มู่ชิงอีถือถ้วยน้ำชาด้วยมือสองข้างพร้อมทั้งยิ้มเบาๆ ท่านเฝิงไม่ต้องรีบร้อนไป พี่ใหญ่จะยังไม่เป็นอะไรแน่นอน ตอนนี้ท่านเฝิงช่วยข้ากระจายข่าวออกไปอีกสักหน่อยเถิด แม้ว่าจะมีข้อสงสัยอยู่บ้างแต่เฝิงจื่อสุ่ยยังคงกล่าวด้วยความเคารพ เชิญคุณหนูสั่งมาได้เลยขอรับ…
มู่ชิงอียกเปิดฝาถ้วยด้วยมือข้างหนึ่ง จิบชาแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า พญามังกรก่อกำเนิด หลิงหลงปรากฏ ผู้มีความสามารถทั่วหล้าได้ครอบครองจิ่วจ่วนหลิงหลง ข้าต้องการเห็นจิ่วจ่วนหลิงหลงถูกมอบให้กับผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสม
เฝิงจื่อสุ่ยขมวดคิ้ว เช่นนี้…หากตัวตนของคุณหนูถูกเปิดเผย…
มู่ชิงอีเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม ไม่ ข้าได้ตระเตรียมแผนการไว้แล้ว ข้าจะไม่ปรากฏตัวขึ้นในยามนั้น ท่านเฝิงเพียงแค่ต้องช่วยข้ากระจายข่าว เฝิงจื่อสุ่ยพยักหน้ารับคำสั่งพร้อมเอ่ยถามขึ้น คุณสมบัตินั้นหมายถึงสิ่งใดหรือขอรับ
มู่ชิงอียิ้มและพูดว่า ผู้ใดจ่ายเงินมากที่สุดผู้นั้นก็มีอำนาจมากที่สุด หรือผู้ใดมีคุณูปการด้านการทหารที่แข็งแกร่ง…ใครจะไปรู้เล่า
คุณหนูต้องการทำให้เมืองหลวงวุ่นวายหรอกหรือ
มู่ชิงอียกยิ้ม กล่าวขึ้นว่า ยิ่งวุ่นวายยิ่งดี
ถือโอกาสพลอยผสมโรงไปด้วย เฝิงจื่อสุ่ยเป็นคนฉลาด ในไม่ช้าเขาก็เข้าใจว่ามู่ชิงอีหมายถึงอะไร มู่ชิงอีพยักหน้าแล้วกล่าวว่า ลำบากท่านแล้ว เฝิงจื่อสุ่ยคำนับพร้อมเอ่ยขึ้น ข้าน้อยไม่กล้า ล้วนเป็นเรื่องที่ข้าน้อยต้องจัดการ จริงสิ ข้างกายคุณหนูคงไม่มีผู้ใดที่สามารถคุ้มครองความปลอดภัยของคุณหนูได้ ไม่ทราบว่าต้องการให้ข้าน้อยจัดคนไปสักสองสามคนหรือไม่
มู่ชิงอีส่ายหัวแล้วกล่าวว่า ช่างเถิด หากจู่ๆ ข้างกายปรากฏยอดฝีมือขึ้นจะดูน่าสงสัยเกินไป ในจวนหนิงอ๋องและจวนกงอ๋องมีคนของพวกเราแฝงไว้อยู่หรือไม่ เฝิงจื่อสุ่ยพยักหน้า เอ่ยขึ้นอย่างรู้สึกผิด แต่น่าเสียดายที่คนพวกนั้นไม่สามารถเข้าถึงตัวคุณชายใหญ่ได้ เขาต้องการที่จะช่วยคุณชายใหญ่และคุณหนูใหญ่กลับมาโดยตลอด แน่นอนว่าเขาจึงต้องให้ความสำคัญกับจวนทั้งสองของกงอ๋องและหนิงอ๋อง เพียงแต่น่าเสียดายที่มู่หรงอานจับตาดูคุณชายใหญ่ทุกฝีก้าว คนนอกนั้นจึงไม่มีทางเข้าไปใกล้ได้เลย
ไม่ต้องรีบร้อน ที่พี่ใหญ่อยู่นั้นข้าจะคิดหาทางเอง ส่วนทางฝั่งจวนกงอ๋องนั้นไปคิดหาหนทางที่จะผูกข้าเข้ากับจูหมิงเยียน แต่หากผูกมัดนางไม่ได้ล่ะก็…ให้แสร้งลอบสังหารนาง แต่ไม่จำเป็นต้องฆ่านางจริงๆ แค่ทำให้นางตกใจกลัวก็พอ มู่ชิงอีเอ่ยกำชับ เฝิงจื่อสุ่ยไม่ได้ตั้งคำถามกับแผนการของมู่ชิงอีอีกต่อไปพร้อมกับพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง
ต้องการช่วยเหลือคุณชายใหญ่ซึ่งได้รับการคุ้มกันโดยทหารที่แข็งแกร่งในจวนอ๋องนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพียงแต่ต้องทำให้พระชายากงหวาดกลัวมากจนกระทั่งเกิดโอกาส จะทำให้สัมฤทธิ์ผลก็ต้องวางแผนอย่างรอบคอบ
มู่ชิงอียืนขึ้นพร้อมกล่าวว่า เช่นนั้นก็รบกวนท่านเฝิงแล้ว ข้าขอตัวกลับก่อน
คุณหนู… เฝิงจื่อสุ่ยลังเลอยู่ครู่หนึ่ง อดไม่ได้ที่จะถามขึ้น ข้าน้อยจำไม่ได้ว่าตระกูลกู้นั้นมีจิ่วจ่วนหลิงหลงอยู่นะขอรับ ตระกูลกู้มีสิ่งของใดหรือไม่มีสิ่งของใดอยู่ เฝิงจื่อสุ่ยเริ่มไม่ค่อยชัดแจ้งแล้ว
หากจะบอกว่ากู้เซียงแอบซ่อนสิ่งอื่นไว้อีก ถ้าแม้แต่คุณชายใหญ่และคุณหนูใหญ่ก็ยังไม่รู้แล้วมู่ชิงอีซึ่งมีฐานะเป็นเพียงลูกพี่ลูกน้องจะรู้ได้อย่างไรเล่า แม้กระทั่งยังมีคนพูดกันว่าสิ่งที่เรียกว่าจิ่วจ่วนหลิงหลงนั้นเดิมทีไม่มีอยู่จริง
ซึ่งตลอดมานี้เฝิงจื่อสุ่ยในใจก็แอบเชื่อคำพูดนี้
มู่ชิงอีมองย้อนกลับไปพร้อมยิ้มพราวเสน่ห์ ใช่ พวกเราไม่มี แต่…ผู้ใดจะไปรู้ได้เล่า
เฝิงจื่อสุ่ยเงียบงัน
ถูกแล้ว ตระกูลกู้มีหรือไม่มีผู้ใดจะรู้ได้ อย่าว่าแต่จิ่วจ่วนหลิงหลงนั้นได้สาบสูญไร้ร่องรอยไปกว่าสามร้อยปีแล้ว ต่อให้มันยังอยู่ในมือของใครสักคน ตราบใดที่คนผู้นั้นไม่ได้สติฟั่นเฟือนก็คงจะไม่ออกมายอมรับแน่นอน
จิ่วจ่วนหลิงหลง?
ภายในเรือนพักสถานทูตแคว้นเย่ว์ หรงจิ่นเอนกายอย่างเกียจคร้านบนตั่งนุ่มเงยหน้ามองขึ้นไปที่ตวนอ๋องหรงเหยี่ยนซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเขา ที่ด้านข้างของเขายังมีองค์หญิงไหวหยางนั่งอยู่ องค์หญิงไหวหยางเหลือบมองหรงจิ่นอยู่ไกลๆ เห็นได้ชัดว่านางไม่พอใจกับท่าทีที่เกียจคร้านและไร้มารยาทนี้ แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดนางจึงได้กดความไม่พอใจกลับเอาไว้ภายในอีกครั้ง
หรงจิ่นเพียงมองไปที่หรงเหยี่ยนและเอ่ยว่า มันคือสิ่งใดกัน บนใบหน้าที่แฝงไปด้วยรอยยิ้มของหรงเหยี่ยนพลันแข็งทื่อขึ้นเล็กน้อยพร้อมพูดเบาๆ น้องเก้าล้อข้าเล่นแล้ว เจ้าจะไม่รู้ว่าจิ่วจ่วนหลิงหลงคือสิ่งใดได้อย่างไรกัน
หรงจิ่นพยักหน้าเอ่ยว่า แน่นอนว่าข้ารู้ว่ามันคือสิ่งใด สิ่งที่ข้าต้องการจะถามก็คือ ถึงจะเป็นจิ่วจ่วนหลิงหลงแล้วอย่างไร เกี่ยวข้องอันใดกับพวกเรา หรือจะบอกว่า…พี่สี่สนใจมัน?
หรงเหยี่ยนยิ้มและเอ่ยขึ้น น้องเก้าล้อข้าเล่นอีกแล้ว ความหมายของพี่สี่คือหากพวกเราสามารถได้รับจิ่วจ่วนหลิงหลงไปถวายแก่เสด็จพ่อได้ล่ะก็ พวกเราจะได้เป็นพี่น้องที่มีจิตใจกตัญญู เสด็จพ่อจะต้องทรงพอพระทัยมากเป็นแน่
องค์หญิงไหวหยางยังกล่าวเสริมอีกว่า ที่พี่สี่พูดมานั้นถูกต้อง พี่เก้า เสด็จพ่อทรงรักและทะนุถนอมท่านที่สุด หรือว่าท่านไม่อยากให้เสด็จพ่อทรงมีความสุขหรือเพคะ
ริมฝีปากบางของหรงจิ่นยกขึ้นเล็กน้อย ใบหน้าหล่อเหลาดูมีเสน่ห์มากกว่าหรงเหยี่ยนสองสามส่วน ถึงแม้ว่าจะมองเห็นพี่ชายจนคุ้นชินแล้วแต่องค์หญิงไหวหยางก็อดไม่ได้ที่จะหน้าแดงและตกตะลึงอยู่ตรงนั้น หรงจิ่นลุกขึ้นนั่ง เอียงศีรษะมองทั้งสองคนอยู่นานก่อนจะพูดขึ้นว่า เสด็จพ่อไม่ได้บอกว่าครั้งนี้ล้วนต้องเชื่อฟังพี่สี่ไม่ใช่หรือ ในเมื่อพี่สีมีใจกตัญญูเช่นนี้ น้องชายก็ขอให้พี่สี่ประสบความสำเร็จ ข้าเหนื่อยนิดหน่อย ขอตัวกลับไปพักผ่อนที่ห้องก่อน
หรงเหยี่ยนเบิกตากว้างด้วยแววตาอันเยือกเย็นแต่ใบหน้าของเขาไม่เปลี่ยนไปสักนิด ยิ้มเล็กน้อยและเอ่ยขึ้น ในเมื่อเป็นเช่นนี้ น้องเก้า…เจ้ารีบกลับไปพักผ่อนเถิด
เมื่อมองดูหรงจิ่นออกไปแล้ว สีหน้าขององค์หญิงไหวหยางก็เริ่มมืดมน พี่สี่ ท่านดูเขาสิ ดูท่าทางของเขาสิ เขาไม่เคยเห็นพวกเราอยู่ในสายตาเลย!
เอาล่ะ หรงเหยี่ยนขมวดคิ้วเล็กน้อย ใช่ว่าเจ้าเพิ่งจะได้รู้จักนิสัยของเขาในวันนี้เสียหน่อย องค์ชายเก้านั้นไม่ง่ายเลยที่จะคบค้าสมาคมด้วย กล่าวได้ว่าเป็นที่รู้กันทั่วทั้งเมืองหลวงของแคว้นเย่ว์ บังเอิญว่าสุขภาพของเขาไม่ค่อยจะดี พระบิดาจึงโปรดปรานเขา ทั่วทั้งเมืองหลวงจึงไม่มีผู้ใดกล้ายุแหย่เขา
เจ้าคนขี้โรคนั่นชีวิตช่างยืนยาวนัก! เหตุใดเขาถึงไม่ตายไประหว่างเดินทาง! องค์หญิงไหวหยางพูดสาปแช่งอย่างขุ่นเคือง จะโทษจิตใจริษยาขององค์หญิงไหวหยางก็ไม่ได้ ปัจจุบันนี้ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ถูกมองว่าเป็นคนใจร้ายและเจ้าอารมณ์ แต่ไหนแต่ไรมาทรงปฏิบัติต่อพระโอรสและพระธิดาโดยไม่เสแสร้งมีเพียงองค์ชายเก้าที่ฮ่องเต้ทรงรักใคร่โปรดปราน มารดาผู้ให้กำเนิดคือเหมยกุ้ยเฟยที่จากไปก่อนวัยอันควร แต่หรงจิ่นผู้นี้มีนิสัยใจคอที่แปลกประหลาด ไม่ค่อยจะสนใจใคร แม้แต่องค์หญิงองค์ชายกว่าสิบพระองค์ในวังล้วนต่างพากันไม่มีผู้ใดเลยที่ไม่รังเกียจเขา
องค์ชาย องค์หญิงหกทรงทำเกินไปแล้วนะเพคะ! ในระเบียงทางเดินที่คดเคี้ยว สาวน้อยชิงเอ๋อร์ที่ติดตามหรงจิ่นเอ่ยขึ้นอย่างไม่เป็นธรรม
หรงจิ่นหันศีรษะกลับไปกวาดตามองนางแล้วเอ่ยขึ้น เช้าวันพรุ่งนี้ เจ้ากลับไปที่แคว้นเย่ว์
เมื่อได้ยินเช่นนี้ สาวน้อยชิงเอ๋อร์ก็อดไม่ได้ที่จะนิ่งชะงักไปครู่หนึ่ง หลังจากฟื้นคืนสติแล้วจึงหันไปมองหรงจิ่นอย่างตื่นตระหนก องค์ชาย…ชิงเอ๋อร์…ชิงเอ๋อร์ทำสิ่งใดผิดหรือเพคะ หรงจิ่นขมวดคิ้วและเอ่ยว่า อีกอย่าง…เปลี่ยนชื่อของเจ้าเสีย หลังจากพูดจบ หรงจิ่นก็เดินไปที่ห้องของเขาโดยไม่สนใจเสียงเรียกอ้อนวอนขอร้องจากสาวน้อยชิงเอ๋อร์ที่ทรุดนั่งอยู่บนพื้น
ชิงเอ๋อร์นั่งลงกับพื้น ในใจไม่รับรู้สิ่งใด
นางเพียงแต่ได้ยินองค์หญิงหกสาปแช่งองค์ชาย ดังนั้นจึงร้องความยุติธรรมเพื่อเขา เหตุใดนางจึงถูกองค์ชายขับไล่กันเล่า ยิ่งไปกว่านั้นยังให้นางเปลี่ยนชื่อของตนอีก
นามชิงเอ๋อร์นี้ได้รับพระราชทานจากองค์ชายเมื่อปีนั้นที่นางได้ติดตามพระองค์ นางจำได้เสมอว่าวันนั้นนางสวมเสื้อผ้าสีฟ้าคราม องค์ชายได้บอกออกมาทันทีว่านางจะถูกเรียกว่าชิงเอ๋อร์ แม้ว่าจะเป็นเพียงชื่อที่พระองค์บอกอย่างไม่ใส่ใจ แต่ชิงเอ๋อร์ก็รู้สึกเป็นเกียรติและยินดีเป็นอย่างยิ่ง ตั้งแต่นั้นนางก็สวมเพียงแต่ชุดที่มีสีฟ้าครามเท่านั้น
องค์ชาย… หรงจิ่นกลับมาภายในห้อง องครักษ์ที่ด้านหลังลังเลใจเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยขึ้นเบาๆ
ตอนต่อไป