ใต้ตั่งนั่ง อนุซุนที่กำลังกล่าวอย่างจริงจังอดไม่ได้ที่จะผงะ มองไปที่หญิงสาวในชุดสีชมพูเหลืองแล้วกล่าวว่า หลวนเอ๋อร์…เหตุใดจึงเป็นความผิดของพวกเราได้ หญิงสาวในชุดสีชมพูเหลืองคือพระสนมโหรวเฟยคนปัจจุบัน ผู้แรกที่ได้ขึ้นเป็นใหญ่ในพระตำหนักหวาหยางก็คือมู่เฟยหลวน บุตรีคนโตของจวนซู่เฉิงโหว
มู่เฟยหลวนไม่พอใจเล็กน้อย เอ่ยเบาๆ ว่า น้องหญิงสี่เป็นคนซื่อตรงเช่นนี้มาตั้งหลายปีแล้ว เหตุใดพวกท่านจึงต้องไปยั่วยุนางด้วยเล่า ผ่านไปอีกสักปีสองปีก็เพียงเลือกสักตระกูลเพื่อให้นางออกเรือน หากท่านแม่เกรงว่านางจะสร้างปัญหา ก็แค่เลือกตระกูลที่มีภูมิหลังย่ำแย่เสียหน่อย วิธีคดเคี้ยวเช่นนี้ก็คงเพียงพอแล้ว…ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดน้องรองถึงต้องเลือกทางเดินที่ทำร้ายตัวเองเช่นนั้น อีกทั้งน้องหญิงสี่ก็อยู่อย่างลำพังตัวคนเดียวจะสามารถทำเรื่องเช่นนั้นได้อย่างไรกัน
มีร่องรอยของความไม่พอใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของอนุซุน แม้ว่าจะไม่มีหลักฐานใดๆ แต่นางและมู่หลิงได้ตัดสินใจเอาไว้แล้วว่ามู่ชิงอีต้องเป็นคนวางแผนเรื่องนี้อย่างแน่นอน
เมื่อเห็นสีหน้าของมารดาตัวเอง มู่เฟยหลวนก็ต้องถอนหายใจแล้วกล่าวว่า ไม่เป็นไร อีกเพียงสองวันก็จะเป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพของโอรสสวรรค์แล้ว ฝ่าบาททรงสัญญาว่าจะนำข้าไปด้วย เมื่อถึงเวลา…ข้าจะเรียกน้องหญิงสี่มาเพื่อสนทนา
พระชายามีเรื่องใดจะต้องสนทนากับหญิงผู้นั้น เหตุใดจึงไม่กล่าวตรงๆ… อนุซุนกล่าว
พูดตรงๆ เช่นนั้นหรือ มู่เฟยหลวนเอ่ยว่า เป็นไปได้หรือไม่ว่าท่านแม่ต้องการให้ข้าลงมือฆ่านาง? ยังไม่นับเรื่องที่ว่านางเป็นถึงบุตรีที่เกิดจากฮูหยินของจวนซู่เฉิงโหว แม้แต่บ่าวธรรมดาก็ยังต้องหาเหตุผลที่เหมาะสมในการสิ้นชีพ แต่หากจะใช้เพียงเหตุผลส่วนตัวนั้น เหตุใดท่านแม่ยังจะต้องมองหาข้าด้วยเล่า
ใบหน้าที่ได้รับการดูแลอย่างดีของอนุซุนประเดี๋ยวก็เขียวประเดี๋ยวก็ขาว เป็นเพราะตนหาทางฆ่านังสารเลวผู้นี้ในจวนไม่ได้ จึงมาที่วังหลวงเพื่อร้องขอความช่วยเหลือจากบุตรี แต่เมื่ออนุซุนเห็นท่าทางที่ไม่พอใจของบุตรี ก็กล่าวอย่างไม่เต็มใจว่า เหตุที่แม่พะว้าพะวงยิ่งนัก ก็เพราะว่าเมื่อตอนสะใภ้จัง…
ท่านแม่! สีหน้าของมู่เฟยหลวนเปลี่ยนไปทันที ก่อนที่จะเอ่ยอย่างเคร่งขรึม
อนุซุนสะดุ้งโหยง มู่เฟยหลวนมักจะพูดจาอย่างนิ่มนวลต่อหน้าตน แม้ว่านางจะเป็นพระสนมของฮ่องเต้ก็ไม่เคยพูดจาเสียงดังและน้ำเสียงเคร่งเครียดอย่างกะทันหันเช่นนี้ จึงทำให้อนุซุนตกตะลึงจนไม่สามารถโต้ตอบได้ไปครู่หนึ่ง
สีหน้าของมู่เฟยหลวนดูไม่ดีนัก นางยืนขึ้นและจับจ้องไปที่อนุซุนจากนั้นจึงกล่าวว่า ท่านแม่ อย่าได้เอ่ยถึงคนผู้นั้นอีก โปรดจำไว้! ไม่เช่นนั้น หากเกิดเรื่องอันใดขึ้น ข้าก็ไม่สามารถช่วยท่านได้
อนุซุนนิ่งไปชั่วครู่ นางรู้สึกไม่เห็นด้วยอยู่บ้าง แต่เมื่อเห็นท่าทางเย็นชาที่หาได้ยากของบุตรีของตน จึงพยักหน้าตอบรับ สิ่งที่อนุซุนรู้เกี่ยวกับเหตุการณ์ในยามนั้นไม่ชัดเจน มู่ฮูหยินผู้เฒ่ารับผิดชอบจวนซู่เฉิงโหว มู่ฉังหมิงและมู่เฟยหลวนเองก็เงียบเช่นกัน อนุซุนรู้เพียงว่าสะใภ้จังสิ้นชีพอย่างแปลกประหลาด ซึ่งนางไม่ทราบรายละเอียดเลยแม้แต่น้อย
มู่เฟยหลวนสงบลงแล้วกล่าวด้วยใบหน้าที่นิ่งสงบว่า เรื่องของน้องหญิงสี่ข้าทราบแล้ว ข้าจะจัดการเองเมื่อถึงเวลา แต่ท่านแม่และน้องรองก็ไม่ควรกระทำการโดยประมาทไม่ว่าจะกรณีใดๆ ก็ตาม เพราะน้องหญิงสี่ยังคงเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของท่านพ่อ หากให้ท่านพ่อทราบเข้า เขาจะให้อภัยพวกท่านได้อย่างไร เมื่อถึงเวลานั้น อาจจะกลับกลายเป็นต้องบอกลาผู้อื่นอย่างน่าเวทนาแทน
อนุซุนพยักหน้ารับและตอบตกลง
มู่เฟยหลวนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า ส่วนเรื่องของน้องรอง ให้เขาเรียนรู้หนังสืออยู่ที่จวน รอเมื่อผ่านไปแล้วสักระยะหนึ่ง ข้าจะหาทางเอ่ยกับฝ่าบาทเพื่อขอให้ถอดถอนบทลงโทษนั้น
เมื่อได้ยินเช่นนี้ อนุซุนก็ดีใจเป็นอย่างมาก หลิงเอ๋อร์ยังคงมีพระสนมอยู่เคียงข้าง
เมื่อเห็นท่าทางปิติยินดีของอนุซุน ความเย้ยหยันเจือความโศกเศร้าก็ปรากฏขึ้นในดวงตาของมู่เฟยหลวน
ตนรู้เสมอมาว่าผู้ที่สำคัญที่สุดในหัวใจของท่านแม่นั้นคือน้องรอง ก่อนที่นางจะเข้าวัง ทุกคนต่างบอกว่าคุณหนูใหญ่เป็นหญิงสาวที่ได้รับความโปรดปรานมากที่สุดในจวนซู่เฉิงโหว แต่ตนรู้ดีว่าหากเป็นเรื่องของน้องรองแล้วท่านแม่จะละทิ้งนางและน้องหญิงสามโดยไม่ลังเล เพียงเพราะน้องรองเป็นบุตรชาย ที่ท่านแม่หวังจะเป็นที่พึ่งในภายภาคหน้า
นางก้มศีรษะลงและลูบหน้าท้องที่แบนราบ มู่เฟยหลวนยิ้มเล็กน้อย
แต่ก็ถูกต้องแล้วไม่ใช่หรือ บุตรชายนั้นสำคัญที่สุดในหัวใจของมารดาทุกคนเสมอ หากนางสามารถให้กำเนิดบุตรชายได้ ฮ่องเต้จะทรงแต่งตั้งนางเป็นกุ้ยเฟยอย่างแน่นอน เมื่อถึงเวลานั้น…
มู่เฟยหลวนหรี่ตาลงพลางคิดคำนวณในใจก่อนจะกล่าวเบาๆ ว่า ท่านแม่กลับไปแจ้งกับท่านพ่อและท่านย่าเถิด บางทีในอีกหกหรือเจ็ดเดือนนี้ เขาก็จะได้เป็นท่านตาแล้ว
อนุซุนตกตะลึง หลังจากไตร่ตรองแล้ว ดวงตาของนางก็จับจ้องไปยังท้องของบุตรีโดยทันทีพลางประสานมือของนางเข้าด้วยกันแล้วกล่าวอย่างปิติยินดีว่า พระสนม…พระสนมทรงพระครรภ์จริงๆ หรือ
มู่เฟยหลวนพยักหน้ารับอย่างเขินอายแล้วกล่าวว่า ใช่ เมื่อเช้านี้เพิ่งจะได้รับการยืนยันจากหมอหลวง แม้แต่ฝ่าบาทก็ยังไม่ทราบด้วยซ้ำ
นี่…เหตุใดพระสนมถึงไม่บอกข่าวดีกับฝ่าบาทเล่า
มู่เฟยฟลวนกล่าวด้วยรอยยิ้มบางว่า ข้าจะบอกกล่าวกับฝ่าบาทด้วยตัวเอง เพื่อให้ฝ่าบาททรงแปลกพระทัย
พระสนมที่รักมีเรื่องอันใดให้เราแปลกใจเช่นนั้นหรือ เสียงชายวัยกลางคนดังขึ้นมาจากนอกประตูห้อง ชายวัยกลางคนผู้นั้นสวมอาภรณ์มังกรสีเหลืองสดใสก็เดินเข้ามา ปีนี้ฮ่องเต้แคว้นหวาถือว่าอายุไม่น้อยแล้ว แต่เป็นเพราะว่าเขาได้รับการดูแลเป็นอย่างดี อีกทั้งด้วยฐานะฮ่องเต้ จึงได้ใช้ชีวิตอย่างมั่งคั่งและสุขสบาย ทำให้เขานั้นดูไม่แก่ชราเลยแม้แต่น้อย ดูราวกับคนอายุประมาณสามสิบเจ็ดสามสิบแปดปีเท่านั้น
ถวายบังคมฝ่าบาท! เฟยหลวนและอนุซุนลุกขึ้นคำนับ
ฮ่องเต้แคว้นหวานั้นทรงโปรดปรานมู่เฟยหลวนเป็นอย่างมาก เขาก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วเพื่อช่วยประคองนางให้ลุกขึ้นแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า พระสนมที่รักไม่ต้องมากพิธี เมื่อครู่พระสนมที่รักเพิ่งจะกล่าวว่าจะทำให้เราแปลกใจใช่หรือไม่
มู่เฟยหลวนมีรอยยิ้มบนริมฝีปากของนางแล้วกล่าวอย่างเขินอายว่า ขอฝ่าบาทโปรดประทานอภัย หม่อมฉันห้ามปรามหมอหลวงไม่ให้ทูลรายงานฝ่าบาท หม่อมฉัน…หม่อมฉันตั้งครรภ์ได้สองเดือนแล้วเพคะ…
ฮ่องเต้รู้สึกแปลกพระทัยแต่ในไม่ช้าก็หัวเราะขึ้นมาอย่างพอใจ ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยมที่สุด
มู่เฟยหลวนกล่าวราวกับเสียใจว่า คราแรกหม่อมฉันต้องการรอจนกว่าจะถึงวันคล้ายวันพระราชสมภพของฝ่าบาทแล้วค่อยทูลรายงานเรื่องนี้ แต่ยามนี้… ฮ่องเต้นำมู่เฟยหลวนไปยังตั่งนั่งพร้อมกับประคองนั่งลงแล้วกล่าวว่า เหลวไหล ยามนี้เราก็ดีใจอย่างมากเช่นกัน เข้ามา ไปนำผ้าเจียวซาสิบพับที่แคว้นเกาจวี้แล้วส่งทั้งหมดมาที่พระตำหนักหวาหยาง
ฝ่าบาท นี่… มู่เฟยหลวนกล่าวอย่างลังเล
ผ้าเจียวซาเป็นผลิตภัณฑ์พิเศษเฉพาะของแคว้นเกาจวี้ มีลักษณะบางและน้ำไม่สามารถซึมผ่านได้ สีสันสดใสภายใต้แสงของดวงตะวันและดวงจันทรา ฤดูหนาวสวมแล้วอบอุ่น ฤดูร้อนสวมแล้วกลับเย็นสบาย ในแต่ละปีแคว้นเกาจวี้ผลิตออกมาได้น้อยกว่าหนึ่งร้อยพับและส่วนใหญ่ถูกนำมามอบให้ราชวงศ์ในแคว้นของตน มีเพียงไม่กี่พับเท่านั้นที่มอบเป็นของกำนัลให้กับแคว้นต่างๆ สำหรับสตรีในวังแล้วความงามนั้นอยู่เหนือทุกสิ่ง เช่นนั้นทันทีที่นางได้รับผ้าเจียวซาสิบพับนี้ ไม่รู้ว่าจะมีผู้คนมากมายเท่าไรที่มองด้วยสายตาอิจฉาที่ฮ่องเต้ทรงกระทำเช่นนี้เพื่อนางเพียงคนเดียวอย่างไม่คาดคิด
ฮ่องเต้กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า เรามอบให้พระสนมที่รัก เจ้าไม่มีความสุขเช่นนั้นหรือ
มู่เฟยหลวนรีบส่ายหัวแล้วกล่าวว่า หม่อมฉันไม่กล้าเพคะ แต่ผ้าเจียวซานั้นล้ำค่า น้องหญิงผู้อื่นนั้นไม่มี แต่ข้ากลับ… ฮ่องเต้ไม่ใส่ใจ ข้าจะมอบให้ผู้ใดก็ได้ตามที่ข้าต้องการ หากเจ้าชอบก็จงใช้มันเพื่อตัวเอง หากเจ้าอยากจะตกให้รางวัลกับผู้อื่น ก็จงตกรางวัลให้ผู้อื่น ตราบใดที่เจ้าให้กำเนิดองค์ชายน้อย เช่นนั้นข้าควรจะเรียกเจ้ากุ้ยเฟยดีหรือไม่
มู่เฟยหลวนรู้สึกปิติยินดีอย่างยิ่ง แม้ว่านางจะวางแผนเลื่อนขั้นเป็นกุ้ยเฟยจากการให้กำเนิดองค์ชายน้อยอยู่แล้ว แต่นั่นก็ไม่ดีไปกว่าการที่ฮ่องเต้ทรงออกปากด้วยตัวเอง ไม่รู้ว่ามีหญิงสาวกี่คนที่ให้กำเนิดองค์ชายแต่ใช่ว่าทุกคนนั้นจะสามารถกลายเป็นกุ้ยเฟยได้ ยกตัวอย่างเช่นมารดาผู้ให้กำเนิดกงอ๋องและหนิงอ๋องที่เป็นพระสนมเพียงผู้เดียวที่ให้กำเนิดองค์ชายถึงสองพระองค์แต่ก็ยังเป็นได้แค่เพียงอวิ๋นเฟย
ตอนต่อไป