ตอนที่ 40 หัวใจของหญิงสาวนั้นเปรียบเสมือนยาพิษร้าย
มู่ชิงอีบอกเสียงเบา “ท่านพ่อ ชิงอีไม่ทราบชัดเจนนัก ตอนที่กำลังปรุงเครื่องหอมอยู่นั้นก็ได้ยินเสียงคนตะโกนว่า ‘จับขโมย’ ตอนนั้นชิงอีกำลังปรุงเครื่องหอมอย่างเพลิดเพลินจึงไม่ได้ออกไปดู จู่ๆ ผู้คนมากมายต่างก็มารวมตัวกันที่เรือนพำนักของลูก หลังจากนั้นองค์หญิงก็เข้ามาแล้วสั่งคนแยกย้ายกันไปตรวจสอบ ชิงอีอยู่ในเรือนกับองค์หญิงใหญ่สนทนากันเรื่องเครื่องหอม ผ่านไปสักพัก ผู้ติดตามของพี่รองก็มารายงานชิงอีว่ามีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้นที่เรือนของพี่รอง ชิงอีกับองค์หญิงใหญ่จึงมาที่นี่ จากนั้นก็…”
มู่ชิงอีไม่ได้พูดอะไรต่ออีก แต่มู่ฉังหมิงก็เข้าใจเรื่องทั้งหมดแล้ว มองไปยังสองคนบนพื้นที่ท่าทางจนตรอกก็ยิ่งโมโห ก่นด่าอย่างเกรี้ยวกราด “พวกบัดซบ! เจ้าบอกข้ามาให้ชัดเจนเดี๋ยวนี้ ว่ามันเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่!”
สะใภ้ซุนประคองมู่หลิงไว้ในอ้อมแขน พูดทั้งน้ำตาว่า “นายท่านโหว หลิงเอ๋อร์เป็นแบบนี้แล้ว ท่านยังจะดุด่าเขาอยู่อีกหรือเจ้าคะ”
“ช่างเป็นแม่ที่รักลูกเสียจริง!” มู่ฉังหมิงพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “สรุปแล้ว…มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แล้วคนผู้นี้ป็นใครกัน”
คำสารภาพที่เพิ่งจะกล่าวกับองค์หญิงใหญ่เมื่อครู่ เมื่อต้องพูดมันอีกครั้งจึงพูดได้อย่างคล่องแคล่ว หลานอวี้พูดในสิ่งที่เขาเพิ่งกล่าวกับองค์หญิงอีกครั้งต่อหน้ามู่ฉังหมิงอย่างไม่มีผิดเพี้ยน มู่ฉังหมิงยิ่งฟังก็ยิ่งตัวสั่นด้วยความโกรธ หากไม่ใช่เพราะว่ามู่หลิงยังนอนปวกเปียกอยู่บนพื้น มู่ฉังหมิงคงจะเตะเขาไปแล้ว
“นายท่าน เขาพูดโกหก! หลิงเอ๋อร์จะทำอย่างนั้นได้เช่นไร ต้องมีใครสักคนใส่ร้ายเขาเป็นแน่!” สะใภ้ซุนกรีดร้องออกมา นางไม่ได้คาดคิดว่าสิ่งที่วางแผนไว้จะพลิกกลับมาทำร้ายบุตรชายของตน
มู่ฉังหมิงสูดลมหายใจแล้วกล่าวอย่างเย็นชาว่า “ถูกใส่ร้าย? หากกล่าวเช่นนั้น หลานอวี้ผู้นี้ ไม่ใช่เขาหรอกหรือที่เป็นผู้พาเข้ามา มู่เชิน ไหนเจ้าลองว่ามาสิ” มู่เชินเหลือบมองมู่ชิงอีที่ยืนอยู่ข้างๆ มู่ฉังหมิงแล้วพูดขึ้นอย่างเคารพ “ลูก…เมื่อบ่ายนี้ลูกได้พบกับเขาคนนี้ แต่เพราะน้องรองพาคนมาไม่น้อย ลูกจึงไม่ได้สนใจเขานัก คิดว่าเป็นเพียงผู้ติดตามคนใหม่ของน้องรองขอรับ”
“ลูกอกตัญญู! เจ้ายังมีอะไรที่จะพูดอีก นำมันมาที่วัดเป้ากั๋วเช่นนี้ ต้องการจะทำสิ่งใด” มู่ฉังหมิงคำรามขึ้น สะใภ้ซุนยังคงต้องการจะพูดบางอย่างแต่มู่หลิงกลับดึงเอาไว้ เขาร้องไห้คร่ำครวญและพูดขึ้นว่า “ท่านพ่อ…ลูกถูกใส่ความ เขาเป็นเพียงบ่าวรับใช้ที่ลูกเพิ่งรับเข้ามาใหม่ ลูกเองก็ไม่รู้…ไม่รู้ว่าทำไมถึงเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น…ต้องมีคนอยากใส่ร้ายลูกเป็นแน่ ขอท่านพ่อพิจารณาให้ถี่ถ้วนด้วย” ขณะที่มู่หลิงกำลังพูดแก้ตัว สะใภ้ซุนก็ลอบส่งสายตาข่มขู่ให้หลานอวี้โดยที่มู่ฉังหมิงไม่ทันสังเกต หลานอวี้อดไม่ได้ที่จะก้มศีรษะลงด้วยความหวาดกลัว
“นี่มัน…” มู่ฉังหมิงรู้สึกใจอ่อนเล็กน้อยเมื่อเห็นสภาพอันน่าเวทนาของบุตรชาย เขาเองก็รู้สึกว่ามู่หลิงไม่ใช่คนที่เลอะเลือนเช่นนี้
เป็นไปได้หรือไม่ว่า มีใครบางคนวางแผนใส่ร้ายมู่หลิงจริงๆ
มู่ชิงอีที่ยืนเงียบอยู่ข้างๆ เหลือบมองหลานอวี้อย่างครุ่นคิด ก่อนที่จะเอ่ยขึ้นอย่างแผ่วเบา “ท่านพ่อ นี่ไม่ใช่เรื่องยากเจ้าค่ะ เนื่องจากมีคนใส่ร้ายพี่รองและหลานอวี้ผู้นี้มาจากหอชิงเฟิง ดังนั้นเพียงแค่ส่งคนไปสืบที่นั่นว่าเขาออกมาจากหอชิงเฟิงเมื่อใด ใครเป็นคนพาเขาออกมาและเขาไปพบเจอพี่รองได้อย่างไร ก็น่าจะมีเบาะแสอยู่บ้างกระมัง”
“อืม เจ้าพูดได้สมเหตุสมผล” มู่ฉังหมิงพยักหน้า
บนพื้น สะใภ้ซุนสองแม่ลูกใบหน้าพลันขาวซีด
เดิมทีสะใภ้ซุนอยากพูดสักสองสามประโยคเพื่อเล่นละครตบตา หลายปีที่ผ่านมา นางถนัดกับการโกหกหลอกลวงมู่ฉังหมิงเป็นอย่างดีและนางยังไม่อยากถูกทำลายด้วยคำพูดง่ายๆ ของมู่ชิงอี แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นพบกับแววตาเย้ยหยันของมู่ชิงอีก็ต้องพยายามระงับความโกรธจนตัวเกือบสั่นเทานี้ ทำได้เพียงฟังมู่ชิงอีพูดอย่างสบายๆ ว่า “ท่านพ่อ เรื่องนี้ไม่ต้องรีบร้อน ให้พี่ใหญ่ช่วยตรวจสอบก็พอแล้ว เพราะมีอีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญและเร่งด่วนกว่าเจ้าค่ะ”
