หวนคืนชะตาแค้น – ตอนที่ 29 เจรจาแลกเปลี่ยน

หวนคืนชะตาแค้น

ตอนที่ 29 เจรจาแลกเปลี่ยน

“แค่ก แค่ก…” ได้ฟังวาจาเสียดสีของมู่ชิงอีแล้ว มู่ฮูหยินผู้เฒ่าก็โกรธจนไอไม่หยุด

มู่อวิ๋นหรงที่อยู่ด้านข้างช่วยลูบหลังให้กับมู่ฮูหยินผู้เฒ่า กล่าวติเตียนด้วยความไม่พอใจ “น้องหญิงสี่ ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเจ้าก่อเรื่อง ท่านย่าจะลงโทษเจ้าทำไมกันเล่า”

มู่ชิงอีตอบกลับเคล้าเสียงหัวเราะเย็นชา “เรื่องที่ข้าทำผิดงั้นหรือ นั่นไม่ใช่เพราะว่าพี่หญิงสามพูดต่อหน้าผู้คน กล่าวหาว่าข้าพูดว่าฐานะของท่านไม่เหมาะสมกับหนิงอ๋อง เป็นนัยว่าข้ายังคงเจ้าคิดเจ้าแค้นเรื่องที่ถูกยกเลิกการหมั้นหมายกับหนิงอ๋องหรอกหรือ เพราะเช่นนั้นท่านย่าจึงต้องการลงไม้ลงมือสั่งสอนข้า”

“หรือว่าเจ้าไม่ได้พูดว่าข้าฐานะต่ำต้อย” มู่อวิ๋นหรงพูดด้วยความโกรธ หลายวันมานี้มู่ชิงอีได้แสดงออกไปทั่วทิศว่าตัวเองนั้นมีตำแหน่งเป็นถึงบุตรีของภรรยาเอก และประกาศว่านางนั้นเป็นบุตรีของอนุภรรยา หรือนางใส่ร้ายตัวเองกัน?

มู่ชิงอียิ้มอย่างเย็นชากล่าว “บางทีอาจจะต้องการให้ข้านำคำพูดในตอนนั้นมาบอกให้ท่านพ่อฟังอีกรอบใช่หรือไม่ เพื่อให้ท่านพ่อและท่านย่าเป็นผู้ตัดสินว่าสิ่งที่ข้ากล่าวไปนั้นแท้จริงแล้วถูกหรือผิดกันแน่”

มู่อวิ๋นหรงพลันสีหน้าซีดเซียว ความจริงแล้วนางเป็นคนยั่วโมโหมู่ชิงอีก่อน และมู่ชิงอีเอ่ยถึงแค่อนุซุนเท่านั้น ส่วนเรื่องอื่นๆ ไม่ได้เอ่ยถึง ที่จริงแล้วถ้ามู่อวิ๋นหรงต้องการประจันหน้ากับมู่ชิงอีจริงๆ เพียงใช้อารมณ์ของมู่ฮูหยินผู้เฒ่าในตอนนี้กับความลำเอียงของมู่ฉังหมิง ก็เพียงพอแล้วที่จะไม่ทำให้นางสั่นคลอน แต่การที่นางหยุดชะงักและหน้าเปลี่ยนสีเช่นนี้ กลับทำให้มู่ฮูหยินผู้เฒ่าและมู่ฉังหมิงรู้ได้ทันทีว่านางเป็นคนทำผิดแล้วจริงๆ

มู่ฉังหมิงไม่พอใจขึ้นมาทันที จ้องมองมู่อวิ๋นหรงแล้วกล่าวว่า “อวิ๋นหรง พ่อเคยบอกกับเจ้าแล้วว่าในช่วงเวลานี้ให้เจ้ารอแต่งเข้าจวนหนิงอ๋องอย่างสงบเสงี่ยม อย่าได้สร้างปัญหา เจ้าคิดว่ากงอ๋องพอใจในตัวเจ้ามากอย่างนั้นหรือ หากไม่ใช่ว่าพี่หญิงของเจ้าพูดเรื่องดีของเจ้าให้กงอ๋องฟังอยู่บ่อยๆ…”

มู่อวิ๋นหรงพึมพำออกมาด้วยเสียงเบาๆ อย่างไม่พอใจ “ข้าไม่ได้ต้องการแต่งกับกงอ๋องเสียหน่อย”

มู่ฉังหมิงพยายามระงับความโกรธ ยิ้มเย็นชา “ถ้าอย่างนั้นหนิงอ๋องปฎิบัติต่อเจ้าเช่นไรกันเล่า หนิงอ๋องไม่ได้สนใจไยดีเจ้าแม้แต่น้อย!” ทุกคนต่างก็รู้ว่าหนิงอ๋องนั้นเชื่อฟังและจงรักภักดีต่อกงอ๋องพี่ชายแท้ๆ อีกทั้งยังไม่ได้สนใจว่าจะแต่งใครเป็นพระชายา หากไม่ใช่เพราะว่ากงอ๋องอยากจะสร้างสัมพันธ์จากการแต่งงานกับจวนซู่เฉิงโหว และตระกูลมู่นั้นไม่มีหญิงสาวที่เพียบพร้อมที่จะออกเรือนได้คนอื่นแล้ว ตำแหน่งพระชายาหนิงจะตกมาถึงมู่อวิ๋นหรงได้อย่างไรกัน

มองดูมู่อวิ๋นหรงที่ยังไม่รู้ผิดตรงหน้า ในใจของมู่ฉังหมิงก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ หากมู่อวิ๋นหรงเฉลียวฉลาดได้สักครึ่งหนึ่งของมู่เฟยหลวนบุตรสาวคนโตแล้วล่ะก็ เขาคงไม่ต้องหนักใจเช่นนี้ เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ มู่ฉังหมิงก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงคำแนะนำของมู่เชินที่พูดเอาไว้หลายวันก่อนขึ้นมา บางทีพวกเขาอาจจะต้องพิจารณาสักหน่อย หากว่าอวิ๋นหรงไม่มีหนทางที่จะคว้าหัวใจของหนิงอ๋องจริงๆ…สายตาของมู่ฉังหมิงค่อยๆ มองไปยังมู่สุ่ยเหลียนกับมู่อวี่เฟย จนมาหยุดอยู่ที่มู่ชิงอี ก่อนจะส่ายหน้าไปมาอย่างหมดหนทาง

“อวิ๋นหรง เหตุใดถึงได้ต่อปากต่อคำกับท่านพ่อของเจ้าเช่นนี้” สะใภ้ซุนที่อยู่ด้านข้างมองมู่อวิ๋นหรงพลางส่ายหน้าและกล่าวออกมาอย่างไม่เห็นด้วย มู่อวิ๋นหรงก้มหน้าด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ พูดอย่างกัดฟันว่า “ท่านพ่อ ลูกผิดไปแล้วเจ้าค่ะ”

มู่ฉังหมิงโบกมือไปมาด้วยความหงุดหงิด “ช่างเถิด พวกเจ้ากลับไปก่อน ข้ามีเรื่องจะปรึกษาหารือกับท่านแม่”

สะใภ้ซุนพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง แล้วลากมู่อวิ๋นหรงที่เดินตามออกมาอย่างไม่เต็มใจนัก มู่สุ่ยเหลียนและมู่อวี่เฟยเองก็ไม่กล้าจะอยู่นาน จึงได้รีบกล่าวลาแล้วตามออกไป มู่ชิงอีกล่าวลาด้วยน้ำเสียงที่บางเบา มู่ฮูหยินผู้เฒ่ากวาดสายตามองที่นางแล้วเอ่ย “ในเมื่อข้าได้กล่าวกับกงอ๋องแล้วว่าจะให้เจ้าออกจากเมืองไปสงบจิตสงบใจ พรุ่งนี้เจ้าก็ออกจากเมืองเถิด รอให้ถึงวันเฉลิมพระชนมพรรษาของฝ่าบาทแล้วเจ้าค่อยกลับมา”

“ชิงอีรับคำสั่งเจ้าค่ะ” มู่ชิงอีโค้งคำนับจากลา แม้ว่าความผิดในวันนี้เป็นความผิดของมู่ฮูหยินผู้เฒ่า แต่มู่ฮูหยินผู้เฒ่าก็ยังคงเกลียดชังมู่ชิงอี มู่ชิงอีหลุบตาลงมุมปากเผยรอยยิ้ม ก็ดีเหมือนกัน…นางไม่อยากจะผูกมัดต่อไปเช่นนี้กับจวนซู่เฉิงโหวอีกแล้ว รอนางกลับมา…

เมื่อกลับมาถึงเรือนหลานจื่อ มู่ชิงอีปิดประตูห้องของตัวเองเบาๆ แบมือออกมา ในฝ่ามือมีหยกแขวนธรรมดาชิ้นหนึ่ง มู่ชิงอีมองดูหยกแขวนที่อยู่ใจกลางฝ่ามือพลางเม้มปาก

“องค์ชายเก้า ออกมาเถิดเพคะ” ยังไม่ทันเดินเข้าไปในห้องด้านใน มู่ชิงอีก็หยุดฝีเท้า ขมวดคิ้วเอ่ยเสียงเข้ม

ในห้องมีเสียงกระแอมไออย่างอู้อี้ดังขึ้นมาสองครั้ง เงาดำงดงามเคลื่อนออกมาจากด้านใน บนใบหน้ารูปงามของหรงจิ่นปรากฏความไม่พอใจและความสงสัย “ข้าจำได้…แม่นางมู่ไม่มีวิทยายุทธไม่ใช่หรือ”

ครั้งที่แล้วหรงจิ่นพลั้งไอขึ้นมานางถึงค้นพบเขา ครั้งนี้ยังไม่ได้เข้าประตูมานางก็รู้เสียแล้ว หรือว่าคุณหนูสี่ผู้นี้เป็นผู้มากฝีมือที่ปกปิดเอาไว้? แม้ว่าจะพูดเช่นนี้แต่บนใบหน้าของหรงจิ่นกลับมีความหยอกเย้ามู่ชิงอีอย่างชัดเจน

มู่ชิงอีขมวดคิ้วพลางถอยหลังไปหนึ่งก้าวอย่างไม่รู้สึกตัว ใบหน้าของหรงจิ่นสามารถพูดได้ว่าเป็นชายรูปงามอย่างยิ่ง ต่อให้เป็นช่วงวัยที่บานสะพรั่งของกู้ซิ่วถิงก็ไม่อาจเทียบกับเขาได้อย่างแน่นอน เพียงแต่ความงดงามเช่นนี้กลับไม่สามารถทำให้นางอยากจะเข้าไปชื่นชมอย่างชิดใกล้ ก้นบึ้งหัวใจของมู่ชิงอีรู้สึกถึงภัยอันตราย

หากกล่าวว่ามู่หรงอวี้เป็นคนหน้าซื่อใจคด เกอซูฮั่นเป็นสิงโตดุร้าย หรงจิ่นผู้นี้ก็ราวกับดอกไม้ที่มีพิษ มองดูภายนอกราวกับไม่มีพิษสงใดๆ ทำให้คนอัศจรรย์ใจในความงดงาม แต่ภายในกลับแฝงไปด้วยพิษร้ายที่เป็นภัยถึงชีวิต

“องค์ชายเก้ามาถึงที่นี่ มีเรื่องอันใดหรือเพคะ” มู่ชิงอีถามขึ้นเบาๆ ด้วยสีหน้าเมินเฉย

ริมฝีปากของหรงจิ่นเผยรอยยิ้มบางๆ ที่เต็มไปด้วยความน่าหลงใหล “ข้าพบว่า…สามารถทำการแลกเปลี่ยนที่ไม่เลวกับคุณหนูสี่ได้”

ชิงอีนิ่งงันก่อนที่จะกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “หม่อมฉันไม่ทราบว่าจะมีของมีค่าอันใดที่สามารถแลกเปลี่ยนกับองค์ชายเก้าได้ หากองค์ชายเก้ามีธุระอะไร ก็ไม่สู้ไปปรึกษาหารือกับท่านพ่อของหม่อมฉันที่โถงด้านหน้ากระมัง”

“ท่านพ่อของเจ้างั้นหรือ” หรงจิ่นมองมู่ชิงอีอย่างเกียจคร้าน เผยรอยยิ้มลึกซึ้งตราตรึง “คุณหนูสี่ถือว่ามู่ฉังหมิงเป็นบิดาแท้ๆ ของเจ้าแล้วใช่หรือไม่ ทำไมข้าถึงรู้สึก…เทียบตระกูลมู่แล้ว เหตุใดคุณหนูสี่ถึงได้ให้ความสำคัญกับตระกูลกู้ที่ถูกทำลายไปแล้วมากกว่าผู้อื่นกันเล่า อีกทั้งพอเห็นกับตาว่าคุณชายใหญ่ของตระกูลกู้ถูกขังไว้ที่จวนหนิงอ๋อง ก็รีบร้อนไปขอเข้าพบผิงอ๋อง คุณหนูสี่ต้องการที่จะ…” เมื่อสังเกตเห็นถึงความมืดครื้มปรากฏขึ้นในดวงตาของหญิงสาวตรงหน้าในตอนที่เอ่ยถึงคุณชายใหญ่ตระกูลกู้ หรงจิ่นก็ยกยิ้มอย่างพึงพอใจ

มู่ชิงอีจ้องมองชายหนุ่มอันตรายที่กำลังยิ้มอยู่ตรงหน้านาง ภายในใจรู้สึกตื่นตระหนก หลายวันมานี้นางไม่ได้ขยับไม้ขยับมือมากนัก เพราะกลัวจะถูกคนพบร่องรอย นางไม่ได้กลัวที่ตัวตนของตัวเองจะถูกเปิดเผย เรื่องกลยุทธ์ยืมซากคืนชีพนี้ แม้ว่าจะมีบันทึกเอาไว้ในบันทึกประวัติศาสตร์ แต่คนทั่วไปนั้นไม่เชื่อ แม้แต่มู่ฉังหมิงก็ยังคิดว่านางแค่อุปนิสัยเปลี่ยนหลังจากประสบกับเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ก็เท่านั้น แต่หากถูกใครมองออกถึงแผนของนางเข้า ผลลัพธ์ก็คงไม่ต่างกับถูกผู้คนรู้เข้าถึงตัวตนที่แท้จริงของนาง หากเป็นเช่นนั้นมู่ฉังหมิงและมู่หรงอวี้จะต้องลงมือก่อนเป็นแน่!

แต่ถึงอย่างไรก็ตาม นางก็เชื่อมั่นในการแสดงของตัวเอง แม้ว่าจะไม่ราบรื่นนักแต่มันก็คงไม่ง่ายขนาดที่องค์ชายจากแคว้นเย่ว์ที่เพิ่งเดินทางมาถึงแคว้นหวาได้เพียงไม่นานนักจะมองเห็นถึงข้อบกพร่องของนางกระมัง

ราวกับเข้าใจความคิดของมู่ชิงอี หรงจิ่นวางมือบนที่นั่งอ่อนนุ่มอย่างเกียจคร้าน กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ชิงชิงไม่ต้องเป็นกังวล ข้าไม่มีหลักฐานอะไร ข้าเพียงมองออกว่าข้างในนี้…มีความเกลียดชังต่อมู่ฉังหมิงและจวนซู่เฉิงโหว” หรงจิ่นยกนิ้วขึ้นชี้ไปยังดวงตาทั้งสองข้างของนางอย่างยิ้มแย้ม

หวนคืนชะตาแค้น

หวนคืนชะตาแค้น

Status: Ongoing
ความงาม…ไหวพริบ… ล้วนเป็นหมากในเกมกระดานของนาง เพื่อช่วยเหลือพี่ชายและกอบกู้ตระกูล แม้หัวใจนางก็พร้อมยอมแลก!ในเมื่อสวรรค์ต้องการให้ข้ามีชีวิตอยู่…ความแค้นและความเกลียดชังเอย…แม้ตายเก้าครั้งก็ยากจะลืมเลือน…ความยุติธรรมหมดไป…เหตุใดแคว้นยังไม่สูญสิ้น? ตั้งแต่นี้ต่อไป ข้าคือมู่ชิงอีและคือกู้อวิ๋นเกอด้วยเช่นกันจากหญิงสาวผู้เพียบพร้อมด้วยรูปโฉมและยศฐากลับร่วงหล่นสู่โคลนตมเพราะแผนร้ายของคนใกล้ตัวบ้านแตกสาแหรกขาด เสียทั้งเพื่อนสนิทและคู่หมั้นไปในคราวเดียวในงานประมูลคืนแรกของตน หญิงสาวฝังคมมีดลงบนร่างศัตรูและเผาร่างในกองเพลิงเมื่อฟื้นตื่นมาอีกครั้งนางกลับกลายเป็น มู่ชิงอี ญาติผู้น้องผู้อ่อนแอไปเสียแล้วเมื่อได้มีชีวิตกลับมาอีกครั้งนางจะทวงทุกสิ่งที่เคยเป็นของตนคืนมาคืนความยุติธรรมให้ตระกูลกู้ด้วยสองมือของนางเอง!“ตั้งแต่นี้ต่อไป ข้าคือมู่ชิงอีและคือกู้อวิ๋นเกอด้วยเช่นกัน ความอยุติธรรมทั้งหลายข้าจะคืนมันกลับไปทั้งหมด!”

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท