หวนคืนชะตาแค้น – ตอนที่ 13 พระชายากง

หวนคืนชะตาแค้น

ตอนที่ 13 พระชายากง

มู่ฉังหมิงตอบรับอย่างง่ายดาย ผ่านไปชั่วครู่ มู่ชิงอีที่สวมผ้าคลุมหน้าก็เดินตามมู่เชินออกจากจวนซู่เฉิงโหว เพื่อให้ได้ใจนาง มู่เชินจึงนึกอยากตีสนิทมู่ชิงอีขึ้นมา พอออกจากจวนไปก็พามู่ชิงอีตรงไปที่ร้านชาด[1]ที่เป็นที่ชื่นชอบของสตรีทุกนางในเมืองหลวง นั่นคือร้านเหลิ่งเซียง

ร้านเหลิ่งเซียงไม่ได้เป็นแค่เพียงร้านขายชาดที่ดีที่สุดในเมืองหลวง แต่ยังเป็นสถานที่ที่หญิงสาวและหญิงมีฐานะสุดจะหวงแหน กลิ่นหอมของผงชาดของร้านเหลิ่งเซียง นอกจากจะหอมเป็นพิเศษแล้ว ยังทำให้จิตใจผ่อนคลาย ยิ่งไปกว่านั้น ในทุกๆ หนึ่งปีร้านเหลิ่งเซียงจะออกกลิ่นพิเศษกลิ่นหนึ่งมา กลิ่นนี้จะออกขายแค่เพียงครั้งเดียวและจะไม่มีออกมาอีกเป็นครั้งที่สองในปีนั้น ซึ่งตอบสนองต่อความภาคภูมิใจและเป็นความปรารถนาของเหล่าคุณหนูที่ไม่ชอบอะไรซ้ำซากจำเจ ดังนั้นแม้จะต้องเสียเงินเป็นพันตำลึง หญิงสาวเหล่านั้นต่างก็ไม่เสียดาย

มู่เชินที่เป็นบุรุษจะดูไม่ดีหากอยู่ในสถานที่เช่นนี้นานๆ จึงแค่มาส่งมู่ชิงอีไว้หน้าร้านเท่านั้น ส่วนตัวเขาก็ไปรอที่โรงน้ำชาฝั่งตรงข้าม ก่อนที่จะมานั้นเขาได้ให้ตั๋วเงินกับมู่ชิงอีไปห้าสิบตำลึง มู่ชิงอีไม่สามารถปฏิเสธได้ ทำได้แค่รับมันมาจากมู่เชิน

เข้ามาภายในร้าน การตกแต่งที่สวยงามและเงียบสงัดของห้องโถงทำให้รู้สึกถึงบรรยากาศงดงามปนความวังเวง ในขณะเดียวกัน กลิ่นผงชาดที่ปกติต้องมีในร้านชาดกลับไม่ได้กลิ่น มีเพียงกลิ่นควันที่ค่อยๆ เผาไหม้ในกระถางธูปที่วางอยู่บนโต๊ะอีกฝั่ง ถ้าไม่แขวนป้ายบอกเอาไว้ คนอาจจะไม่เชื่อว่านี่คือร้านชาดแน่นอน

“เชิญคุณหนูทางนี้เจ้าค่ะ ไม่ทราบว่าต้องการสิ่งใดเจ้าคะ” หลังผ้าม่านสีฟ้าอ่อน สตรีในชุดสีม่วงเดินยิ้มออกมาอย่างช้าๆ มองไปยังมู่ชิงอีพร้อมกับเอ่ยถามขึ้น

มู่ชิงอีไม่ได้รู้สึกประหลาดใจแต่อย่างใด ยิ้มและพูดเบาๆ “เถ้าแก่ ไม่ทราบว่าที่นี่พอจะมีพวกเครื่องหอมบ้างหรือไม่”

บนใบหน้าของหญิงชุดม่วงงดงามอ่อนช้อยปรากฏความประหลาดใจ พูดด้วยรอยยิ้ม “น้อยคนมากที่จะมาที่ร้านเหลิ่งเซียงเพื่อซื้อเครื่องหอม คุณหนูปราดเปรื่องเรื่องเครื่องหอมหรือเจ้าคะ” มู่ชิงอียิ้มแล็กน้อยเอ่ยตอบ “รู้เพียงนิดหน่อยเท่านั้น”

เมื่อเห็นนางไม่พูดมากความ หญิงชุดม่วงก็ไม่ได้ใส่ใจนัก “คุณหนูต้องการเครื่องหอมแบบใดเจ้าคะ”