มู่ฉังหมิงขมวดคิ้วขณะมองดูมู่หลิงที่จนตรอกอยู่บนพื้น เอ่ยถามขึ้น “เรื่องอันใดหรือ”
มู่ชิงอีกล่าวว่า “ท่านพ่อ ลืมไปแล้วหรือเจ้าคะ เรื่องในคืนนี้ไม่ใช่แค่ตระกูลของเราที่อยู่ที่นี่ ยังมีองค์หญิงใหญ่และใต้เท้าจ้าวคนนั้น รวมทั้งหลวงจีนฉืออานของวัดเป้ากั๋วด้วย หากข่าวนี้รั่วไหลออกไป พี่รองก็คง…”
สีหน้าของมู่ฉังหมิงพลันเคร่งขรึม
มู่หลิงเป็นคนที่ตนมองไว้ว่าจะให้เป็นผู้สืบทอดของจวนซู่เฉิงโหวและยังเป็นบุตรชายคนโปรดของเขา หากเรื่องในคืนนี้ถูกแพร่งพรายออกไป อนาคตของเขาจะต้องพังทลายแน่นอน ไม่ต้องพูดถึงการสืบทอดตำแหน่งของจวนซู่เฉิงโหว แม้แต่ตำแหน่งทางการในราชสำนักก็ไม่สามารถรักษาไว้ได้ จ้าวถิ่งจือนั้นจัดการได้ง่าย แต่จะจัดการกับองค์หญิงใหญ่และผู้คนอีกมากมายได้อย่างไรกัน
มู่ฉังหมิงจ้องไปที่มู่หลิงด้วยความโกรธและพูดว่า “ข้าขอให้มู่เชินนำข้าวของมามอบให้ชิงอี ส่วนเจ้ามาทำอะไรที่วัดเป้ากั๋ว เหตุใดถึงไม่กลับไปกับพี่ใหญ่ของเจ้า”
มู่หลิงหลับตาลง พูดขึ้นว่า “ลูก…ลูกต้องการมาพบเจ้าอาวาสฉือเอิน…เพื่อขอปรึกษาเรื่องเทียบยาสำหรับบำรุงร่างกายให้ท่านย่าขอรับ”
มู่ฉังหมิงขมวดคิ้ว แม้ว่าความกตัญญูของมู่หลิงนั้นน่ายกย่อง แต่เหตุผลเพียงแค่นี้นั้นไม่สามารถยับยั้งข่าวเสียหายได้ เพราะหาได้น้อยนักที่เจ้าอาวาสฉือเอินจะยอมพบกับบุคคลภายนอก อีกทั้งหมอท่านอื่นที่มีชื่อเสียงโด่งดังทั้งหลายนั้น จวนซู่เฉิงโหวจะไม่สามารถเชิญมาได้เลยหรืออย่างไร มู่ฮูหยินผู้เฒ่าเองก็ยังแข็งแรงดี เทียบยาบำรุงร่างกายต้องให้มู่หลิงเป็นผู้มาด้วยตัวเองเลยอย่างนั้นหรือ
“ไอ๊หยา โชคไม่ดีเอาเสียเลยที่คุณชายรองมาที่นี่ จูเอ๋อร์ได้ยินมาว่าเจ้าอาวาสฉือเอินเพิ่งจะปิดตนบำเพ็ญภาวนาไปเองเจ้าค่ะ” จูเอ๋อร์ที่ยืนอยู่ข้างกายมู่ชิงอีเอ่ยขึ้นเสียงเบา มู่ฉังหมิงตกตะลึง “เจ้าอาวาสฉือเอินปิดตนบำเพ็ญภาวนาไปเมื่อใด”
“เมื่อเช้านี้เองเจ้าค่ะ ตอนเที่ยงจูเอ๋อร์ได้ออกไปรับอาหารเจแทนคุณหนูจึงได้ยินพ่อครัวของวัดพูดกันว่า เจ้าอาวาสฉือเอินปิดตนและฝากเรื่องทั้งหมดของวัดให้กับหลวงจีนฉืออานรับผิดชอบ ทุกคนในวัดต่างก็รับรู้เจ้าค่ะ” จูเอ๋อร์พูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย
เมื่อได้ยินเช่นนี้ สีหน้าของมู่ฉังหมิงที่จ้องไปยังมู่หลิงก็เริ่มสงสัยมากขึ้น มู่หลิงมาในตอนเช้าจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่รู้เรื่องที่เจ้าอาวาสฉือเอินปิดตนบำเพ็ญภาวนา แต่ก็ไม่ได้กลับไปพร้อมกับมู่เชินและยังพาชายสกปรกเช่นนั้นมาอยู่ข้างกายอีก เป็นไปได้หรือไม่ว่า…
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ มู่ฉังหมิงก็มองไปที่หลานอวี้ด้วยท่าทางดุดัน
“นายท่าน…นายท่านโหว…” สะใภ้ซุนรู้ได้ทันทีว่ามู่ฉังหมิงกำลังเคลือบแคลงสงสัย จึงต้องการพูดแทนบุตรชายของตน แต่มู่ฉังหมิงยกมือห้ามนางเอาไว้ พูดขึ้น “พอแล้ว พาลูกอกตัญญูนี่กลับไปที่จวน ห้ามผู้ใดเข้าเยี่ยมหากไม่ได้รับคำสั่งจากข้า! ส่วนเจ้า…ดูที่เจ้าสั่งสอนบุตรชายของตัวเองสิ หลังจากที่กลับไปแล้วเจ้าไม่ต้องสนใจเรื่องอื่น เพียงแค่สั่งสอนอบรมอวิ๋นหรงอย่างสบายใจก็พอ” เมื่อคิดถึงมู่อวิ๋นหรงและมู่หลิง มู่ฉังหมิงก็อดไม่ได้ที่จะสงสัยในการอบรมเลี้ยงดูของสะใภ้ซุน น้ำเสียงของเขาจึงแข็งทื่อขึ้น
สะใภ้ซุนกัดมุมปากของตน รู้ว่าตอนนี้มู่ฉังหมิงกำลังโกรธ นางจึงไม่กล้าเกลี้ยกล่อมเขาอีกต่อไป เพียงตอบเบาๆ ว่า “เป็นข้าที่สั่งสอนลูกได้ไม่ดี ขอนายท่านโหวโปรดลงโทษด้วยเจ้าค่ะ”
อย่างไรก็เป็นถึงสตรีที่ได้รับการโปรดปรานมายี่สิบกว่าปี สีหน้าของมู่ฉังหมิงจึงเริ่มอ่อนลง ถอนหายใจพลางพูดว่า “เจ้ากลับไปก่อน ข้ายังต้องจัดการสะสางกับเรื่องพวกนี้” สะใภ้ซุนพยักหน้าแล้วพูดว่า “เจ้าค่ะ หลิงเอ๋อร์เป็นเด็กดี นายท่านโหวต้องช่วยเขานะเจ้าคะ”
“ไปเถิด” มู่ฉังหมิงพยักหน้า
“ท่านพ่อ ชิงอีก็ขอตัวลาเช่นกันเจ้าค่ะ” มู่ชิงอีกล่าวเบาๆ
มู่ฉังหมิงขมวดคิ้วมองมู่ชิงอีอย่างครุ่นคิดพลางพยักหน้าตอบรับ การแสดงออกของบุตรสาวในช่วงเวลาสั้นๆ ที่ผ่านมานี้ทำให้เขาประหลาดใจอยู่ไม่น้อย แม้ทั้งมู่ชิงอีและสะใภ้ซุนต่างก็ตกใจกลัวกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น แต่เขากลับรู้สึกถึงความแตกต่างจากบุตรสาวคนนี้
อายุยังน้อยแต่ท่าทางนิ่งสงบรู้ความ พูดได้ว่าสมกับที่เป็นบุตรีของภรรยาเอก