ตอนที่ 37 มู่หลิงเกิดเรื่อง
“ที่เจ้ากำลังปรุงคือ…เครื่องหอมกั๋วเซ่อใช่หรือไม่” องค์หญิงเอ่ยถามมู่ชิงอีด้วยสายตาที่นุ่มนวลกว่าเดิม นางยังได้กลิ่นจากร่างกายของมู่ชิงอีอีกด้วย แต่กลิ่นนั้นต่างจากเครื่องหอมกั๋วเซ่อทั่วไปเล็กน้อย
“เป็นเครื่องหอมกั๋วเซ่อเพคะ หม่อมฉันได้ยินมาว่าองค์หญิงก็มีความเชี่ยวชาญในด้านนี้เช่นกัน หากองค์หญิงไม่ทรงรังเกียจ ชิงอีอยากจะขอให้องค์หญิงช่วยพิจารณาเครื่องหอมสักชิ้นสองชิ้น” มู่ชิงอีเอ่ยอย่างยิ้มแย้ม องค์หญิงใหญ่ก็ยิ้มตามพร้อมพูดว่า “หากเจ้าพูดเช่นนี้ ข้าก็ไม่เกรงใจแล้วนะ กลิ่นนี้บริสุทธิ์อย่างมาก ข้าไม่ได้กลิ่นเครื่องหอมกั๋วเซ่อที่บริสุทธิ์เช่นนี้มาหลายปีแล้ว”
“เชิญองค์หญิงทางนี้เพคะ” มู่ชิงอีเบี่ยงตัวหลบเชิญองค์หญิงเข้าไปด้านใน
องค์หญิงใหญ่พยักหน้าพร้อมทั้งสั่งคนที่อยู่ทั้งซ้ายขวา “ส่งคนไปตรวจสถานที่อื่นอย่างระมัดระวัง ส่วนคนอื่นๆ หากไม่เป็นอะไรแล้วก็กลับไปพักผ่อนเถิด”
“น้อมรับบัญชาองค์หญิงใหญ่” ทุกคนตอบอย่างพร้อมเพรียง มององค์หญิงใหญ่และมู่ชิงอีเดินเคียงกันเข้าห้องไป
เมื่อได้ยินคำสั่งขององค์หญิง เหล่าองครักษ์จึงเริ่มลงมือตรวจสอบความเรียบร้อยทันที ความวุ่นวายก่อนหน้านี้ทำให้เหล่าพระภิกษุในวัดต่างตื่นตระหนก เนื่องจากเจ้าอาวาสฉือเอินปิดตนบำเพ็ญภาวนา หลวงจีนฉืออานศิษย์น้องของเจ้าอาวาสฉือเอินจึงสั่งให้พระภิกษุช่วยกันค้นหาโจรด้วย องค์หญิงใหญ่อาศัยอยู่ในวัดเป้ากั๋วแทบจะตลอดทั้งปี หากมีเรื่องอันใดเกิดขึ้น วัดเป้ากั๋วคงจะถูกคาดโทษ
ผู้คนที่มารวมตัวกันที่เรือนของมู่ชิงอีต่างก็แยกย้ายกันกลับไป มีเพียงหญิงรับใช้วัยกลางคนที่มู่ฉังหมิงส่งมาให้ติดตามมู่ชิงอีเพื่อคอยปรนนิบัติรับใช้นั้น ยังคงยืนหน้าซีดเซียวด้วยสีหน้างุนงง
“เชิญองค์หญิงเพคะ” ภายในห้อง มู่ชิงอีและองค์หญิงใหญ่นั่งคุกเข่าอยู่ตรงข้ามกัน มู่ชิงอีกำลังชี้พลางอธิบายไปยังกล่องสลักลายงดงามมากมาย ซึ่งบรรจุไปด้วยเครื่องหอมหลากหลายกลิ่น รวมถึงเครื่องหอมกั๋วเซ่อที่เพิ่งปรุงขึ้นด้วย นอกจากนั้นยังมีส่วนผสมต่างๆ วางกระจัดกระจายอยู่บนโต๊ะตัวเตี้ย เป็นหลักฐานว่า ก่อนหน้านี้นั้นนางกำลังสาละวนอยู่กับการปรุงเครื่องหอมจริงๆ
“ให้ข้าอย่างนั้นหรือ” องค์หญิงใหญ่ยิ้มพลางยื่นมือออกไปรับกล่องใบเล็ก เมื่อเปิดฝาออก กลิ่นหอมอันน่ารื่นรมย์ก็พวยพุ่งขึ้นมา
มู่ชิงอีพยักหน้าและยิ้มให้ “หากองค์หญิงไม่โยนทิ้งไป นับเป็นความกรุณาต่อชิงอียิ่งนัก” องค์หญิงใหญ่ไม่ได้ปรากฏตัวในเมืองหลวงมาสิบปีแล้ว คนทั่วไปต่างก็ไม่รู้ว่าองค์หญิงอาศัยอยู่ที่วัดเป้ากั๋วมาโดยตลอด แต่มู่ชิงอีนั้นรู้ดี เมื่อตอนที่ติดตามท่านปู่มายังวัดเป้ากั๋วเพื่อพบกับเจ้าอาวาสฉือเอิน นางก็ได้พบกับองค์หญิงโดยบังเอิญ ตอนนั้นองค์หญิงใหญ่ใช้เครื่องหอมกั๋วเซ่อ
“เจ้านี่นะ…” องค์หญิงยิ้ม มองไปที่มู่ชิงอีพลางกล่าวว่า “แม้ว่าข้าจะไม่ค่อยได้กลับไปที่เมืองหลวงเท่าไรนัก แต่ก็เคยได้ยินคนพูดถึงจวนซู่เฉิงโหวอยู่บ้าง เจ้าไม่เหมือนดังที่คนนอกเขาพูดกัน เจ้า…คล้ายคลึงกับสตรีผู้นั้นที่มาจากตระกูลกู้ยิ่งนัก”
ดวงตาของมู่ชิงอีขยับสั่นไหว ยิ้มขึ้นอย่างแผ่วเบา “องค์หญิงทรงพูดเล่นแล้ว ชิงอี…”
องค์หญิงใหญ่ยกมือขึ้นลูบหลังมือนางเบาๆ แล้วพูดว่า “เจ้าไม่จำเป็นต้องลำบากใจ หญิงตระกูลกู้ผู้นั้น…ถึงแม้นางจะทำร้ายน้องเจ็ด แต่ข้าก็แอบชื่นชมในความกล้าหาญของนาง เรื่องภายในจวนซู่เฉิงโหวของจ้า แม้ข้าจะไม่ได้รู้อะไรมากนัก แต่ข้าเคยอาศัยอยู่ในวังย่อมต้องรู้ดี” มู่ชิงอีอดไม่ได้ที่จะยิ้มขึ้นหลังจากได้ยินเช่นนี้
องค์หญิงใหญ่เติบโตในวังชั้นใน จะมีแผนการใดที่ไม่เคยเห็นกันเล่า เกรงว่าตอนที่คนด้านนอกตะโกนขึ้น ก็คงจะถูกองค์หญิงใหญ่มองออกแต่แรกแล้ว
องค์หญิงใหญ่โบกมือด้วยความรังเกียจ “แท้จริงแล้ว ข้าไม่ค่อยสนใจเรื่องวุ่นวายพวกนี้ แต่คนของมู่ฉังหมิงนั้นน่าละอายเกินไป!” เรื่องครั้งนี้แม้มู่ฉังหมิงจะไม่ใช่ตัวการหลัก แต่แน่นอนว่าด้วยสถานะขององค์หญิงแล้วคงไม่เหมาะที่จะเอ่ยถึงสะใภ้ซุน ดังนั้นในท้ายที่สุด ความผิดทั้งหมดก็ต้องตกไปอยู่ที่มู่ฉังหมิง
มู่ชิงอีอดหัวเราะในใจไม่ได้ เกรงว่าสะใภ้ซุนคงจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าองค์หญิงอาศัยอยู่ที่นี่ ไม่เช่นนั้นนางจะวางแผนโง่เง่าเช่นนี้ออกมาได้อย่างไร
“องค์หญิงโปรดระงับโทสะเพคะ ท่านพ่อ…” มู่ชิงอีถอนหายใจเสียงเบา สีหน้าพลันเศร้าโศก
มารดาขององค์หญิงใหญ่เป็นพระสนมที่เป็นที่โปรดปรานแต่กลับจากไปก่อนเวลา ปล่อยให้องค์หญิงต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ในวังเพียงผู้เดียว เมื่อเห็นมู่ชิงอีมีท่าทางเศร้าสร้อย นางก็รู้สึกเห็นอกเห็นใจเพิ่มขึ้นไม่น้อยอย่างคนหัวอกเดียวกัน กระซิบเบาๆ ขึ้นว่า “เจ้าก็อย่าคิดมากเลย ครอบครัวมั่งคั่งที่ใดบ้างที่จะไร้ปัญหาเช่นนี้”
คำพูดปลอบใจขององค์หญิงใหญ่ทำให้มู่ชิงอีประหลาดใจเล็กน้อย
คนมากมายล้วนพูดกันว่าองค์หญิงใหญ่กับเวยหย่วนโหวในยามนั้นต่างก็เป็นสามีภรรยาที่รักกันอย่างลึกซึ้ง เกรงว่าคงจะเป็นความจริงไม่ใช่แค่ข่าวลือ เพราะในท้ายที่สุด เวยหย่วนโหวก็กลายเป็นตระกูลใหญ่ จำนวนคนนั้นมากกว่าจวนซู่เฉิงโหวอยู่มาก
“คุณหนูสี่! คุณหนูสี่!”
มู่ชิงอีและองค์หญิงใหญ่กำลังพูดคุยกันอย่างถูกคอ แต่เสียงเรียกตะโกนอย่างกังวลของบ่าวรับใช้ดังขึ้นขัดจังหวะอยู่นอกประตู มู่ชิงอีขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ จูเอ๋อร์เดินไปเปิดประตูพูดอย่างโกรธเคือง “โหวกเหวกโวยวายเสียงดังอะไรกัน คุณหนูกำลังพูดคุยอยู่กับองค์หญิงใหญ่”
“เป็นเรื่องด่วนจริงๆ ขอรับ คุณหนูสี่ เกิดเรื่องกับ…กับคุณชายรอง!” คนที่อยู่นอกประตูเป็นบ่าวรับใช้ที่อยู่กับมู่หลิง สีหน้าทั้งวิตกกังวลทั้งตื่นตระหนกของเขาแสดงให้เห็นได้ชัดว่าเกิดเรื่องขึ้นจริงๆ
มู่ชิงอีขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วหันมาพยักหน้าขออภัยองค์หญิงใหญ่ “องค์หญิงใหญ่ ชิงอีต้องขอตัวก่อน โปรดประทานอภัยด้วยเพคะ”
องค์หญิงใหญ่ยืนขึ้น จัดแจงเสื้อผ้าพลางพูดว่า “ให้ข้าไปเป็นเพื่อนเจ้าเถิด เจ้าเป็นหญิงไปข้างนอกตอนกลางคืนคนเดียวคงจะไม่สะดวก ข้าก็อยากจะไปดูสักหน่อยว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นกับคุณชายรองจวนซู่เฉิงโหวกันแน่!” องค์หญิงใหญ่กล่าวประโยคนี้อย่างคาดโทษคุณชายรองของจวนซู่เฉิงโหว ทุกคนต่างก็สัมผัสได้ถึงงความไม่พอใจของนาง
น่าแปลกยิ่งนัก คนอื่นๆ อาศัยอยู่ที่นี่กันอย่างปกติสุขตั้งนาน แต่พอมู่หลิงมากลับมีเรื่องมากมายเกิดขึ้น ในเวลานี้ นางกำลังพูดคุยอยู่กับชิงอี แต่ผู้ติดตามของมู่หลิงกลับมารบกวนอีกครั้งในกลางดึกเช่นนี้ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเป็นพี่น้องกัน แต่คงไม่มีน้องสาวคนไหนวิ่งเข้าไปในห้องของพี่ชายกลางดึกหรอกกระมัง
ชายหนุ่มที่มารายงานสีหน้าซีดเซียว เหลือบมองไปยังมู่ชิงอีด้วยความลำบากใจ มู่ชิงอีหลับตาลงราวกับว่านางนั้นไม่รู้ไม่เห็น หันไปพูดกับองค์หญิงใหญ่อย่างนอบน้อม “ขอบพระทัยองค์หญิงใหญ่ที่เมตตาเพคะ”
เมื่อมองไปที่ด้านหลังขององค์หญิงและมู่ชิงอี ใบหน้าของชายหนุ่มยิ่งซีดเซียวเต็มไปด้วยความวิตกกังวล ย่ำเท้าไปมาอย่างร้อนรนใจ “แย่แล้ว! แย่แล้ว…เร็วเข้า! กลับไปรายงานนายท่านโหวกับฮูหยินว่าคุณชายรองเกิดเรื่องแล้ว!”
เรือนของมู่หลิงอยู่ถัดจากเรือนหลังเล็กของมู่ชิงอี มีประตูรูปพระจันทร์เชื่อมทางเดินเรือน ตามปกติแล้ว ในระยะใกล้เช่นนี้ แม้แต่องค์หญิงใหญ่ที่อยู่ห่างไกลก็ยังเสด็จมาเมื่อได้ยินว่าเกิดเรื่องขึ้นที่เรือนของมู่ชิงอี แต่มู่หลิงกลับไม่ปรากฏตัวจึงค่อนข้างน่าสงสัยเป็นอย่างมาก เมื่อค้นเรือนของมู่หลิงดูแล้วก็พบว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นจริงๆ
มู่ชิงอีและองค์หญิงใหญ่เห็นว่าประตูห้องหนังสือของมู่หลิงเปิดแง้มอยู่ ผู้คนต่างก็ยืนเงียบๆ หน้าประตูด้วยท่าทางสีหน้ากระอักกระอ่วน มู่ชิงอีอยากเดินเข้าไปข้างในแต่ชายวัยกลางคนที่อยู่หน้าประตูส่งเสียงกระแอมไอเบาๆ พลางก้าวเข้ามาขวางไว้เพื่อหยุดนาง “คุณหนูสี่ ท่านอย่าเพิ่งเข้าไปข้างในเลยขอรับ”
สายตาของมู่ชิงอีดูงุนงง ชายผู้นั้นทำได้เพียงหันหน้าหนีด้วยความเก้อเขิน ไม่ใช่ว่าเขานั้นไม่อยากปล่อยให้น้องสาวเข้าไปดูพี่ชาย แต่ฉากข้างในนั้นไม่เหมาะกับสตรีในห้องหอ
สีหน้าขององค์หญิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย นางเข้าใจในทันที ใบหน้าพลันมืดครึ้ม
“ไปนำคนข้างในออกมา! ข้าต้องการซักถามว่านี่มันเกิดเรื่องอันใดขึ้น!” องค์หญิงใหญ่พูดขึ้นอย่างเคร่งขรึม องค์หญิงใหญ่เป็นสตรีมีประสบการณ์ทางโลกมาแล้ว เพียงแค่มองดูสีหน้าขวยเขินของทุกคนก็แทบจะเดาได้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้นข้างใน ความโกรธยิ่งปะทุขึ้นไปอีก นางอุทิศตนสักการะบูชาพระพุทธศาสนา เพราะฉะนั้น สิ่งที่นางเกลียดชังมากที่สุดก็คือคนที่กล้าก่อเรื่องต่อหน้าพระพุทธศาสนาตามอำเภอใจเช่นนี้