ตอนที่ 33 การคำนวณของอนุซุน
จูเอ๋อร์เอียงศีษระยิ้มแล้วกล่าวว่า “ถึงอย่างไรบ่าวก็ไม่เข้าใจอยู่ดีเจ้าค่ะ คุณหนูช่างน่าทึ่งเสียจริง จูเอ๋อร์ไม่เคยรู้เลยว่าคุณหนูนั้นปรุงเครื่องหอมได้ด้วย” เครื่องหอมที่พวกนางใช้ตอนนี้ถูกปรุงขึ้นโดยคุณหนูทั้งหมด ซึ่งมีมากกว่าทุกเดือนที่ในจวนส่งมาให้ไม่รู้ตั้งกี่รอบแล้ว
เวลาผ่านไปสักพักจนถึงช่วงทานข้าว มู่ชิงอีก็เอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้มว่า “นี่เป็น…สิ่งที่ผู้อื่นสอนข้ามา”
จูเอ๋อร์ขมวดคิ้วงุนงนเล็กน้อย แต่เมื่อเห็นคุณหนูเหม่อลอย ก็พลันนึกถึงเรื่องของท่านพี่หญิงของคุณหนูอีกครั้ง ถึงคิดขึ้นได้ว่า ตนไม่ควรถามมากไป!
“คุณหนูสี่ตระกูลมู่อยู่ที่นี่หรือไม่ขอรับ” เสียงเอ่ยถามอย่างสุภาพดังขึ้นจากนอกประตู
มู่ชิงอีขมวดคิ้ว ไม่ควรมีคนที่วัดเป้ากั๋วรู้จักนางมากมายนัก แต่ในเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วยามกลับมีคนมาถามหานางถึงหน้าประตูแล้ว จูเอ๋อร์ลุกขึ้นเดินไปที่ประตูแล้วจ้องไปยังชายหนุ่มท่าทางเงียบขรึมที่สวมใส่อาภรณ์สีฟ้าครามกำลังยืนรออยู่หน้าประตู “ท่านเป็นใคร มาพบคุณหนูของข้าเพื่อการใด”
ชายหนุ่มผู้นั้นเหลือบมองไปที่จูเอ๋อร์ เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นว่า “ข้ามาเพื่อเชิญคุณหนูสี่ไปพบคนผู้หนึ่งที่ลานนอกเรือน”
จูเอ๋อร์ขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ ยกมือขึ้นท้าวเอวแล้วจ้องไปยังชายหนุ่ม “เจ้านี่ช่างอวดดีเสียจริง! สั่งให้คุณหนูของข้าออกไปพบแต่กลับไม่เอ่ยนามคนขอพบ…”
“จูเอ๋อร์” มู่ชิงอีเดินออกมาจากห้อง มองไปที่ชายหนุ่มชุดฟ้าครามแล้วเอ่ยถาม “คนของแคว้นเย่ว์?”
ชายหนุ่มชุดฟ้าครามตกตะลึง ดวงตาพลันปรากฏร่องรอยของความประหลาดใจ จากนั้นก็ประสานมือคำนับคนตรงหน้าแล้วกล่าวว่า “ถูกต้องขอรับ บ่าวมาพบคุณหนูสี่”
“ด้านนอกคงจะเป็นองค์ชายเก้าสินะ แต่คาดไม่ถึงว่าองค์ชายเก้าจะสุภาพเช่นนี้” มู่ชิงอีเอ่ยอย่างแผ่วเบา หรงจิ่นผู้ที่มักจะบุกรุกห้องของหญิงสาวโดยไม่สนสิ่งใด แต่จู่ๆ กลับทำตามกฏเกณฑ์เช่นนี้ จึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสงสัยเล็กน้อย
ชายหนุ่มชุดฟ้าครามสีหน้าเคร่งขรึม กระซิบบอก “ถูกต้องขอรับ เชิญแม่นางขอรับ”
