ตอนที่578 ความลับภายในวัง (2)
ตอนที่578 ความลับภายในวัง (2)
กล่าวว่า พระราชวังนั้นเป็นสถานที่ที่เก็บซ่อนความลับไว้มากมาย แต่เพราะขึ้นชื่อว่าความลับจึงมีน้อยคนนักที่ล่วงรู้ได้ เพราะสิ่งเหล่านี้ที่เรียกว่า ความลับ มันอาจต้องสังเวชชีวิตของผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนเพื่อกลบฝังมันไว้อยู่ภายใต้ความมืดมิดตลอดกาล..
หากอยากมีชีวิตอยู่รอดต่อไปในวัง จงเก็บฝังความลับที่ล่วงรู้ไว้ใต้ก้นบึ้งหัวใจชั่วนิรันดร์ และสำหรับคนที่ล่วงรู้สิ่งใดมากเกินจำเป็น ผู้นั้นล้วนมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน…
ในตอนนั้นมีข่าวลือหนาหูว่า เย่หลีเทียนคือบุตรนอกสมรสของฝ่าบาท เหล่าขุนนางตงชินทั้งหลายจึงมีการส่งหน่วยทหารข่าวกรองกระจายตัวเพื่อเสาะหาหลักฐานทั้งหมดทั่วทุกหย่อมหญ้า ป้องกันมิให้ลำดับราชวงศ์ถูกแทรกแซงจากภายนอก แต่อย่างไรองค์จักรพรรดิตงหลี่ผู้วายชนม์คนนี้กลับไม่เคยเสด็จออกนอกพระราชวังเป็นการส่วนตัว และหลักฐานทุกอย่างภายในวังล้วนยถูกทำลายทิ้งไม่เคยหลงเหลือ เรื่องทั้งหมดจึงจบลงโดยการที่ไม่มีใครสามารถเสาะหาหลักฐานอันใดมายืนยันได้ ทว่าในปัจจุบัน เย่หลีเทียนกลับเป็นฝ่ายเปิดเผยและยอมรับว่า เรื่องทั้งหมดเป็นความจริงอย่างกะทันหันฉับพลัน! แน่นอน เสี้ยวอึดใจแล้ว ไป๋หลี่เย่ย่อมสงสัยกังขาในเรื่องที่แสนคลุมเครือนี้เป็นธรรมดา แต่สุดท้ายนี้ หากลองพินิจวิเคราะห์ให้จงดี หากมิใช่เพราะเสด็จพ่อของเขาปฏิบัติต่อเย่หลีเทียนแตกต่างจากขุนนางคนอื่นทั่วไป แล้วมีหรือที่อีกฝ่ายจะขึ้นกลายเป็นอัครมหาเสนาบดีแห่งตงหลี่ได้ตั้งแต่อายุยังน้อย!
ในด้านความรู้ความสามารถของเย่หลีเทียนย่อมไม่ปฏิเสธ แต่การจะขึ้นมาถึงตำแหน่งนี้ จำเป็นจะต้องมีขั้นมีตอน รวมไปถึงศักดิ์ด้านความอาวุโสเข้ามาผนวกรวม
ทันใดนั้นเอง ก็มีความคิดหนึ่งแวบเข้ามาในหัวของไป๋หลี่เย่พลัน!
ก่อนที่เขาจะถือกำเนิดมาได้ปีหรือสองปีโดยประมาณ ฟังว่าเสด็จพ่อของเขาที่เพิ่งล่วงลับไปนั้นมีบุตรชายอยู่ก่อนแล้วคนหนึ่ง! แต่เพียงว่า เด็กคนนั้นถือกำเนิดจากนางสนมที่มิได้โปรดปรานเท่าไหร่นัก อย่างไรเสีย จำได้ว่า เด็กคนนั้นเสียชีวิตทันทีหลังทำการคลอดเสร็จสิ้นได้ไม่นาน ส่วนทางนางสนมคนนั้นเกิดอาการสติแตกคลุ้มคลั่งอย่างหนักจนกลายเป็นบ้าในที่สุด ส่งผลให้นางถูกขับไล่ออกจากพระราชวังในเวลาต่อมา!
แต่เมื่อคิดดูแล้ว เย่หลีเทียนเองก็มีอายุมากกว่าเขาประมาณปีสองปีเช่นกัน หากกล่าวว่าเด็กคนนั้นก็คือเย่หลีเทียน ดูเหมือนว่าเรื่องนี้จะดูสมเหตุสมผลขึ้นมาทันที!
จู่ๆไป๋หลี่เย่ก็เงยหน้าแหงนขึ้นไว สะกดมองเย่หลีเทียนด้วยสายตาสุดจะเหลือเชื่อยิ่งยวด
“เจ้าคือ…บุตรชายของนางสนมฮุ่ยกระมัง?”
“นางสนมฮุ่ย…”
เย่หลีเทียนบ่นพำพึงชื่อนี้อยู่สักครู่ซ้ำแล้วเล่า..
เคยมีแม่นมนางหนึ่งผู้เลี้ยงดูไป๋หลี่เย่ในวัยเด็ก ตอนอายุตอนนั้นประมาณสามสี่ขวบเห็นจะได้ เล่าฟังว่าวังหลวงมีนางสนมผู้หนึ่งชื่อว่า ฮุ่ย เกิดสติแตกกลายเป็นบ้า หญิงสาวนางนั้นพยายามวิ่งหนีออกจากวังหลวง พร้อมกับท่าทีเหมือนกับหวาดระแวงในอะไรบางอย่าง โดยเฉพาะกับแววตาของนางที่ดูน่ากลัวเป็นพิเศษ
ไป๋หลี่เย่ยังจดจำได้แม่นยำ แม่นมบอกว่า หญิงสติไม่ดีนางนั้นก็คือ นางสนมฮุ่ย
เมื่อไป๋หลี่เย่ในวัยเด็กได้ฟังเรื่องราวนั้นพลันก็รู้สึกสงสารในตัวนางสนมฮุ่ยจับใจ และเขายังกล่าวกับแม่นมของตนเลยว่า
“นางสนมฮุ่ยเพิ่งสูญเสียบุตรชายอันเป็นที่รักของตนเองไป จึงไม่แปลกเลยสักนิดที่จะรู้สึกใจสลายปานนั้น แล้วไยถึงต้องโดนขับไล่ออกจากวังทั้งที่นางไม่ได้ทำผิดอะไรเลย?”
แต่แม่นมของเขาได้เล่าต่อว่า ในตอนนั้น นางสนมฮุ่ยวิ่งไปหาฝ่าบาทและคุกเข่าขอขมาร้องห่มร้องไห้ไม่หยุด แต่กลับไม่มีใครล่วงรู้ว่า เนื้อความสนทนาเหล่านี้ แม้จริงแล้วมีใจความอย่างไร ทว่าในเวลาต่อมา ฝ่าบาททรงกริ้วหนักและมีรับสั่งให้ขับไล่นางออกจากพระราชวังทันที!
อย่างไรก็ตาม ไม่นานนักหลังจากที่นางสนมฮุ่ยถูกขับไล่ออกจากวัง ก็มีข่าวจากทหารลาดตระเวนรายงานว่า นางสนมฮุ่ยเสียชีวิตในตอนเที่ยงคืน
เหตุการณ์ดังกล่าวสร้างความโกลาหลไม่น้อยภายในวัง และเนื่องจากเรื่องทุกอย่างได้ผ่านพ้นไปแล้ว จึงไม่มีใครต้องการพูดถึงชื่อนางสนมฮุ่ยอีกเลย กระทั่งในรายชื่อนางสนมทั้งหมดของฝ่าบาทก็ถูกลบเลือนออกไป
ทว่าแท้จริงแล้ว เบื้องลึกเบื้องหลังที่ซ่อนอยู่ใต้พรมกลับยังมีอีกมากมาย และความจริงเหล่านั้นยังห่างไกลจากสิ่งที่ทุกคนรู้อย่างลิบลับ!
มิฉะนั้นแล้ว เย่หลีเทียนยังมีชีวิตอยู่แล้วมานั่งต่อหน้าเขาได้ยังไง!
ไป๋หลี่เย่นั่งต้องหน้าต้องตาเย่หลีเทียนอยู่สักครู่หนึ่ง ในขณะนี้เอง ก็เริ่มจะมุ่งใช้ความคิดพินิจวิเคราะห์อย่างจริงจังแล้วเช่นกัน ทั้งนี้ยังรู้สึกประหลาดใจไม่น้อย เมื่อค้นพบว่า แท้ที่จริง เย่หลีเทียนกับเสด็จพ่อของเขาเองก็มีใบหน้าหลายส่วนที่คล้ายคลึงกัน
กระนั้นเอง ไม่ว่ายังไงเขาก็เป็นบุตรชายของนางสนมฮุ่ยกับฝ่าบาทโดยตรง กล่าวคือมีสายเลือดราชวงศ์ไหลเวียนอยู่ในกาย สถานะตัวตนก็ไม่ควรต่ำต้อย แล้วไฉนเขาถึงกลายมาเป็นเช่นนี้ได้?
สิ่งที่ไป๋หลี่เย่พยายามจะหมายถึงคือ ในเมื่อทราบดีอยู่แก่ใจว่า ตนเองมีเชื้อสายราชวงศ์ แล้วเหตุใดในตอนที่เติบใหญ่แล้ว ถึงไม่เข้ามาอ้างตัวเพื่อทวงสิทธิ์ศักดินาคืนล่ะ? แต่เลือกที่จะไต่เต้าในเส้นทางขุนนางแทน?
เย่หลีเทียนระบายยิ้มขมขื่นสุดแสน เล่าอธิบายว่า
“เจ้าคงรู้สึกสับสนมากกระมัง? รวมไปถึงเรื่องที่ข้าควรทวงสิทธิ์การเป็นองค์รัชทายาทด้วย? เรื่องทุกอย่างล้วนมีต้นสายปลายเหตุ!”
ในปีนั้น เดือนกุมภาพันธ์! นางสนมฮุ่ยได้ทำการคลอดเย่หลีเทียนออกมา ทุกอย่างล้วนประสมความสำเร็จด้วยดี และเมื่อรู้ว่า เย่หลีเทียนที่นางสนมฮุ่ยให้กำเนิดออกมานั้นเป็นเด็กผู้ชาย ฝ่าบาทก็มีความสุขอย่างมากไปด้วยเช่นกัน
อย่างไรเสีย ความสุขเหล่านั้นของฝ่าบาทกลับคงอยู่ได้ไม่นาน!
ในวันที่สองหลังจากที่เย่หลีเทียนถือกำเนิดมา จักรวรรดิตงหลี่ก็ได้เกิดอาเพศขึ้นครั้งใหญ่ ดอกไผ่ทั่วทั้งดินแดนต่างบานสะพรั่งพร้อมกันชั่วข้ามคืน!
ยามใดที่กอไผ่ออกดอกก็เปรียบได้กับถึงวันเวลาที่ต้องจากลา กล่าวคือ ดอกไผ่ที่ผลิบานออกมานั้นถือเป็นสิ่งอัปมงคล! หลังจากนั้นไม่นาน จักรวรรดิตงหลี่ก็เกิดประสบภัยแล้งครั้งประวัติการณ์ มีจำนวนผู้คนอดยากมากที่สุดนับตั้งแต่ก่อตั้งจักรวรรดิขึ้นมา!
กล่าวคือ ประชาชนทั้งหลายต่างอดยากกันยกจักรวรรดิ!
เมื่อเกิดอาเพศครั้งใหญ่หลวง ประชาชนทั้งหลายจึงเริ่มเอ่ยปากติเตียนกัน จนกลายเป็นเรื่องใหญ่โตว่า ฝ่าบาทของพวกเขากำลังทำเรื่องพิสดารไม่ถูกไม่ควรอยู่จึงทำให้ฟ้าดินพิโรธ และแม้ว่าคนในเมืองเฟิงหลี่เองจะมิได้แสดงตัวกล่าวถึงเรื่องนี้กันเท่าไหร่นัก แต่ข่าวนี้กลับแพร่กระจายไปยังจักรวรรดิข้างเคียงเร็วมากดุจโรคระบาด ทำให้เหล่าจักรพรรดิผู้ปกครองดินแดนคนอื่นๆในเวลานั้น ต่างนำเรื่องนี้ไปล้อเลียนกล่าวเสียดสีกันอย่างสนุกปาก
ฝ่าบาทในเวลานั้นรับไม่ได้อย่างยิ่ง ที่ตนเองต้องกลายมาเป็นขี้ปากคนอื่นให้ติฉินนินทากันราวกับเป็นตัวตลก ถึงขนาดมีสาสน์ด่วน เรียกตัวขุนนางทั้งฝ่ายให้มารวมตัวในพระราชสำนักเป็นกรณีฉุกเฉิน เพื่อปรึกษาหารือกันเกี่ยวกันเรื่องดังกล่าว!
และในท้ายที่สุดก็ได้ข้อสรุปว่า ตัวต้นเหตุทั้งหมดก็คือ เย่หลีเทียนที่เพิ่งถือกำเนิดมา!
เช้าวันถัดมา เมื่อนางสนมฮุ่ยทราบข่าวจึงรีบวิ่งปรี่ไปขอความเมตตากับฝ่าบาททันที ขอให้ไว้ชีวิตเย่หลีเทียน แต่ฝ่าบาทไม่ยอมจึงสั่งลงโทษเด็ดขาด ขับไล่นางและลูกออกจากวังไปทันที
เพราะท้ายที่สุดนี้ ต่อให้เขาจะมีจิตใจแข็งกร้าวปานใด แต่เสือกลับไม่กินลูกตัวเองได้ลงคอ ระหว่างนั้น เขาก็เลยเดินทางไปหาซินแสคนสนิท เพื่อหารือถึงวิธีการอื่นว่ายังพอมีอยู่หรือไม่?
แต่จนแล้วจนรอด การจะหยุดเรื่องอาเพศมิให้เกิดขึ้น จำต้องจัดการที่ต้นเหตุอย่างเดียวเท่านั้น ฝ่าบาทจึงต้องจำใจส่งนักฆ่าไปลอบวางเพลิงในกระท่อมแห่งหนึ่งที่สองแม่ลูกระหองระแหงไปพักอยู่ในนั้นแถวชานเมือง ในคืนนั้น กระท่อมดังกล่าวถูกเผาไม่เหลือซาก ทั้งเย่หลีเทียนและนางสนมฮุ่ยถูกไฟคลอกจนเสียชีวิตทันที
ทว่าในความจริง ตอนนั้นนางสนมฮุ่ยผู้มีไหวพริบค่อนข้างดี คล้ายจะตระหนักทราบอยู่แล้วว่า ฝ่าบาทจะต้องส่งคนออกมาเก็บงานฆ่าพวกนางไม่ให้เหลือร่องรอย จึงเตรียมการทุกอย่างไว้พร้อมในระดับหนึ่งแล้ว และเมื่อนักฆ่าคนนั้นจุดไฟเผากระท่อม นางสนมฮุ่ยก็ฉวยโอกาสนั้นรีบหนีออกไปพร้อมกับเย่หลีเทียน…
ต่อมา เมื่อนักฆ่ากลับมารายงานว่า นางสนมฮุ่ยได้หนีออกไปแล้ว ฝ่าบาทจึงพิโรธทรงกริ้วหนัก อีกด้านหนึ่งก็รีบเสาะคนมาช่วยปกปิดเรื่องไฟไหม้กระท่อมในคืนนั้น และแสร้งปล่อยข่าวเท็จที่ว่า องค์ชายน้อยได้สิ้นพระชนม์แล้วตั้งแต่แรกคลอด