองทัพแห่งต้าซิงภายใต้การบัญชาของเย่หลีเทียนแล้ว หากปล่อยเวลาล่วงเลยไปมากกว่านี้ อาจมีกองทัพของจักรวรรดิดินแดนอื่นเข้ามาเสริมเพิ่มเติมได้ และหากตอนนั้น เซียถงดันปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับบัญชาสี่พิภพในมือ ก็ไม่เท่ากับว่า นางจะกลายมาเป็นเป้าหมายสั่งตายของทุกกองกำลังเลยงั้นรึ?
เย่หลีเทียนได้ยินเช่นนั้นพลันรู้สึกสะท้อนใจขึ้นมา เขากัดฟันแน่นกระชับคมกระบี่ทิ่มแทงใส่ทางไป๋หลี่หานด้วยความโกรธเกรี้ยว แผดเสียงคำรามด้วยความแค้นปนเศร้าว่า
“ไป๋หลี่หาน! อย่างเจ้าจะไปรู้อะไร!! ส่งบัญชาสี่พิภพมาเสีย! แล้วข้าผู้นี้จะยอมละเว้นชีวิตเจ้า!”
สิ้นเสียงคำกล่าวนี้ เหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งหลายของเย่หลีเทียนก็เปลี่ยนกลยุทธ์ มุ่งความสนใจมาทางนี้จนเป็นตาเดียว พริบตาต่อมาก็ตรงเข้าปิดล้อมห้อมกรอบไป๋หลี่หานเอาไว้อย่างหนาแน่นไร้ช่องโหว่
โม่ซวนและพวกต่างตื่นตระหนักอย่างยิ่งที่เห็นดังนั้น
ไป๋หลี่หานและเย่หลี่เทียนต่างสบสายตามองหน้ากันและกัน เสมือนบังเกิดประกายไฟโฉบแล่นยิงปะทะเสียงดังเปรี๊ยะ
ไป๋หลี่หานกระชักกระบี่ชูขึ้นใส่หน้าอีกฝ่าย เสื้อคลุมตัวยาวโบกสะบัดรุนแรงทั้งที่ไม่มีสายลมพัดผ่านใดๆ ทั้งหมดล้วนเกิดจากกระแสคลื่นลมปราณที่เชี่ยวกรากรุนแรง เสี้ยวพริบตาขณะ จู่ๆเขาก็สามารถยกระดับชั้นพลังลมปราณตนเอง ทะยานขึ้นไปถึงจุดสูงสุดแห่งขอบเขตจักรพรรดิครามได้ภายในเวลาอันสั้น!
เหล่าองครักษ์หน่วยเงาที่เร่งเข่าสมทบเพื่อช่วยเหลือไป๋หลี่หานอยู่ไม่ห่าง ยามนี้ถึงกับต้องล่าถอยออกไปหลายก้าว เร่งผสานพลังกางม่านพลังป้องกันคลื่นกระแทกที่ระเบิดคลั่งทะลักทลายออกมาทันควัน
“หื้ม? ฟื้นขอบเขตลมปราณกลับมาดังเดิมได้แล้ว? แต่คิดว่าเจ้าคนเดียวรึไง!?”
เย่หลีเทียนปลดปล่อยขุมพลังขั้นสุดออกมาเช่นกัน แรงระเบิดระหว่างทั้งสองปะทะชนกันเต็มพิกัด เหล่านายทหารนับหลายร้อยถูกคลื่นกระแทกเหล่านั้นกวาดล้างซัดกระเด็นไปไกลโข
แต่ทันใดนั้นเอง จู่ๆไป๋หลี่หานก็หยิบเหรียญตราปริศนาสีทองคำออกมาจากอกเสื้อโดยตรง จงใจให้เย่หลีเทียนลอบสังเกตเห็นได้ จากนั้นก็กระชับกำมันไว้ในมือบีบแน่นราวกับเป็นสมบัติสำคัญ เสี้ยวพริบตาต่อมา คู่เท้าของเขากระตุกวูบ กลายร่างเป็นสายฟ้า ไสววาบเหินฟ้าทะยานฝ่าศึกสัประยุทธ์ออกไปโดยตรง
ไม่ใช่เพียงเย่หลีเทียนที่เห็น คนอื่นๆเองที่อยู่ถัดออกไปล้วนหันขวับมุ่งความสนใจไปที่สิ่งนั้นในกำมือของไป๋หลี่หาน
ไม่มีใครเคยเห็นบัญชาสี่พิภพมาก่อน มันมีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไรก็ไม่อาจทราบได้ แต่ในตอนนี้ เมื่อเย่หลีเทียนสังเกตเห็นว่า ไป๋หลี่หานดูจะหวงแหนเจ้าเหรียญตราสีทองคำในมือเป็นพิเศษ เขาก็สันนิษฐานได้ทันที สิ่งที่อยู่ในมือของไป๋หลี่หานจะต้องเป็น บัญชาสี่พิภพไม่ผิดเพี้ยน! และทุกคนโดยรอบนั้นเองต่างก็คิดแบบเดียวกัน
ดังนั้น ทุกสายตานับไม่ถ้วนจึงถูกเจ้าสิ่งที่อยู่ในกำมือของไป๋หลี่หานดึงดูดเข้าทันที
“ราชาหมาป่าสวรรค์ได้บัญชาสี่พิภพไปแล้ว! รีบไปชิงมันมา!!”
แต่เสี้ยวอึดใจก่อนที่เย่หลีเทียนจะรีบไล่ล่าติดตามไป จู่ๆก็มีกองกำลังไม่ทราบข้าง ลุกฮือสวนขึ้นมาจากตีนเขาคุนหลุน เข้าร่วมศึกใหญ่เป็นฝ่ายที่สาม ขุนศึกใหญ่ผู้นำทัพทหารดังกล่าว รีบประสานมือ แหงนศีรษะตะโกนเรียกหาไป๋หลี่หาน
“ท่านราชาหมาป่าสวรรค์! หากท่านยอมมอบบัญชาสี่พิภพแด่จักรวรรดิหน่านเฟิง องค์จักรพรรดิของเรายินดีอย่างยิ่ง ที่จะพระราชทานดินแดนในจักรวรรดิหน่านเฟิงแก่ท่านครึ่งหนึ่ง!”
ไม่นานก็มีกองกำลังจากจักรวรรดิอื่นๆเคลื่อนทัพติดตามขึ้นมา เร่งเอ่ยกล่าวข้อเสนอเพื่อจูงใจไป๋หลี่หานต่างๆ นานา
“ท่านราชาหมาป่าสวรรค์…”
เย่หลีเทียนเห็นว่าท่าไม่ดีแล้ว จึงรีบระงับขุมพลังที่แท้จริงเก็บซ่อนเอาไว้ดังเดิม และต้องกลับมารับบท อัครมหาเสนาบดีแห่งจักรวรรดิตงหลี่อีกครั้งโดยไว…