ตอนที่ 32 พบหรงจิ่นอีกครั้ง
เมื่อพูดถึงคำว่าเสด็จพ่อสองคำนี้ การแสดงออกที่ราวกับอ่อนแอก่อนหน้านี้ขององค์หญิงไหวหยางก็จางหายไป นางมองไปที่หรงจิ่นด้วยความขุ่นเคืองเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “เสด็จพ่อทรงโปรดปรานพี่เก้า หากพี่เก้าปรารถนาจะทำสิ่งใด น้องหญิงหกและพี่สี่ก็คงไม่สามารถควบคุมได้หรอกเพคะ”
คำกล่าวขององค์หญิงไหวหยางยังไม่ทันจบ ไอสังหารก็วาบผ่านดวงตาเย็นชาของหรงจิ่น กวาดตามองหรงเหยี่ยนและองค์หญิงไหวหยางอย่างเย้ยหยันพร้อมกับเดินออกไปข้างนอก
“พี่เก้า! พี่สี่ท่านดูเขาสิ…” ท่าทางของหรงจิ่นนั้นท้าทายอย่างมากจนองค์หญิงไหวหยางเกรี้ยวโกรธ อดไม่ได้ที่จะกระทืบเท้าของนาง มองไปยังหรงเหยี่ยนที่อยู่ข้างๆ แต่หรงเหยี่ยนกลับพูดอย่างเฉยเมยว่า “สุขภาพของน้องเก้าไม่ค่อยดี เจ้าจะไปสนใจเขาเพื่อสิ่งใด อย่าได้โมโหไปเลย…” เมื่อได้ยินเช่นนี้ แม้ว่าองค์หญิงไหวหยางจะไม่พอใจแต่นางก็ต้องกัดฟันและอดทนต่อไป ในบรรดาองค์ชายและองค์หญิง คนที่เสด็จพ่อโปรดปรานที่สุดคือหรงจิ่น ปีก่อน น้องหญิงแปดต่อว่าหรงจิ่นอย่างเดือดดาลแค่เพียงสองสามคำแต่กลับทำให้หรงจิ่นล้มป่วย เสด็จพ่อไม่เพียงแต่โมโหเท่านั้น ยังมอบน้องหญิงแปดที่อายุเพียงสิบสี่ปีให้กับนายพลเซวียนอู่ที่โหดเหี้ยมและหยาบกระด้างพร้อมกับสั่งให้อภิเษกสมรสภายในเวลาไม่ถึงครึ่งเดือน
“เขามีมารดาเป็นจิ้งจอกใช่หรือไม่…” องค์หญิงไหวหยางกระซิบ
“พอแล้ว” หรงเหยี่ยนเอ่ยขึ้นอย่างเคร่งขรึมว่า “พูดข้างนอกก็ได้อยู่ แต่หากเจ้ากลับไปที่แคว้นเย่ว์และกล่าวเรื่องไร้สาระเช่นนี้ คงไม่มีผู้ใดสามารถช่วยเจ้าได้”
องค์หญิงไหวหยางทราบดีว่านางหุนหันพลันแล่นไปหน่อย จึงกัดฟันก้มหน้าลงแล้วไม่ปริปากพูดอะไรอีก
“แค่กๆ…แค่ก…” ภายในรถม้า เสียงไอที่ดังขึ้นอย่างน่าตกใจ ราวกับว่าจะมีหัวใจและปอดเล็ดลอดออกมา สาวน้อยอาภรณ์สีฟ้าครามที่นั่งถัดจากหรงจิ่นมองไปที่เขาอย่างกังกล แต่นางก็ไม่กล้าที่จะเอื้อมมือไปสัมผัสตัวเขา ทำได้เพียงกล่าวด้วยความวิตกกังวลว่า “องค์ชาย กลับกันก่อนเถิดเพคะ หม่อมฉันจะไปหาหมอมาตรวจ…”
หรงจิ่นยกมือขึ้นเพื่อหยุดนางไว้ กดอาการไออันเจ็บปวดที่หน้าอกของเขาแล้วกล่าวว่า “ไม่ต้อง ไปที่วัดเป้ากั๋ว หมอนั้นจะมีประโยชน์อันใด”
สาวน้อยชุดฟ้าครามนั้นอยู่กับหรงจิ่นมาเป็นเวลานานแล้ว เหตุใดนางจะไม่รู้ว่าหมอนั้นไม่มีประโยชน์ แต่เมื่อดูจากสีหน้าแน่วแน่ของเขาแล้ว ก็รู้สึกราวกับไร้หนทาง “แต่…แต่องค์ชายจะทนไม่ไหวแล้วนะเพคะ เหตุใดจึงไม่รีบกลับก่อน รอให้องค์ชายอาการดีขึ้นแล้วค่อยออกนอกเมือง”
“ไปที่วัดเป้ากั๋ว! แค่กแค่ก…” หรงจิ่นหรี่ตาลง ไอขึ้นอย่างรุนแรงอีกครั้ง กลิ่นคาวเลือดลอยเข้ามาในจมูก มือที่ยกขึ้นปิดริมฝีปากมีหยาดโลหิตไหลออกมาตามร่องนิ้ว
“องค์ชาย!” สาวน้อยชุดฟ้าครามรีบเข้ามาพร้อมกับน้ำตาที่รินไหล กระวนกระวายไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร นางยื่นมือออกไปเพียงต้องการเช็ดคราบโลหิตให้เขา แต่หรงจิ่นกลับโบกมือไล่ “ออกไป!”
“องค์ชาย…” สาวน้อยจ้องมองอย่างหม่นหมอง เอ่ยเรียกเสียงเบาราวกับกระซิบ
การแสดงออกของหรงจิ่นเปลี่ยนไป จ้องมองไปที่นางอย่างเย็นชา “ถ้ายังมีครั้งต่อไป ก็กลับไปซะ!”
“หม่อมฉัน…เข้าใจแล้วเพคะ” สาวน้อยชุดฟ้าครามกล่าวทั้งน้ำตา นางคอยอยู่เคียงข้างองค์ชายมานานกว่าสองปี ย่อมเข้าใจกฎเกณฑ์มากมายของเขาอย่างเป็นอย่างดี ข้อห้ามที่สำคัญที่สุดขององค์ชายคือห้ามแตะเนื้อต้องตัวเขา ผู้ที่รับใช้เขาโดยทั่วไปจึงไม่สามารถเข้าใกล้ตัวเขาได้มากนัก เว้นแต่มีเรื่องที่จำเป็นจริงๆ แม้กระทั่งอาบน้ำและผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าก็จะทำเพียงลำพังคนเดียวไม่ปล่อยให้ผู้ใดคอยดูแล แม้แต่ยามที่เขาป่วยหนัก หากมีคนอื่นมาสัมผัสตัวก็จะโกรธเกรี้ยวเป็นอย่างมาก
“แค่กๆ…” ในรถม้านั้นกว้างขวาง ผ้าห่มเนื้อนุ่มถูกปูอยู่รอบๆ ที่นั่งจึงไม่ทำให้คนรู้สึกกระเทือนในขณะที่รถม้ากำลังเคลื่อนที่ แต่หรงจิ่นซึ่งนอนตะแคงอยู่บนตั่งนุ่มฟูสีหน้ากลับดูไม่ดีเอาเสียเลย โลหิตที่อาเจียนออกมาทำให้ใบหน้าของเขาที่ซีดเซียวอยู่แล้วยิ่งซีดขึ้นไปอีก หากมองสังเกตดีๆ ก็จะพบว่าตัวเขากำลังสั่นราวกับถูกแช่อยู่ในน้ำแข็ง มือที่ซ่อนอยู่ใต้แขนเสื้อกำลังกำผ้าห่มใต้เบาะนั่งเอาไว้แน่น เห็นได้ชัดว่ามีอาการเจ็บปวดอย่างรุนแรง
“แค่ก…” เลือดแดงสดได้รินไหลออกมาจากริมฝีปากของเขาอีกครั้ง แต่คราวนี้เขาไม่มีแม้แต่แรงที่จะเช็ดมันออก ได้แต่ปล่อยให้เลือดไหลลงบนผ้าห่มจนเปียกชุ่มไปหมด ใบหน้าหล่อเหลาซบลงบนผ้าห่ม สีหน้าซีดเซียวและดูอ่อนแรง ขนตายาวสั่นไหวเล็กน้อย ความเกลียดชังซ่อนลึกอยู่ภายใต้ดวงตาที่ปิดสนิท มือขาวกำแน่น…
ข้าตายไม่ได้…ตายไม่ได้!
สาวน้อยชุดฟ้าครามนั่งอยู่ที่มุมหนึ่งของรถม้า ทำได้เพียงมองไปยังชายหนุ่มที่กำลังมีท่าทีเจ็บปวดตรงด้านหน้าของนาง ไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัว นางทราบดีว่าองค์ชายทำตัวราวกับขุนเขามาโดยตลอด ถ้าหากนางฝ่าฝืนคำสั่งของเขาอีกครั้ง คงถูกไล่กลับไปอย่างแน่นอน แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม เมื่อเห็นองค์ชายเจ็บปวดมากถึงเพียงนี้ นางก็รู้สึกทุกข์ทรมาน สาวน้อยในชุดฟ้าครามอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเกลียดชังคนที่อยู่ในวัดเป้ากั๋ว
ไม่ว่าจะเป็นผู้ใด…ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นแก่คนผู้นั้นแล้ว เหตุใดองค์ชายถึงไม่ยอมกลับจวนไปพักผ่อนทั้งที่สุขภาพไม่ดีเช่นนี้ จะไปสถานที่ห่างไกลนอกเมืองเพื่อการใด
“ทูลองค์ชาย ถึงวัดเป้ากั๋วแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ในที่สุดรถม้าที่กำลังเคลื่อนที่ก็ค่อยๆ ชะลอความเร็วลง พร้อมกับเสียงกระซิบรายงานจากข้างนอก
ชายหนุ่มที่หลับตาอยู่ค่อยๆ ลืมตาขึ้นช้าๆ แม้ว่าเขาต้องทนจากความทุกข์ทรมานที่เกินกว่ามนุษย์จะทนไหว กระนั้นดวงตาของเขาก็ยังสดใส มีเพียงร่อยรอยของความเหนื่อยล้า
“แอบลอบเข้าไป ร้องขอให้นางออกมา” นี่เป็นเพียงทางเข้าของวัดเป้ากั๋ว ร่างกายของหรงจิ่นในตอนนี้ไม่สามารถที่จะเดินเข้าไปในวัดได้ด้วยตัวเอง เขาไม่ได้มีความเชื่อและศรัทธาใดๆ ในพระพุทธศาสนาหรือสิ่งอื่นใดก็ตาม จึงไม่แยแสว่าจะทำผิดบาป
“พ่ะย่ะค่ะ” ผู้รายงานด้านนอกตอบรับพร้อมกับเคลื่อนตัวจากไปอย่างรวดเร็ว
วัดเป้ากั๋วนั้นเป็นวัดขนาดใหญ่ที่อยู่ใกล้กับเมืองหลวงนอกเหนือจากวัดหลวง อีกทั้งยังเป็นสถานที่ที่โปรดปรานสำหรับผู้สูงศักดิ์หลายคนในการอธิษฐานขอพรต่อสิ่งศักดิ์สิทธ์ เป็นเพราะที่แห่งนี้มีเรือนส่วนตัวอันกว้างขวางและเงียบสงบหลายแห่งตั้งอยู่บนเนินเขาด้านหลังวัดเป้ากั๋ว ใช้เป็นที่พักสำหรับผู้ที่มาฝึกปฏิบัติตนหรือมาขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และเพื่อความสะดวกในการขนส่ง ยังสามารถขับรถม้าไปยังเรือนที่พักบนเขาด้านหลังได้โดยตรง
สาวน้อยชุดฟ้าครามมองไปยังเจ้านายของตัวเองที่หลับตาลงอีกครั้งอย่างสงสัยใคร่รู้ว่า ‘นาง’ ที่เขาพูดถึงนั้นคือใครกัน ตนเป็นหญิงที่อยู่ใกล้กับหรงจิ่นที่สุด แต่โดยปกติแล้วเขามักจะออกไปทำธุระโดยไม่มีสาวรับใช้ติดสอยห้อยตามไปด้วย ดังนั้นตนจึงไม่ทราบว่าเขาต้องการพบคนสำคัญคนใด รู้สึกใคร่รู้จนรอแทบไม่ไหว
“องค์ชาย…”
หรงจิ่นเปิดตาของเขาแล้วเหลือบมองไปที่นาง เมื่อได้รับคำเตือนทางสายตา สาวน้อยชุดฟ้าครามก็ปิดปากของนางลงทันทีและไม่กล้าเอ่ยถามอีก หรงจิ่นหลับตาลงอีกครั้งแต่รอยยิ้มจางๆ กลับปรากฏขึ้นบนใบหน้าหล่อเหลาที่ซีดเซียวของเขาด้วยเหตุผลบางอย่าง
มู่ชิงอีกำลังนั่งอยู่ในห้องเพื่อปรุงเครื่องหอม เครื่องหอมมากมายหลากหลายชนิดที่มีกลิ่นหอมจางๆ ถูกวางลงบนโต๊ะตัวเตี้ยตรงหน้า มู่ชิงอีจ้องมองดูเครื่องหอมเหล่านี้ด้วยดวงตาที่อ่อนโยนกว่าปกติ จูเอ๋อร์คุกเข่านั่งลงที่ด้านข้างของนาง มองดูมู่ชิงอีที่กำลังหยิบจับเครื่องหอมเหล่านั้นอย่างอยากรู้อยากเห็น
“คุณหนู นี่คือสิ่งใดหรือเจ้าคะ” จูเอ๋อร์เอ่ยถามด้วยความสงสัย
มู่ชิงอีเหลือบมองสิ่งที่อยู่ข้างหน้าของจูเอ๋อร์ กล่าวด้วยรอยยิ้มแผ่วเบา “นี่คือรากของต้นเหมย”
“กลิ่นจากดอกของต้นเหมยนั้นจูเอ๋อร์ทราบดีเจ้าค่ะ แต่บ่าวไม่เคยได้ยินว่ารากเหมยก็มีกลิ่นหอมด้วย” นางพูดอย่างงุนงง
หากคุณหนูอยากทำเครื่องหอม ไม่ควรจะเลือกใช้ดอกเหมยหรอกหรือ จำเป็นต้องใช้รากต้นเหมยด้วยหรืออย่างไร
มู่ชิงอีกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “กลิ่นหอมเย็นของดอกเหมย…แต่เจ้ารู้ได้อย่างไรเล่าว่ารากของต้นเหมยนั้นไร้กลิ่น”
เป็นความจริงที่ว่า ไม่มีใครจงใจขุดรากของต้นเหมยมาเพื่อดมกลิ่น นางเงียบแล้วครุ่นคิด เหตุใดรากถึงมีกลิ่นหอมไม่ได้เล่า เมื่อเห็นว่าสาวใช้ของตัวเองดูสับสน มู่ชิงอีก็บอกอย่างเอ็นดูว่า “มีบางอย่างที่ดมไม่ได้แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันไม่มีรสไม่มีกลิ่นจริงๆ เสียหน่อย แม้ว่ากลิ่นหอมของดอกเหมยจะหอมหวนแต่หากนำมาผสมกับส่วนผสมอื่นๆ ก็จะกลบกลิ่นของสิ่งอื่นไป รากของต้นเหมยนี้จึงเป็นวัตถุดิบในการเชื่อมส่วนผสมอื่นๆ ที่ดีที่สุด”