มู่ชิงอีหยิบกระดาษที่เต็มไปด้วยลายมือส่งให้นาง หญิงชุดม่วงงดงามก้มดูพร้อมพูดชื่นชม “คุณหนูเขียนได้สวยมากเจ้าค่ะ ร้านของเรามีเครื่องหอมเหล่านี้ทั้งหมด เชิญคุณหนูดื่มน้ำชารอด้านใน ประเดี๋ยวเดียวก็เตรียมของให้คุณหนูเสร็จแล้ว”

มู่ชิงอีพยักหน้ายิ้ม “ขอบคุณเถ้าแก่มาก”

ทั้งสองคนกำลังจะหมุนตัวกลับเข้าไปด้านใน กระดิ่งลมที่แขวนไว้หน้าประตูพลันขยับส่งเสียงดังขึ้น มีลูกค้าเข้ามาอีกแล้ว หญิงชุดม่วงยิ้มกล่าวขอโทษมู่ชิงอีแล้วหันไปต้อนรับแขก นอกประตู คนที่เข้ามานั้นเป็นกลุ่มคนกลุ่มใหญ่ สีหน้าของหญิงสาวชุดม่วงค่อยๆ เปลี่ยนไป รีบสาวเท้าเข้าไปใกล้ขึ้น “คารวะพระชายากง หม่อมฉันไม่ได้ออกมาต้อนรับโปรดประทานอภัยเพคะ”

เดิมทีมู่ชิงอีนั้นไม่ได้สนใจคนด้านนอกที่เข้ามาอยู่แล้ว แต่พอที่ได้ยินคำพูดที่หญิงชุดม่วงพูดขึ้นก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตกใจ จึงหันหน้ากลับไปมองหญิงสาวในชุดงดงามที่ถูกห้อมล้อมไปด้วยผู้คน

ว่าแต่พระชายากงสตรีที่สุขสมหวังที่สุดในเมืองหลวงนั้น ทุกวันนี้เป็นอย่างไรบ้าง

เห็นหญิงสาวที่เดินเข้ามาในห้องโถงอย่างช้าๆ ใบหน้างดงามสูงส่งลงแป้งบางๆ ปัดคิ้วสีอ่อน บนร่างสวมชุดสีเหลืองอมชมพูปักด้วยไหมทองลายดอกโบตั๋นพันเลื้อย เข้ากับปิ่นระย้าลายหงส์คาบไข่มุก ดูหรูหราสะกดสายตาผู้คน ทว่าในความทรงจำของมู่ชิงอีนั้น กลับให้ความรู้สึกที่เย่อหยิ่งมากกว่าสูงส่ง สตรีผู้นี้คือหมิงหวาจวิ้นจู่[2]แห่งจวนผิงอ๋อง ในตอนนั้นจูหมิงเยียนคือสหายรักที่สุดของกู้อวิ๋นเกอคุณหนูใหญ่แห่งตระกูลกู้ แต่ในตอนนี้นางกลับกลายเป็นพระชายาของมู่หรงอวี้ องค์ชายหกในปัจจุบัน

พระชายากงสัมผัสได้ถึงสายตาที่มองมา ความคิดของมู่ชิงอีจึงได้หยุดชะงักลงเพราะถูกนางจับได้แล้ว

มองเข้าไปยังม่านและหันกลับมามองคนของตัวเองพลางขมวดคิ้ว หลังผ้าม่านบางๆ ที่กั้นไว้นั้น มีดวงตาที่รู้สึกคุ้นเคยผุดขึ้นมา พระชายากงยิ่งขมวดคิ้วสงสัย เอ่ยถามเสียงเบา “นั่นใครกัน”

หญิงชุดม่วงมองมู่ชิงอี แล้วตอบด้วยรอยยิ้ม “พระชายา ท่านผู้นี้มาซื้อเครื่องหอมเพคะ”

“ซื้อเครื่องหอม?” พระชายากงมองไปยังมู่ชิงอี “ข้าคุ้นหน้าคุณหนูท่านนี้ยิ่งนัก ไม่ทราบว่าเจ้าเป็นคุณหนูจากตระกูลใด”

มู่ชิงอีหมุนตัวกลับมา หลุบตาลงช้าๆ เอ่ยตอบ “หม่อมฉันคือคุณหนูสี่แห่งจวนซู่เฉิงโหว คารวะพระชายากงเพคะ”

“คุณหนูสี่จวนซู่เฉิงโหว?” พระชายากงเลิกคิ้ว “เจ้าคือบุตรสาวของฉินกั๋วฮูหยิน?”

“ใช่แล้วเพคะ” มู่ชิงอีตอบอย่างนอบน้อม

“มิน่าเล่า…” มองมู่ชิงอีแล้วค่อยๆ หลับตาลง พระชายากงเหม่อลอยชั่วครู่ พอได้สติกลับมาถึงได้โบกมือไปมา “เจ้าออกไปเสียเถิด” พูดไล่มู่ชิงอีให้ออกจากร้านไปอย่างไร้ความปราณี เห็นท่าทางพระชายากงเช่นนี้ สตรีบางคนที่ติดตามพระชายากงก็ยกมือขึ้นปิดปากหัวเราะเยาะ

คุณหนูสี่แห่งจวนซู่เฉิงโหวคงจะไม่เข้าตาพระชายาเสียแล้ว

มู่ชิงอีตอบกลับเบาๆ “หม่อมฉันยังต้องรอรับของอยู่เพคะ พระชายาโปรดอภัยด้วย”

“เจ้า…” สายตาพระชายากงค่อยๆ เปลี่ยนไป มองไปยังมู่ชิงอีอย่างละเอียดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้น “เจ้าค่อนข้างแตกต่างกับอวิ๋นหรง” ริมฝีปากแดงของมู่ชิงอีค่อยๆ ยกยิ้ม หัวเราะเบาๆ “เป็นเพราะชาติกำเนิดเดิมของนาง บางครั้งพี่หญิงสามจึงพูดอะไรไม่เข้าหูนัก พระชายาโปรดอภัยเพคะ”

สีหน้าของพระชายากงเปลี่ยนไปอีกครั้ง สักพักจึงหันไปหาหญิงชุดม่วงด้านข้าง “ในเมื่อมีลูกค้าอยู่ ไว้ข้าแวะมาใหม่คราวหน้า”

พอฟังพระชายากงกล่าวจบ หญิงสาวที่อยู่ข้างนางกลับไม่คล้อยตาม “พระชายา นางเป็นผู้ใดกันเพคะ เหตุใดพระชายาถึงต้องยอมให้นาง”

“ใช่เพคะ เห็นพระชายายังไม่ทำความเคารพอีก ช่างไร้มารยาทยิ่งนัก”

“พอได้แล้ว!” พระชายากงกวาดตามองด้วยความขุ่นเคือง หันกลับไปยิ้มให้มู่ชิงอี “ห้าวันหลังจากนี้ ข้าจะจัดงานเลี้ยงขึ้นที่เรือน เชิญบรรดานายหญิงและคุณหนูมามากมาย ถึงเวลานั้น คุณหนูสี่ตระกูลมู่จะต้องมาด้วยล่ะ”

มู่ชิงอีตอบรับอย่างเป็นมิตร “ขอบพระทัยพระชายาเพคะ ถึงตอนนั้น หม่อมฉันคงต้องขอรบกวนท่านแล้ว”

พระชายากงจ้องมองนางอีกครั้ง ก่อนที่จะหมุนตัวนำคนออกไป

“เกรงว่าพระชายากงคงขุ่นเคืองอยู่เล็กน้อย คุณหนูตระกูลมู่ควรจะระวังไว้ถึงถูกนะเจ้าคะ” หลังจากส่งพระชายากงจากไป หญิงชุดม่วงก็มองไปยังมู่ชิงอีพร้อมพูดตักเตือนเบาๆ มู่ชิงอีมองหญิงสาวหน้าตาจิ้มลิ้มตรงหน้าผู้นี้ด้วยความแปลกใจ

ไม่ใช่แค่ความงดงามเท่านั้น แต่แววตาที่เงียบสงบของนางนั้นกลับสามารถมองออกอย่างทะลุปรุโปร่ง จะต้องเป็นหญิงสาวที่เฉลียวฉลาดอย่างแน่นอน และหญิงสาวที่ฉลาดอย่างแท้จริงนั้น จะไม่พูดมากความ

หญิงชุดม่วงปิดปากหัวเราะ “ข้าพูดมากไปแล้ว คุณหนูตระกูลมู่อย่าได้แปลกใจ ข้ารู้จักหญิงท่านหนึ่งที่เหมือนกันกับคุณหนูมากเจ้าค่ะ เลยอดไม่ได้ที่จะ…” หยุดพูดกลางคันแล้วถอนหายใจอย่างแห้งเหี่ยว หญิงชุดม่วงผายมือเชิญมู่ชิงอีเข้าไปด้านใน มู่ชิงอีพลันใจเต้นเล็กน้อย หันไปถาม “ผู้ที่ทำให้แม่นางสนใจได้ คงจะต้องเป็นหญิงสาวที่ไม่ธรรมดา”

หญิงชุดม่วงพยักหน้าเอ่ย “ที่จริงแล้วนางเป็นหญิงที่น่าทึ่ง แม้ว่านางกับข้าจะมีวาสนาต่อกันเพียงครั้งเดียว แต่ในใจข้ากลับรู้สึกขอบคุณและเคารพนางยิ่งนัก ถึงแม้ในเมืองหลวงที่เจริญรุ่งเรืองแห่งนี้จะเต็มไปด้วยเหล่าขุนนางและหญิงงามมากมาย แต่ว่านางนั้นไม่ใช่หญิงสาวที่งดงามและฉลาดทั่วๆ ไป”

“เช่นนั้น…ท่านผู้นั้นคือ?”

หญิงสาวชุดม่วงยิ้มจางๆ แล้วเอ่ยตอบ “นามของนางคือหว่านอวิ๋น เมื่อก่อนยังมีอีกนามคือ…กู้อวิ๋นเกอ”

มู่ชิงอีเงียบลง เนิ่นนานก่อนที่จะเงยหน้าขึ้น มองหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าแล้วเอ่ยขึ้นเสียงเบา “เถ้าแก่กับข้า…กับลูกพี่ลูกน้องหญิงของข้า สนิทกันเช่นนั้นหรือ”

[1]ผงชาด วัตถุสีแดงสดชนิดหนึ่งเป็นผงหรือก้อนใช้ทำยา โดนชาวจีนโบราณได้พัฒนาชาดแบบหนึ่งที่มีลักษณะเป็นผงอัดแข็งหรือครีม ทำขึ้นจากเม็ดสีของดอกคำฝอย มักใช้แต้มริมฝีปากและแก้ม เพื่อให้ดูอ่อนเยาว์และมีชีวิตชีวามากขึ้น

[2]จวิ้นจู่ ตำแหน่งองค์หญิงหรือท่านหญิง ขึ้นอยู่กับการสืบสายเลือดทางบิดากับจักรพรรดิองค์ปัจจุบัน เป็นตำแหน่งเชื้อพระวงศ์หญิงลำดับที่สาม ผู้ที่ได้รับตำแหน่งนี้ต้องเป็นพระธิดาในชินอ๋องกับพระชายาเอก

หวนคืนชะตาแค้น

หวนคืนชะตาแค้น

Status: Ongoing
ความงาม…ไหวพริบ… ล้วนเป็นหมากในเกมกระดานของนาง เพื่อช่วยเหลือพี่ชายและกอบกู้ตระกูล แม้หัวใจนางก็พร้อมยอมแลก!ในเมื่อสวรรค์ต้องการให้ข้ามีชีวิตอยู่…ความแค้นและความเกลียดชังเอย…แม้ตายเก้าครั้งก็ยากจะลืมเลือน…ความยุติธรรมหมดไป…เหตุใดแคว้นยังไม่สูญสิ้น? ตั้งแต่นี้ต่อไป ข้าคือมู่ชิงอีและคือกู้อวิ๋นเกอด้วยเช่นกันจากหญิงสาวผู้เพียบพร้อมด้วยรูปโฉมและยศฐากลับร่วงหล่นสู่โคลนตมเพราะแผนร้ายของคนใกล้ตัวบ้านแตกสาแหรกขาด เสียทั้งเพื่อนสนิทและคู่หมั้นไปในคราวเดียวในงานประมูลคืนแรกของตน หญิงสาวฝังคมมีดลงบนร่างศัตรูและเผาร่างในกองเพลิงเมื่อฟื้นตื่นมาอีกครั้งนางกลับกลายเป็น มู่ชิงอี ญาติผู้น้องผู้อ่อนแอไปเสียแล้วเมื่อได้มีชีวิตกลับมาอีกครั้งนางจะทวงทุกสิ่งที่เคยเป็นของตนคืนมาคืนความยุติธรรมให้ตระกูลกู้ด้วยสองมือของนางเอง!“ตั้งแต่นี้ต่อไป ข้าคือมู่ชิงอีและคือกู้อวิ๋นเกอด้วยเช่นกัน ความอยุติธรรมทั้งหลายข้าจะคืนมันกลับไปทั้งหมด!”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท