หวนคืนชะตาแค้น – ตอนที่ 53 วางแผนการ

หวนคืนชะตาแค้น

มู่หรงอานสีหน้ามืดมน ร่องรอยโหดเหี้ยมอำมหิตปรากฏขึ้นบนใบหน้า พูดพลางยิ้มเยาะ เสด็จพ่อจะทรงเชื่อว่าตระกูลกู้นั้นมีจิ่วจ่วนหลิงหลงจริงๆ อย่างนั้นหรือ จะเชื่อจริงหรือว่าของสิ่งนั้นจะสามารถทำให้ครอบครองใต้หล้าได้ คิ้วขมวดแน่น จ้องไปยังมู่หรงอวี้ พี่หก ท่านคงไม่ได้เชื่อไปด้วยกระมัง

มู่หรงอวี้เงียบไปครู่หนึ่ง พูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น จิ่วจ่วนหลิงหลงทำให้สามารถครอบครองใต้หล้าได้หรือไม่นั้นข้าไม่รู้ แต่…เล่าลือกันว่าหลังจากที่ได้ชิงสมบัติล้ำค่าอย่างจิ่วจ่วนหลิงหลงมาได้ ไท่จู่ก็ได้ขึ้นครองแคว้น ในช่วงแรกเริ่มของการขึ้นครอง ตระกูลกู้นั้นตกต่ำลงเรื่อยๆ แต่ภายหลังไท่จู่เจี้ยเปิงได้จากไป ตระกูลกู้กลับมาผงาดขึ้นอีกครั้งในเวลาสั้นๆ เพียงสามสิบปี ขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุดในราชสำนัก…

มู่หรงอานเข้าใจความหมายของมู่หรงอวี้ แม้ว่าในตัวของจิ่วจ่วนหลิงหลงเองนั้นอาจจะไม่ได้มีเทวะหรือภูติใดๆ สถิตอยู่ แต่ก็เป็นไปได้ที่ภายในจิ่วจ่วนหลิงหลงจะซ่อนสมบัติล้ำค่าที่ครอบครองโลกหล้าได้ ดังนั้นตระกูลกู้ที่เดิมทีตกต่ำลงจึงสามารถผงาดขึ้นมาได้ในเวลาอันสั้น

พี่หก ท่านคิดจะทำอะไร มู่หรงอานจ้องมองไปที่มู่หรงอวี้อย่างระแวงสงสัย

มู่หรงอวี้มองมาที่เขาอย่างเฉยเมยพร้อมกล่าวว่า นำกู้ซิ่วถิงออกมาให้ข้า เจ้าเก็บเขาไว้ไม่ได้

อย่าได้คิดเพ้อเจ้อ! มู่หรงอานตะโกนขึ้นเสียงดัง ลุกขึ้นอย่างกะทันหันจนทำให้บาดแผลที่ยังไม่หายเป็นปกติดีฉีกออกเล็กน้อย สีหน้าแสดงออกถึงความดุร้ายในทันใด

น้องแปด! มู่หรงอวี้ขมวดคิ้วพูดขึ้น หลายปีมานี้ถึงแม้ว่าเจ้าจะก่อเรื่องแต่ข้าก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่ในใจของเจ้าต้องมีแผนการบ้าง รอเมื่อถึงเวลาที่เสด็จพ่อมาถามหาต้องการคนจากเจ้า เจ้าก็คงต้องยอมมอบให้ เกรงว่าเมื่อถึงเวลานั้น แม้แต่ชีวิตของกู้ซิ่วถิงก็รักษาไว้ไม่ได้

มู่หรงอานมีสีหน้าโหดเหี้ยมอำมหิต สิ่งที่มู่หรงอวี้พูดมาไหนเลยเขาจะไม่รู้ แต่สำหรับคนอย่างกู้ซิ่วถิง เขานั้นเข้าใจดี เรื่องที่พวกเขาถามเมื่อสามปีก่อนแล้วไม่ได้อะไร สามปีถัดไปก็คงจะไม่ได้อะไรเช่นเดิม แต่หากตกไปอยู่ในมือพี่หก กู้ซิ่วถิงคงจะมีแค่ตายสถานเดียวเท่านั้น

พี่หก เขาไม่รู้อะไรเลย แต่ถึงเขาจะรู้ก็คงไม่ยอมปริปาก ท่านอย่าได้บีบบังคับเขาเลย ข้าขอร้องท่าน

มู่หรงอวี้อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว

ตนไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นกับน้องชายผู้เหี้ยมโหดไร้ความรู้สึกคนนี้ เดิมทีเขาเป็นคนที่ไม่เคยเห็นใครอยู่ในสายตา แต่นับตั้งแต่ได้พบกับกู้ซิ่วถิง สติก็ดูราวกับฟั่นเฟือนไปแล้ว ในตอนแรกเพื่อปกป้องกู้ซิ่วถิงเขาเกือบเอาชีวิตเข้าไปเสี่ยงขัดแย้งกับพี่ชายแท้ๆ เช่นตน เวลาผ่านไปถึงสามปีแล้วแต่ยังคงหลงงมงายอยู่กับมัน

น้องแปด เจ้าไม่ใช่เด็กเล็กๆ อีกต่อไปแล้ว ไม่ก็ทำให้กู้ซิ่วถิงพูดทุกอย่างที่เขาควรพูดออกมาให้หมด ไม่เช่นนั้นเจ้าก็ส่งเขามาให้ข้า หรือไม่ก็…รอให้เสด็จพ่อทรงมาถามหาและชิงคนไปจากเจ้า มู่หรงอวี้พูดด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก

มู่หรงอานกัดฟันพูดขึ้น ในเมื่อเสด็จพ่อทรงรู้ว่าเขาอยู่กับข้าที่นี่ แต่หากถูกพี่หกพาตัวไปแล้วข้าจะกราบทูลว่าอย่างไรเล่า

มู่หรงอวี้พูดขึ้นเบาๆ ข้ามีวิธีของข้า

ดวงตาของมู่หรงอานเป็นประกาย วิธีใดหรือ

มู่หรงอวี้กวาดสายตาเหลือบมองน้องชายอย่างเฉยเมยพร้อมเอ่ยว่า เจ้าคิดว่าข้าเดาไม่ออกว่าเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่อย่างนั้นหรอกหรือ เจ้าแปด เจ้าคิดจะทะเลาะกับพี่หกเพื่อบุรุษเพียงคนเดียว?

พี่หก… เมื่อได้ยินมู่หรงอวี้เรียกเขาว่า ‘เจ้าแปด’ สีหน้าแข็งขืนของมู่หรงอานก็อ่อนลง อายุของเขากับพี่หกนั้นไม่ได้ห่างกันเท่าไรนัก เขามักเป็นตัวสร้างปัญหามาตลอดตั้งแต่ยังเยาว์ ล้วนเป็นพี่ชายคนนี้ที่คอยจัดการกับปัญหาให้โดยไม่ตำหนิติเตียนอะไรแม้แต่น้อย สำหรับมู่หรงอานแล้วเขาเห็นมู่หรงอวี้พี่หกคนนี้สำคัญกว่าเสด็จพ่อและเสด็จแม่ที่อยู่ภายในวังเสียอีก ในฐานะองค์ชาย ใครเล่าจะไม่มีความทะเยอทะยาน แต่เขารู้ถึงความตั้งใจของมู่หรงอวี้ดี ดังนั้นจึงไม่เคยนึกชิงตำแหน่งรัชทายาท เพียงใจจดใจจ่อเดินตามรอยเท้าของพี่ชาย

พี่หก…พี่หก…ข้า…ท่าน…ท่านรออีกสักหน่อยได้หรือไม่ ข้าจะช่วยถามให้ ไม่ว่าจะต้องใช้วิธีใด ข้าจะต้องได้คำตอบอย่างแน่นอน ในใจของมู่หรงอานรู้ดีว่า หากกู้ซิ่วถิงตกไปอยู่ในมือของพี่หกแล้ว ไม่ว่าจะสารภาพหรือไม่ก็ตาม สุดท้ายก็จะมีแต่ความตายรออยู่

มู่หรงอวี้หลับตาลงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ตนเองก็ไม่อยากมีเรื่องติดใจกับน้องชาย ผ่านไปครู่ใหญ่จึงเอ่ยขึ้นช้าๆ ข้าจะให้เวลาเจ้าอีกสองวัน หากสองวันหลังจากนี้เขายังคงไม่รู้อะไร ข้าจะนำตัวเขาไป

ในใจของมู่หรงอานพลันขื่นขม ตอนที่กู้ซิ่วถิงเพิ่งถูกจับมา บทลงโทษต่างๆ พี่หกก็ได้ใช้ไปหมดแล้ว หากจะสารภาพคงสารภาพไปแต่แรกแล้ว ใจของมู่หรงอานเชื่อตั้งนานแล้วว่ากู้ซิ่วถิงนั้นไม่รู้เรื่องอะไรเลย แต่หากเขาไม่มีคำตอบอะไรล่ะก็ เกรงว่าคงจะถูกพาตัวไปในไม่ช้า

หลังจากที่ส่งมู่หรงอวี้ออกไป มู่หรงอานก็ถีบคนรับใช้ที่กำลังจะอ้าปากพูดบางอย่างแล้วหมุนตัวไปยังเรือนหลังเล็กที่กู้ซิ่วถิงอาศัยอยู่

ชิงเซวียน! เรือนหลังเล็กที่อยู่ลึกเข้าไปภายในจวนหนิงอ๋อง มู่หรงอานเดินเข้าไปโดยไม่ให้ใครรายงานให้เขาทราบ เมื่อขึ้นไปถึงชั้นสองก็มองเห็นกู้ซิ่วถิงในชุดขาว รูปร่างผอมบางนั่งพิงหน้าต่างก้มหน้าอ่านหนังสือเล่มหนึ่งอยู่

คุณชายใหญ่ตระกูลกู้ นามซิ่วถิง สมญานามชิงเซวียน

กู้ซิ่วถิงวางม้วนหนังสือลง มองกลับมาที่เขาด้วยสีหน้าที่เฉยเมย

มู่หรงอานจิตใจหมองหม่นขึ้นมาทันใด สาวเท้าก้าวไปข้างหน้าดึงกระชากตัวกู้ซิ่วถิง เมื่อกู้ซิ่วถิงเห็นดังนั้นก็ขมวดคิ้วมุ่นพูดเสียงเข้มว่า มีเรื่องอันใด มู่หรงอานเอ่ยถามท่าทางกระสับกระส่าย จิ่วจ่วนหลิงหลงอยู่ในการครอบครองของตระกูลกู้หรือไม่

กู้ซิ่วถิงตกตะลึง หลุบตาลงตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจว่า ข้าไม่รู้

บอกข้ามาว่าจิ่วจ่วนหลิงหลงและทรัพย์สมบัติที่เหลือของตระกูลกู้อยู่ที่ใด! มู่หรงอานพูดขึ้นน้ำเสียงเฉียบขาด จ้องเขม็ง หากเจ้ายังดื้อรั้นเช่นนี้ มันคงจะไม่ง่ายนักเมื่อพี่หกมาด้วยตัวเอง

แล้วมันจะเป็นอย่างไร กู้ซิ่วถิงมองกลับด้วยสายตาไม่รู้ร้อนรู้หนาว

มู่หรงอานพลันเงียบงัน ที่ผ่านมา นี่ถือเป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกเสียใจภายหลังที่กู้อวิ๋นเกอตายไปแบบนั้น แต่ก่อนไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เพียงแค่ยกชื่อของกู้อวิ๋นเกอขึ้นมาอ้างกู้ซิ่วถิงก็ยอมจำนนเชื่อฟังแล้ว แต่หลังจากที่กู้อวิ๋นเกอตายไป กู้ซิ่วถิงก็ราวกับไม่สนใจสิ่งใดอีกแล้ว คนที่ไม่สนใจแม้แต่ชีวิตของตัวเองจะสนใจคนอื่นหรือสิ่งของได้อย่างไร

ถ้าหากข้ายกชื่อของมู่ชิงอีขึ้นมาข่มขู่เจ้า จะมีประโยชน์หรือไม่ มู่หรงอานกล่าวขึ้นอย่างโกรธเคือง

กู้ซิ่วถิงเลิกคิ้วขึ้นและยิ้มอย่างเย็นชา เจ้าลองดูก็ได้

เจ้าไม่ต้องการมีชีวิตอยู่แล้วจริงๆ น่ะหรือ

ไม่ ข้าต้องการมีชีวิตอยู่ กู้ซิ่วถิงปฏิเสธขึ้น หากข้าตายไปเช่นนี้ ข้าจะมีหน้าไปพบท่านปู่ ท่านพ่อ ท่านแม่และเกอเอ๋อร์ในยมโลกได้อย่างไร

งั้นเจ้า…

กู้ซิ่วถิงนั่งลงอีกครั้ง เปิดม้วนหนังสือพร้อมเอ่ยว่า ที่เจ้าถามมานั้นข้าไม่รู้ ข้าไม่เคยเห็นจิ่วจ่วนหลิงหลงเลยสักครั้ง

มู่หรงอานสูดลมหายใจพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นว่า เพียงแค่เจ้าพูดออกมา ข้าจะยอมปล่อยเจ้าไป

กู้ซิ่วถิงที่อ่านหนังสืออยู่พลันชะงักงัน พูดเบาๆ ว่า ข้าต้องใช้เวลานึกสักหน่อย เวลาผ่านมานานเกินไป…ข้าลืมไปตั้งนานแล้ว

มู่หรงอานกำชับ เจ้ามีเวลาแค่สองวันเท่านั้น

กู้ซิ่วถิงไม่ได้พูดอะไรอีกทำราวกับว่าไม่ได้ยิน ที่ด้านหลัง แววตาที่มืดครึ้มของมู่หรงอานส่องประกายความไม่พอใจ

ไม่ว่าอย่างไร…ก็ไม่ปล่อยเจ้าไปแน่!

เมื่อมองดูทิวทัศน์ที่สวยวิจิตรตระการตาภายนอกหน้าต่างแล้ว ดวงตาของกู้ซิ่วถิงก็มีความกังวลใจอยู่เล็กน้อย

ชิงอี…เจ้าคิดที่จะทำสิ่งใดกัน

คุณหนู ท่านปล่อยข่าวออกไปเช่นนี้ คุณชายใหญ่จะตกอยู่ในอันตรายนะขอรับ! ภายในศาลาชิงอาน เฝิงจื่อสุ่ยมองไปยังมู่ชิงอีอย่างวิตกกังวลพร้อมพูดขึ้นอย่างเคร่งขรึม เฝิงจื่อสุ่ยตกใจอย่างมาก จู่ๆ เขาก็ได้ยินข่าวแพร่กระจายอยู่ในเมืองหลวงที่โผล่ขึ้นมาอย่างกะทันหัน หลายปีที่ผ่านมานี้ เฝิงจื่อสุ่ยคาดเดาได้นานแล้วว่าเหตุใดกงอ๋องจึงกักตัวคุณหนูใหญ่และคุณชายใหญ่เอาไว้ไม่ปล่อยไปและก็ไม่ฆ่าทิ้ง…คุณหนูใหญ่ไม่อยู่แล้ว หากไม่มีข่าวลืออื่นใดที่เกี่ยวข้องกับตระกูลกู้ คุณชายใหญ่จะต้องมีโอกาสได้รับการช่วยเหลือในสักวันหนึ่งอย่างแน่นอน แต่ในตอนนี้กลับมีข่าวลือนี้แพร่ออกมา ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันจะไปกระตุ้นให้กงอ๋องตื่นตัวในทันที ถึงเวลานั้นหากต้องการที่จะช่วยคุณชายใหญ่ก็จะยิ่งยากขึ้นไปอีก

ตอนต่อไป

หวนคืนชะตาแค้น

หวนคืนชะตาแค้น

Status: Ongoing
ความงาม…ไหวพริบ… ล้วนเป็นหมากในเกมกระดานของนาง เพื่อช่วยเหลือพี่ชายและกอบกู้ตระกูล แม้หัวใจนางก็พร้อมยอมแลก!ในเมื่อสวรรค์ต้องการให้ข้ามีชีวิตอยู่…ความแค้นและความเกลียดชังเอย…แม้ตายเก้าครั้งก็ยากจะลืมเลือน…ความยุติธรรมหมดไป…เหตุใดแคว้นยังไม่สูญสิ้น? ตั้งแต่นี้ต่อไป ข้าคือมู่ชิงอีและคือกู้อวิ๋นเกอด้วยเช่นกันจากหญิงสาวผู้เพียบพร้อมด้วยรูปโฉมและยศฐากลับร่วงหล่นสู่โคลนตมเพราะแผนร้ายของคนใกล้ตัวบ้านแตกสาแหรกขาด เสียทั้งเพื่อนสนิทและคู่หมั้นไปในคราวเดียวในงานประมูลคืนแรกของตน หญิงสาวฝังคมมีดลงบนร่างศัตรูและเผาร่างในกองเพลิงเมื่อฟื้นตื่นมาอีกครั้งนางกลับกลายเป็น มู่ชิงอี ญาติผู้น้องผู้อ่อนแอไปเสียแล้วเมื่อได้มีชีวิตกลับมาอีกครั้งนางจะทวงทุกสิ่งที่เคยเป็นของตนคืนมาคืนความยุติธรรมให้ตระกูลกู้ด้วยสองมือของนางเอง!“ตั้งแต่นี้ต่อไป ข้าคือมู่ชิงอีและคือกู้อวิ๋นเกอด้วยเช่นกัน ความอยุติธรรมทั้งหลายข้าจะคืนมันกลับไปทั้งหมด!”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท