หวนคืนชะตาแค้น – ตอนที่ 69 การหายตัวไปของพระชายากง (1)

หวนคืนชะตาแค้น

ในไม่ช้ามู่ชิงอีก็พบกล่องจากด้านในจึงรีบโยนมันให้กับมู่หรงอาน ท่าทางราวกับว่านางเกรงกลัวจึงโยนมันทิ้งไปราวกับในกล่องนั้นมีสัตว์ประหลาดที่กินเลือดกินเนื้ออยู่ก็ไม่ปาน

มันเป็นกล่องที่ค่อนข้างเก่าและดูธรรมดา หากวางไว้ในห้องทั่วไปก็คงไม่มีผู้ใดสนใจจะเคลื่อนย้ายมันอย่างน้อยสามถึงห้าปี

นี่คือสิ่งที่สะใภ้จังให้ความสำคัญมากเช่นนั้นหรือ

มู่หรงอานเปิดกล่องออกเพื่อดูสิ่งที่อยู่ภายในแต่ไม่ได้นำมันออกมาโดยตรง ก่อนที่จะปิดมันลงอีกครั้งแล้วกล่าวกับมู่ชิงอีว่า สิ่งนี้ข้าจะเป็นผู้นำไปเอง แต่อย่าได้โกหกข้าผู้นี้จะดีกว่า ถ้าหาก…ข้าอยู่ข้างนอกได้ยินข่าวลืออะไรแล้วล่ะก็…

มู่ชิงอีกัดฟันกรอดแล้วกล่าวว่า ท่านนำมันไปเถิด หม่อมฉันจะไม่บอกกับผู้อื่น หม่อมฉันก็ไม่รู้ว่ามันหน้าตาเป็นเช่นไร และของสิ่งนี้ก็ไม่สำคัญกับหม่อมฉันตามที่ท่านพูด…พี่ใหญ่ลูกพี่ลูกน้องชายต้องได้รับการช่วยชีวิตเพคะ

มู่หรงอานชำเลืองมองนางอย่างดูถูกแล้วกล่าวว่า ข้าจะเป็นผู้ตัดสินใจเอง!

หลังจากเอ่ยออกมาแล้ว มู่หรงอานก็เลิกสนใจมู่ชิงอี เก็บของแล้วหันหลังเดินออกไป หากเป็นไปได้โดยปกติแล้วเขาคงหวังที่จะสังหารมู่ชิงอี เนื่องจากก็ไม่ค่อยชมชอบมู่ชิงอีผู้นี้อยู่แล้ว แต่ประการแรก มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะเป็นญาติที่เหลืออยู่ของชิงเซวียนโดยที่ไม่นับรวมมู่หรงซี ประการที่สอง ตัวตนของมู่ชิงอีนั้นไม่ได้ดึงดูดความสนใจจากเขามากมาย

เมื่อมองดูมู่หรงอานออกไปแล้ว สีหน้าที่ซึ่งยังคงมีความกังวลและตื่นตระหนกของมู่ชิงอีก็ค่อยๆ จางหายไป อิ๋งเอ๋อร์กล่าวชมเชยว่า คุณหนูนี่ช่างน่าทึ่งจริงๆ ท่านหลอกลวงหนิงอ๋องจนหัวหมุนได้เช่นนี้ แต่…หนิงอ๋องก็โง่งมไปหน่อย ไม่น่าแปลกใจเลยที่เขาเป็นได้แค่ผู้ติดตามกงอ๋องเท่านั้น

มู่ชิงอีกล่าวด้วยรอยยิ้มจางๆ ว่า เขาไม่ได้โง่งม เขาเพียงแค่คิดว่าตนนั้นฉลาดเป็นอย่างมากเท่านั้นเอง โชคดีที่คนอย่างมู่หรงอานไร้ซึ่งความทะเยอทะยาน หากเขามีความทะเยอทะยานเสมือนมู่หรงอวี้ ก็เกรงว่าเขาคงจะสิ้นชีพไปนานแล้ว

เขาจะยอมโดนหลอกลวงหรือไม่เจ้าคะ อิ๋งเอ๋อร์เอ่ยถามอย่างเป็นกังวล

มู่ชิงอีพยักหน้ารับแล้วกล่าวว่า เป็นไปได้ เพราะเขาคงคิดว่ามู่ชิงอีไม่กล้าหลอกลวงเขา แต่…จะให้ผู้คนพยายามก่อกวนสร้างปัญหากับจวนกงอ๋อง แต่ในขณะเดียวกันต้องไม่ทำให้มู่หรงอวี้สังเกตเห็นมู่หรงอานในยามนี้ คงจะยากลำบากไม่น้อยเลย

อิ๋งเอ๋อร์ยกมือขึ้นมาปิดปากแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า สิ่งที่คุณหนูบอกกล่าวกับท่านพ่อของบ่าวก่อนหน้านี้ถูกเตรียมพร้อมหมดแล้ว เหลือเพียงรอคุณหนูออกคำสั่งเจ้าค่ะ นอกจากนี้ กงอ๋องไม่สามารถเป็นอิสระได้ในยามนี้ ดูเหมือนว่าเมื่อวานนี้กงอ๋องจะออกจากวังด้วยสีหน้าที่ดูไม่ดี บ่าวเดาว่าฮ่องเต้จะต้องตรัสถามเกี่ยวกับจิ่วจ่วนหลิงหลงอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ

มู่ชิงอีกล่าวด้วยรอยยิ้มจางๆ ว่า โดยปกติแล้ว มู่หรงอวี้เป็นคนกระทำการรอบคอบแต่เรื่องนี้เขาคงคาดการ์ณไม่ได้ ดูเหมือนว่าความน่าดึงดูดใจของจิ่วจ่วนหลิงหลงนั้นไม่ธรรมดาจริงๆ

หลักจากที่มู่หรงอานเดินออกจากห้องหนังสือ ก็ตรงกลับไปที่จวนหนิงอ๋องโดยทันที เมื่อเปิดกล่องที่ค่อนข้างเก่าไม่โดดเด่นนี้แล้ว เขาก็หยิบสิ่งของหนึ่งออกมาอย่างระมัดระวัง ลักษณะดูเหมือนหรูอี้สั่ว[1]ที่สมัยเด็กๆ พวกคุณหนูคุณชายมีฐานะชอบพกพาไม่มีสิ่งใดพิเศษ แต่มู่หรงอานเติบโตในวังหลวง เขาชอบกิน ดื่ม และสนุกสนานมากกว่าการต่อสู้เพื่ออำนาจ สมบัติที่แปลกประหลาดเช่นนี้นั้นไม่เคยพบเห็นมาก่อน เมื่อตอนอยู่ที่จวนซู่เฉิงโหวเขาเพียงมองดูเล็กน้อยและพบว่าหรูอี้สั่วนี้เป็นวัตถุกลวงที่ถูกออกแบบมาอย่างประณีตเป็นอย่างมากซึ่งสามารถเปิดได้ด้วยกลไกเท่านั้น ไม่มีสิ่งใดพิเศษเกี่ยวกับกล่องและหรูอี้สั่วนี้

เช่นนั้นสิ่งสำคัญที่ฉินกั๋วฮูหยินกล่าวก่อนที่นางจะสิ้นลมจะต้องถูกซ่อนอยู่ในหรูอี้สั่วนี้อย่างแน่นอน

มู่หรงอานไม่ต้องการเสียเวลาเปิดหรูอี้สั่วจึงทำลายมันโดยตรงอย่างรุนแรง หรูอี้สั่วสีเงินขนาดเล็กไม่แข็งแรงนักจึงถูกเปิดออกด้วยทักษะและกำลังภายในเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

สตรีก็ยังคงเป็นสตรี ไม่มีวิธีที่ชาญฉลาดในการซ่อนสิ่งต่างๆ ช่างโง่เขลา! ความคิดดูถูกเหยียดหยามปรากฏขึ้นบนใบหน้าของมู่หรงอาน

แน่นอนว่ามีผ้าไหมเก่าผืนเล็กๆ ถูกประกบอยู่ในหรูอี้สั่ว มู่หรงอานจึงเปิดอย่างระมัดระวัง แล้วพบว่าในนั้นมีแผนที่อยู่ แม้ว่าหรูอี้สั่วจะเล็กมากแต่ดูเหมือนว่าผ้าไหมนี้จะทำมาจากวัสดุพิเศษหลังจากเปิดออกแล้วมันก็มีความกว้างและความยาวสองชุ่น[2] แผนที่มีรายละเอียดซับซ้อนเป็นอย่างมาก แต่ด้วยความคุ้นเคยกับเมืองหลวง มู่หรงอานจึงศึกษาอยู่เพียงครึ่งชั่วยามเพื่อระบุตำแหน่งที่แน่นอนของสถานที่ที่ทำเครื่องหมายไว้บนแผนที่

สถานที่นั้น…ไม่ไกลจากที่ที่พี่หกกักตัวกู้ซิ่วถิง ในขณะเดียวกัน…ก็อยู่ใกล้กับแม่น้ำหยางหลิ่วที่ไหลไปยังนอกเมืองหลวง สถานที่ที่จะจัดงานฉลองพระราชสมภพของโอรสสวรรค์

มู่หรงอานคิดอย่างรอบคอบในใจว่าเขาสามารถช่วยกู้ซิ่วถิงได้อย่างไรโดยไม่ทำให้พี่หกโกรธเคือง

หากเขาได้รับจิ่วจ่วนหลิงหลงจริงๆ ก็ขอให้พี่หกปล่อยกู้ซิ่วถิงไปได้ แม้ว่าพี่หกจะโมโหแต่ความโมโหนี้ก็คงจะหายไปเองตามกาลเวลา แต่…ก็มีคำถามที่อธิบายไม่ได้ว่า…เขาจะหาจิ่วจ่วนหลิงหลงพบหรือไม่ หากเขาหามันไม่พบก็คงต้องเสี่ยงบุกจวนของพี่หกเพื่อปล้นคน เนื่องจากงานฉลองวันคล้ายวันพระราชสมภพของโอรสสวรรค์ พี่หกคงจะยุ่งมากและไม่มีเวลามาคอยจับตามองเขา

เข้ามา มู่หรงอานเอาผ้าไหมออกแล้วเอ่ยเรียกด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น

พ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง องครักษ์เปิดประตูเข้ามา

มู่หรงอานพึมพำอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ยถามว่า ข้าจำได้ว่า…มีเรือนที่เขาฉังทิงข้างแม่น้ำหยางหลิ่ว ที่นั่นเป็นของผู้ใด องครักษ์ก้มศีรษะลงแล้วนึกขึ้นมาได้ โชคดีที่เรือนนั้นไม่ได้ห่างไกลมากนักและยังมีชื่อเสียงเป็นอย่างมากเขาจึงตอบอย่างรวดเร็วว่า เรียนท่านอ๋อง เรือนชุ่ยเวยนั้นเดิมที…เป็นเรือนของตระกูลกู้ซึ่งเป็นของกู้เซียง…แต่กู้มู่เหยียนขุนนางกบฏได้มอบให้เป็นของขวัญแก่คุณหนูตระกูลกู้เมื่อยามอายุครบสิบสามปี เดิมทีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นสินสอดทองหมั้นของคุณหนูตระกูลกู้ แต่หลังจากที่ตระกูลกู้ถูกยึดทรัพย์ ฮ่องเต้ทรงมอบเรือนนั้นเป็นรางวัลให้อานซีจวิ้นอ๋อง แต่อย่างไรก็ตาม อานซีจวิ้นอ๋องได้ไปปกป้องชายแดนมาเป็นเวลานานแล้ว เช่นนั้น…เรือนหลังนั้นจึงไม่เคยถูกครอบครองพ่ะย่ะค่ะ

เกี่ยวข้องกับตระกูลกู้จริงๆ เช่นนั้นหรือ หัวใจของมู่หรงอานเต้นแรงขึ้น กล่าวราวกับกระซิบว่า คืนนี้เจ้านำคนสองสามคนไปกับข้าที่เรือนชุ่ยเวย แล้วอย่าให้ผู้ใดมารบกวน

องครักษ์ตกใจและลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่เขาจะเอ่ยเตือนว่า ท่านอ๋อง เรือนหลังนั้นมีเจ้าของเป็นอานซีจวิ้นอ๋องแล้ว กระหม่อมเกรงว่าหากเรารีบร้อนเกินไปมันจะไม่ใช่เรื่องดีพ่ะย่ะค่ะ

อานซีจวิ้นอ๋องนั้นแตกต่างจากผิงหนานจวิ้นอ๋อง ผิงหนานจวิ้นอ๋องอยู่เคียงข้างกงอ๋อง ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใดเขาก็จะยอมอดทนเสมอ แต่อานซีจวิ้นอ๋องนั้นมีตำแหน่งทางการทหารที่โดดเด่นเกรงว่าจะมิยอมเสียหน้า และยังน่ากังวลว่าหากท่านอ๋องนำเรื่องนี้ไปทูลฟ้องฮ่องเต้ล่ะก็…

นั่นเป็นเหตุผลที่ข้าบอกเจ้าว่าอย่าให้ผู้ใดมารบกวน มู่หรงอานกล่าวอย่างเย็นชา เขาค่อนข้างจะไม่พอใจกับความโง่เขลาของผู้ใต้บังคับบัญชา

นี่คงจะเป็นการเตรียมการสำหรับสายลับยามวิกาลกระมัง

ท่านอ๋อง ทรงต้องการ…บอกให้กงอ๋องทราบเรื่องนี้สักหน่อยหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ…

ก่อนที่เขาจะกล่าวจบ ดาบอันแหลมคมของมู่หรงอานก็ถูกกวัดแกว่งออกไป องครักษ์จึงหยุดกล่าวและพลันสั่นสะท้านในใจทันที

แม้ว่าเขาจะไม่ใช้อาวุธแต่หนิงอ๋องก็ทรงเป็นถึงบุตรของโอรสสวรรค์ ความยิ่งใหญ่ขององค์ชายผู้นี้ไม่ใช่สิ่งที่ผู้ใดก็สามารถทำให้ขุ่นเคืองได้ตามใจชอบ

ได้ยินเพียงมู่หรงอานเอ่ยอย่างเฉยเมยว่า เจ้าเป็นข้ารับใช้ของข้าหรือของพี่หกกันแน่

กระหม่อมไม่ได้หมายความเช่นนั้น ท่านอ๋องทรงโปรดประทานอภัยให้กระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ! องครักษ์มีท่าทีราวกับวิญญาณจะหลุดออกจากร่าง รีบโน้มตัวลงอย่างรวดเร็วและคุกเข่าขออภัย แม้ว่ากงอ๋องจะเป็นพี่ชายแท้ๆ ก็ตาม แต่ก็เกรงว่าหนิงอ๋องจะไม่พอใจกับการควบคุมที่ดูราวกับว่ากงอ๋องอยู่เหนือกว่าเขา

มู่หรงอานสูดลมหายใจเข้าอย่างเย็นชาแล้วกล่าวว่า ออกไปทำธุระของเจ้าเสีย

พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมขอทูลลา

————————————————-

[1]หรูอี้สั่ว เป็นสิ่งของลักษณะคล้ายจี้ห้อยคอ

[2]ชุ่น หน่วยวัดขนาดของจีน โดย 1 ชุ่น เท่ากับ 1 นิ้ว

ตอนต่อไป

หวนคืนชะตาแค้น

หวนคืนชะตาแค้น

Status: Ongoing
ความงาม…ไหวพริบ… ล้วนเป็นหมากในเกมกระดานของนาง เพื่อช่วยเหลือพี่ชายและกอบกู้ตระกูล แม้หัวใจนางก็พร้อมยอมแลก!ในเมื่อสวรรค์ต้องการให้ข้ามีชีวิตอยู่…ความแค้นและความเกลียดชังเอย…แม้ตายเก้าครั้งก็ยากจะลืมเลือน…ความยุติธรรมหมดไป…เหตุใดแคว้นยังไม่สูญสิ้น? ตั้งแต่นี้ต่อไป ข้าคือมู่ชิงอีและคือกู้อวิ๋นเกอด้วยเช่นกันจากหญิงสาวผู้เพียบพร้อมด้วยรูปโฉมและยศฐากลับร่วงหล่นสู่โคลนตมเพราะแผนร้ายของคนใกล้ตัวบ้านแตกสาแหรกขาด เสียทั้งเพื่อนสนิทและคู่หมั้นไปในคราวเดียวในงานประมูลคืนแรกของตน หญิงสาวฝังคมมีดลงบนร่างศัตรูและเผาร่างในกองเพลิงเมื่อฟื้นตื่นมาอีกครั้งนางกลับกลายเป็น มู่ชิงอี ญาติผู้น้องผู้อ่อนแอไปเสียแล้วเมื่อได้มีชีวิตกลับมาอีกครั้งนางจะทวงทุกสิ่งที่เคยเป็นของตนคืนมาคืนความยุติธรรมให้ตระกูลกู้ด้วยสองมือของนางเอง!“ตั้งแต่นี้ต่อไป ข้าคือมู่ชิงอีและคือกู้อวิ๋นเกอด้วยเช่นกัน ความอยุติธรรมทั้งหลายข้าจะคืนมันกลับไปทั้งหมด!”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท