ตอนที่ 20 องค์ชายเก้าแห่งแคว้นเย่ว์
“หืม…เจ้ากำลังจะทำอะไร”
มู่ชิงอีเงยหน้าขึ้นพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “องค์ชายเก้าก็ทราบดีว่าชิงอีเป็นเพียงบุตรีของภรรยาหลวงที่ไม่เป็นที่โปรดปรานนัก หม่อมฉันจึงไม่มีโอกาสได้ซื้อข้าวของดีๆ เอาไว้ใช้ หากหม่อมฉันละเลยไป ขอองค์ชายเก้าโปรดประทานอภัยให้ด้วยเพคะ” แม้ว่าจะไม่เชี่ยวชาญในเรื่องการแพทย์ ทว่าเมื่อดูจากท่าทางของหรงจิ่นแล้วก็รู้ได้ทันทีว่าคงจะทนดมกลิ่นฉุนพวกนั้นไม่ไหวเป็นแน่ ประจวบกับยังมีพวกเครื่องเทศและสมุนไพรบางอย่างที่ไม่สามารถใช้ต่อได้อีกแต่นางยังไม่มีเวลาเอาไปทิ้ง จึงได้โอกาสเทของเหล่านั้นลงในกระถางธูป
หรงจิ่นจ้องมองมู่ชิงอีอยู่นานก่อนจะหัวเราะออกมา “คุณหนูสี่ช่างน่าสนใจจริงๆ ในเมื่อคุณหนูสี่ไม่ต้อนรับองค์ชายอย่างข้า ข้าก็คงต้องขอตัวลาก่อน”
“ไม่ส่งนะเพคะ” ดวงตาคู่งามมองหรงจิ่นเดินจากไป มู่ชิงอีไม่ได้กังวลว่าจะถูกใครมาเห็นเข้า เนื่องจากเขาเข้ามาในเรือนหลานจื่ออย่างเงียบๆ โดยไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น เขาก็คงออกไปได้อย่างเงียบๆ เช่นกัน…มองตามแผ่นหลังของหรงจิ่นหายออกไปด้านนอกประตูนั้น สีหน้าของมู่ชิงอีก็ค่อยๆ มืดมนลง
หรงจิ่นเป็นถึงองค์ชายแห่งแคว้นเย่ว์ แต่กลับตั้งใจมาที่เรือนของนางเพียงแค่ต้องการพักผ่อนหลับนอน นางเองพอจะคาดเดาได้ว่าต่อไปพวกเขาคงจะได้พบกันอีกแน่นอน ทว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับนางตอนนี้ก็คือการช่วยเหลือพี่ใหญ่ออกมาจากจวนหนิงอ๋อง เรื่องอื่นคงต้องปล่อยไปก่อน อารมณ์ของหรงจิ่นนั้นเป็นสิ่งที่คาดเดายาก นางไม่แน่ใจว่าการปรากฏตัวของเขาจะนำปัญหามาให้นางหรือไม่
อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
พูดตามตรงคือนางในตอนนี้อ่อนแอเกินไป บางที…ควรจะไปพบหน้าพี่ชายที่เป็นลูกพี่ลูกน้องดูสักครั้ง…เพียงแต่ ชีวิตของพี่ชายในตอนนี้สงบสุขดีอยู่แล้ว หากดึงเขาข้ามาเกี่ยวข้องในเรื่องพวกนี้ มันจะดีหรือ
“องค์ชาย!”
บริเวณเรือนที่อยู่ด้านหลังของหอเหลิ่งเซียง อวี้เหนียงหญิงสาวในอาภรณ์สีม่วงกำลังปรุงเครื่องหอมอยู่นั้น พลันเห็นเงาดำตะคุ่มเดินเข้ามาด้วยท่าทางโซซัดโซเซเกือบจะล้มลงไปกับพื้น เมื่อเห็นหน้าคนที่เพิ่งมาอย่างชัดเจน อวี้เหนียงก็ถึงกับผงะก่อนจะปรี่เข้าไปประคองผู้มาเยือนพลางถามขึ้น “องค์ชาย พระองค์ทรงเป็นอะไรไปเพคะ”
“ข้าไม่เป็นไร!” หรงจิ่นผลักอวี้เหนียงที่กำลังประคองตัวเขาออกไป คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันพลางโบกมือไปมา
อวี้เหนียงมองไปทางหรงจิ่นอย่างระมัดระวังก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “องค์ชายทรงประชวรแล้ว แต่เหมือนจะลืมเสวยโอสถนะเพคะ”
หรงจิ่นถอนหายใจออกมา ก่อนจะเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ด้านข้าง เอ่ยขึ้นด้วยท่าทีเรียบเฉย “ไม่เป็นไร พี่สี่เล่า พวกเขามาถึงหรือยัง” อวี้เหนียงพยักหน้าก่อนจะตอบว่า “องค์ชายสี่และองค์หญิงหก วันนี้เดินทางมาถึงเมืองหลวงแล้วเมื่อตอนเช้า หากองค์ชายยังไม่ออกไปพบ…เกรงว่าจะทำให้องค์ชายสี่สงสัยเอาได้เพคะ”
หรงจิ่นแค่นเสียงหัวเราะออกมาอย่างเหยียดหยาม “เขาจะสงสัยอะไรได้เล่า ให้คนนำจดหมายไปส่งให้เขา บอกว่าข้าไม่สบาย” เดิมทีพระโอรสและพระธิดาที่องค์ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ส่งมาร่วมงานฉลองนั้นควรจะมาถึงพร้อมกัน ทว่าทันทีที่พวกเขาออกจากแคว้นเย่ว์ไป ทั้งสองก็แยกทางกัน หรงเหยี่ยนนั้นมีแผนการของตัวเองที่ไม่อยากให้หรงจิ่นล่วงรู้ ส่วนทางด้านหรงจิ่นเองก็มีบางเรื่องที่ต้องไปทำเช่นกัน ทันทีที่พ้นจากสายตาของหรงเหยี่ยน หรงจิ่นก็รีบเร่งเดินทางไปยังเมืองหลวงแคว้นหวาทันที ซึ่งเขามาถึงก่อนหน้าหรงเหยี่ยนแล้วสองสามวัน
เมื่อเห็นหรงจิ่นตัดสินใจแน่วแน่เด็ดขาดเช่นนี้ อวี้เหนียงจึงทำได้เพียงรับคำสั่งเท่านั้น
หรงจิ่นนั่งอยู่บนเก้าอี้ ยกมือเรียวขึ้นก่ายหน้าผากอย่างกำลังใช้ความคิด เขานิ่งเงียบไม่ได้พูดอะไรออกมา ทำให้อวี้เหนียงไม่กล้าที่จะขยับตัวไปไหน เพียงแต่ยืนรอนิ่งๆ อยู่ด้านข้าง ล่วงเลยมาเป็นเวลานานก็เห็นหรงจิ่นเงยหน้าขึ้นพลางเอ่ยถามว่า “เท่าที่เจ้ารู้ มู่ชิงอีเป็นคนเช่นไรหรือ”
อวี้เหนียงอดไม่ได้ที่จะตกใจ เงยหน้าขึ้นมองไปทางหรงจิ่นแวบหนึ่ง เมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้มองมาทางตัวเองเลยจึงลอบถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ก่อนจะเอ่ยเสียงเบา “เหตุใดองค์ชายถึงสนใจคุณหนูสี่ตระกูลมู่เพคะ เรื่องของคุณหนูสี่ในเมืองหลวงนี้ผู้นี้มีไม่มากเท่าไร นางดูเหมือนจะอ่อนแอและฉลาดปราดเปรื่องน้อยกว่าคุณหนูตระกูลกู้ที่เป็นญาติฝ่ายมารดา ทว่า…เรื่องราวที่ร้านเหลิ่งเซียงเมื่อสองวันก่อน อาจจะเป็นข่าวลือที่มีการเข้าใจผิดกันก็ได้เพคะ”
ร้านเหลิ่งเซียงเพิ่งตั้งขึ้นในเมืองหลวงได้เพียงสามสี่ปีเท่านั้น และมู่ชิงอีเองก็แทบจะไม่เคยออกไปข้างนอกที่ไหนเลยตลอดสามปี เป็นไปไม่ได้ที่จะมีข่าวลือที่ผิดพลาดออกมาเช่นนี้
“ส่งคนไปตรวจสอบมู่ชิงอีอย่างละเอียด ระวังอย่าให้นางจับได้” หรงจิ่นเหยียดยิ้มขึ้นพลางครุ่นคิด
หญิงสาวผู้นั้น…แม้ตนจะเพิ่งเคยพบเพียงครั้งเดียว แต่ก็รู้สึกได้ถึงความเยือกเย็นที่ซ่อนอยู่ภายใต้รูปโฉมที่งดงามนั้นอย่างชัดเจน มู่ชิงอีไม่ได้ไร้พิษสงอย่างที่คนภายนอกคิดกันอย่างแน่นอน เป็นเพราะนางมีความแค้นอยู่ภายในใจ ความคับแค้นเช่นนี้คนอื่นอาจจะไม่เคยได้สัมผัส ทว่านางไม่อาจซ่อนเร้นให้พ้นจากสายตาของเขาได้ เพราะว่า…เขาเองก็มีเช่นกัน…
อวี้เหนียงขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วเอ่ยเสียงเบา “องค์ชาย ส่งคนไปตรวจสอบคุณหนูสี่ตระกูลมู่เป็นพิเศษเช่นนี้ มันจะดู…ราวกับทำเรื่องเล็กให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ไปสักหน่อยหรือไม่เพคะ” พวกเขาไม่ได้มีอำนาจมากมายในแคว้นหวานี้ ไม่เพียงแต่ต้องระวังชาวแคว้นหวาแต่ยังต้องระวังจะถูกคนของสำนักราชวังจากแคว้นเย่ว์พบเข้าอีกด้วย
สายตาคมของหรงจิ่นหรี่ลง “ทำตามที่ข้าบอก อย่าประมาท เจ้าคิดว่ามู่ชิงอีนั้นดูง่ายเช่นเดียวกับคุณหนูจวนโหวคนอื่นอย่างนั้นหรือ อย่าลืมว่า…ผิงอ๋องและกู้ซิ่วถิงล้วนยังมีชีวิตอยู่ ใครจะรับรองได้บ้างล่ะว่า วันใดวันหนึ่งพวกเขาจะไม่ลุกขึ้นมาสู้อีก” ฐานะของกู้ซิ่วถิงในภายภาคหน้า และผิงอ๋องมู่หรงซี…อดีตองค์รัชทายาทแห่งแคว้นหวา มารดาผู้ให้กำเนิดที่สิ้นพระชนม์ไปตั้งแต่ยังเยาว์วัยนั้นก็เป็นถึงบุตรีตระกูลกู้
เมื่อเหลือบไปเห็นสายตาของหรงจิ่น ภายในใจของอวี้เหนียงก็พลันไหววูบ รีบเอ่ยขึ้นมาอย่างร้อนรน “อวี้เหนียงเข้าใจแล้วเพคะ อวี้เหนียงจะรีบส่งคนไปตรวจสอบเดี๋ยวนี้เพคะ”
เมื่อเห็นอวี้เหนียงออกไปแล้ว หรงจิ่นก็ขมวดคิ้วเข้าหากันพลางเอนหลังพิงเก้าอี้อย่างเหนื่อยล้า อาการไอที่พยามข่มเอาไว้ก่อนหน้านี้ก็สำแดงออกมาอย่างหนักหน่วง เสียงไอดังออกมาจากภายในเรือน หลังจากไอขึ้นมาอย่างหนักหรงจิ่นก็ยกมือขึ้นกดแผ่นอกทันที เพราะว่าไอออกมาอย่างหนักจึงทำให้เจ็บบริเวณแผ่นอก ดวงตาฉายแววความโกรธเคืองออกมา ไม่ว่าจะทำสิ่งใด การที่ร่างกายอ่อนแอนั้นเป็นอุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดของเขา
“แค่กแค่ก…แม้จะไม่เท่ากู้ซิ่วถิงและมู่หรงซี แต่ข้าก็รู้สึกว่ามู่ชิงอีนั้นไม่ธรรมดาเลย…” น้ำเสียงของหรงจิ่นดังขึ้นอย่างแผ่วเบาภายในห้องที่เงียบงัน
ชั่วพริบตาเดียว ก็ถึงวันที่พระชายากงจัดงานเลี้ยงขึ้นแล้ว แม้ว่าจะมีเวลาอีกหนึ่งเดือน กว่าจะถึงวันคล้ายวันพระราชสมภพของฮ่องเต้ ทว่าพิธีฉลองขององค์ฮ่องเต้แคว้นหวาในช่วงกลางเดือนห้าของทุกปีนั้นก็เริ่มถูกกล่าวขานไปทั่วทุกแคว้น ในปัจจุบันนั้นแม่น้ำเจียงของแคว้นหวาเป็นแม่น้ำที่ใหญ่ที่สุดนับจากทุกแคว้น ปริมาณน้ำฝนที่เพียงพอและป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์ ยิ่งทำให้การนับถือโอรสมังกรของคนแคว้นหวานั้นท่วมท้นจนแคว้นใดก็ไม่อาจเทียบได้ พิธีเฉลิมฉลองของโอรสมังกรในทุกๆ ปีนั้นถือเป็นพิธีเฉลิมฉลองที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของแคว้นหวา ในครั้งนี้แต่ละแคว้นต่างก็มาร่วมพิธีวันคล้ายวันพระราชสมภพของฮ่องเต้กันถ้วนหน้า ทุกคนล้วนเดินทางมายังเมืองหลวงก่อนกำหนดตั้งนานแล้ว ดังนั้นนี่จึงเป็นเหตุผลที่พระชายากงจัดงานเลี้ยงขึ้นก่อนวันคล้ายวันพระราชสมภพของฮ่องเต้ถึงหนึ่งเดือน
เช้าตรู่ มู่ชิงอีก็ได้ถูกมู่ฮูหยินผู้เฒ่าส่งคนมาเตือนให้นางเริ่มเตรียมตัว เป็นเพราะมู่ชิงอีไม่ได้เข้าร่วมงานเลี้ยงอื่นใดมานานนับหลายปี มู่ฮูหยินผู้เฒ่าจึงกลัวว่านางจะทำอะไรที่ผิดพลาดขึ้นมาในงานเลี้ยงจนต้องอับอายขายขี้หน้าได้ อีกอย่างงานเลี้ยงในครั้งนี้เปรียบเสมือนงานเลี้ยงต้องรับผู้แทนจากแคว้นต่างๆ สะใภ้ซุนจึงไม่มีคุณสมบัติพอที่จะเข้าร่วม เช่นนั้นมู่ฮูหยินผู้เฒ่าจึงต้องพาบรรดาหลานสาวไปร่วมงานเลี้ยงด้วยตัวเอง
มู่ชิงอีเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ที่มู่ฮูหยินผู้เฒ่าเพิ่งให้คนส่งมาให้ ชุดสีม่วงอ่อนปักลายดอกกล้วยไม้สีชมพูอย่างประณีต หยกแกะสลักลายวิจิตรห้อยรั้งอยู่ใต้เข็มขัดสีม่วงที่พันอยู่รอบเอว รูปร่างของมู่ชิงอีนั้นงดงามยิ่งนัก ผมยาวถูกเกล้าขึ้นเป็นมวยเล็กอย่างเรียบง่าย ปิ่นหยกแกะสลักลายดอกกล้วยไม้ปักไว้ด้านบน ปิ่นพู่ที่ทำจากลูกปัดห้อยระโยงระยางถูกเสียบเข้าตรงกลางมวยผมนั้น ไข่มุกแวววาวกวัดแกว่งไปมาอย่างพลิ้วไหวข้างใบหน้า ช่างงดงามจนเกินพรรณนา