มู่ชิงอีพยักหน้าแล้วก้าวออกจากประตูห้อง จูเอ๋อร์อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเป็นกังวล นางรีบไปคว้ามือคุณหนูของตัวเองไว้แล้วบอก “คุณหนู! ถ้าเป็นพวกคนเลวจะทำเช่นไรเจ้าคะ อย่างไรก็ควรระวังตัวด้วย…” ชิงอียกมือขึ้นดีดหน้าผากของจูเอ๋อร์แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ที่นี่คือวัดเป้ากั๋ว จะเป็นคนเลวไปได้อย่างไร ไม่ต้องกังวล ผู้ที่มาเป็นคนที่ข้ารู้จัก”
“จูเอ๋อร์จะไปพร้อมกับคุณหนูเจ้าค่ะ” จูเอ๋อร์ยังคงกังวล สาวเท้าเดินตามมู่ชิงอีที่ยกยิ้มอย่างไม่ได้สนใจ
เมื่อตามชายหนุ่มชุดฟ้าครามผู้นั้นจนมาถึงหน้าประตูของวัดเป้ากั๋ว ก็เห็นรถม้าที่งดงามหรูหราจอดอยู่ แต่ในช่วงที่วันคล้ายวันพระราชสมภพของฮ่องเต้ใกล้จะมาถึงเช่นนี้ บรรดาขุนนางระดับสูงในเมืองหลวงต่างก็มาที่นี่เพื่อถวายเครื่องหอมคำอวยพรมากมาย จึงไม่มีผู้ใดให้ความสนใจรถม้าโดดเด่นคันนี้มากนัก
“ชิงชิงมาแล้วหรือ ขึ้นมาเถิด” เสียงของหรงจิ่นดังมาจากด้านในรถม้า มู่ชิงอีสัมผัสได้ว่าน้ำเสียงของเขาดูอ่อนแอเล็กน้อย ม่านของรถม้าถูกยกขึ้นจากด้านใน มีสาวน้อยในชุดฟ้าครามก้าวลงมา นางขมวดคิ้วขณะที่จ้องมองไปยังมู่ชิงอีที่ยืนอยู่ด้านหน้าของรถม้า ท่าทางดูไม่ค่อยพอใจ มองไปยังใบหน้างดงามและสง่างามของมู่ชิงอีอย่างระแวดระวัง
มู่ชิงอีส่งยิ้มให้อย่างแผ่วเบา แล้วเดินขึ้นไปบนรถม้า
ในรถม้า หรงจิ่นนอนราบอย่างเกียจคร้านบนตั่งที่นุ่มฟู แต่รูปลักษณ์ที่หล่อเหลายามนี้กลับดูอ่อนล้าราวกับคนชรา บนหน้าผากมีเส้นเลือดปูดโปน ริมฝีปากเปื้อนคราบโลหิต นัยน์ตาดูราวกับน้ำที่เยือกเย็น
“เกิดอะไรขึ้นกับองค์ชายเก้าเพคะ คงไม่ใช่ว่าเมารถ?” มู่ชิงอีเลิกคิ้วขึ้นพลางยกยิ้ม แต่ดวงตาของนางกลับจ้องมองไปยังแขนเสื้อของหรงจิ่น อันที่จริง นางได้กลิ่นโลหิตจางๆ ตั้งนานแล้ว
“ชิงชิง เจ้าช่างไร้จิตสำนึกเสียจริง ข้าได้ยินมาว่าเจ้าถูกลงโทษจึงรีบรุดเดินทางมาเพื่อพบเจ้าโดยเฉพาะ” หรงจิ่นมองไปยังมู่ชิงอีด้วยดวงตาที่ขุ่นเคืองเล็กน้อย มู่ชิงอีอดไม่ได้ที่จะกระตุกมุมปากของนางและกล่าวอย่างแผ่วเบาว่า “หากท่านยังไม่มีสุขภาพที่ดี ก็ไม่ควรกังวลเรื่องพวกนี้” ถึงกระนั้น นางก็หย่อนตัวนั่งลงข้างๆ หรงจิ่น แตะข้อมือของเขาเพื่อจับชีพจร
เมื่อนิ้วมือของมู่ชิงอีแตะชีพจรของหรงจิ่น ข้อมือของนางก็แข็งเกร็งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะผ่อนคลายลงอย่างรวดเร็ว หรงจิ่นมองไปที่มู่ชิงอีด้วยท่าทีครุ่นคิด “คาดไม่ถึงเลยว่า…ชิงชิงรู้วิชาแพทย์ด้วย?”
มู่ชิงอีล้มเลิกความตั้งใจที่จะแก้ไขชื่อเรียกของนางมานานแล้ว กล่าวอย่างเฉยเมยว่า “หม่อมฉันไม่อาจพูดได้ว่ามีความสามารถ เพียงรู้แค่เล็กน้อยเท่านั้น” มู่ชิงอีพูดอย่างถ่อมตัว…นางไม่สามารถบอกได้ว่าหรงจิ่นเจ็บไข้หรือต้องพิษกันแน่ เพราะชีพจรของเขานั้นยุ่งเหยิงเป็นอย่างมาก หากคนธรรมดามีชีพจรที่ยุ่งเหยิงเช่นนี้ มู่ชิงอีสามารถบอกได้เลยว่า เป็นตายเท่ากัน แต่สำหรับหรงจิ่นแล้ว นางคิดว่าแม้จะเจอหายนะเช่นนี้ เขาก็จะยังคงอยู่ได้อีกนับพันปี
เมื่อปล่อยข้อมือแล้ว มู่ชิงอีก็เอ่ยถามอย่างแผ่วเบา “องค์ชายเก้าเป็นอย่างไรบ้างเพคะ ต้องการเชิญท่านหมอมาหรือไม่ หม่อมฉันจำได้ว่าท่านเจ้าอาวาสผู้เปี่ยมไปด้วยเมตตาของวัดเป้ากั๋วค่อนข้างมีความสามารถในด้านการแพทย์อยู่ด้วย”
หรงจิ่นส่ายหน้าพร้อมรอยยิ้มจางๆ “ไม่ต้อง ข้าชินชากับมันแล้ว อืม…ดูเหมือนว่าข้อตกลงของข้ากับชิงชิงจะจบลงในไม่ช้านี้แล้ว” หรงจิ่นเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยมองไปยังมู่ชิงอี ยิ้มแล้วกล่าวราวกับว่าตัวเขานั้นหาได้สนใจสภาพของตัวเองไม่
มู่ชิงอีเหลือบมองไปยังรอยเลือดบนที่นั่งที่เห็นได้ทันทีที่หรงจิ่นขยับตัว ดวงตาของนางกวาดมองไปยังองค์ชายผู้จมูกไว
สูตรการปรุงของเครื่องหอมโยวหันนั้นหาได้ซับซ้อนไม่ เพียงแต่ต้องปรุงอย่างพิถีพิถันและใส่ใจอย่างมาก ไม่มีผู้ใดสามารถพูดได้อย่างเต็มปากว่าจะปรุงสำเร็จได้ในท้ายที่สุด และสิ่งที่นางทำในตอนนี้เป็นเพียงขั้นตอนการตระเตรียมส่วนผสมเบื้องต้นเท่านั้น หรงจิ่นเพียงได้กลิ่นจากกายของนางก็สามารถรับรู้ได้แล้ว แสดงให้เห็นว่าเขานั้นคุ้นเคยกับเครื่องหอมโยวหันเป็นอย่างมาก
“ข้าเหนื่อยเล็กน้อย ต้องการพักสักครู่หนึ่ง” หรงจิ่นเหยียดตัวออกไปอย่างเกียจคร้าน และก่อนที่ชิงอีจะมีเวลาตอบสนอง เขาก็เอื้อมมือไปโอบเอวนางและเอาศีรษะวางลงบนตักของนางทันที
“หรงจิ่น!” มู่ชิงอีตะโกน กัดฟันกรอด
แต่หรงจิ่นนั้นไม่ได้สนใจท่าทีที่ไม่พอใจของนาง ทำราวกับว่าเขากำลังงีบหลับอย่างสบาย พูดพึมพำด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า “ชิงชิงอย่าส่งเสียงดัง ข้าง่วงแล้ว”
เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มผู้หล่อเหลาสง่างามนั้นหลับสนิทอย่างรวดเร็ว ความอดทนอดกลั้นและสติทั้งหมดของนางก็ได้หายไป คิดอยากจะยกคนตรงหน้าขึ้นและขว้างลงที่พื้น นางยกมือขึ้นเตรียมที่จะตีลงบนใบหน้าหล่อเหลา
“ชิงชิง…ข้าง่วง…”
พูดกับผู้ฟังด้วยน้ำเสียงที่ขุ่นเคืองและง่วงงุน เมื่อมองไปยังใบหน้าที่ขาวซีด ใต้ตาดำคล้ำ มู่ชิงอีก็หลับตาและวางมือของนางลง
เพื่อน้าหญิงและพี่ใหญ่…หลังจากหรงจิ่นตื่นขึ้นมา ตนคงจะได้รู้บางเรื่องไม่มากก็น้อย เช่นนี้คงดีกว่า…
หลังจากที่องค์ชายเก้าหลับไปไม่นานก็ตื่นขึ้นภายในไม่ถึงครึ่งชั่วยาม พอดีกับความอดทนของมู่ชิงอีที่กำลังถึงขีดจำกัด แม้ท่าทางของหรงจิ่นจะยังดูอ่อนล้าแต่ก็ดีกว่าตอนที่เห็นครั้งแรกมาก เขาหาวออกมาอย่างสบายอารมณ์ หรงจิ่นมองไปยังมู่ชิงอีที่อารมณ์ขุ่นมัว กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ชิงชิง เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้หากมีผู้ใดมาพบเห็นเข้า สงสัยเจ้าคงต้องอภิเษกกับข้าเสียแล้ว”
มู่ชิงอีเพียงชายตามองแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร หรงจิ่นรู้สึกเบื่อหน่ายเล็กน้อยที่หยอกล้อมู่ชิงอีไม่ได้ แต่อย่างไรก็ตาม หากเย้าหยอกมากไปอาจจะทำให้คนไม่สบายใจได้ เขาจึงทำเพียงยิ้มแล้วกล่าวว่า “เอาล่ะๆ ลำบากชิงชิงแล้ว ข้าผู้นี้จะบอกข่าวดีกับชิงชิงโดยไม่ต้องแลกเปลี่ยนสิ่งใด ต้องการหรือไม่”