หวนคืนชะตาแค้น – ตอนที่ 75 เกรงว่าโลกจะไม่โกลาหล (2)

หวนคืนชะตาแค้น

เกิดอะไรขึ้น เกอซูฮั่นเลิกคิ้วขึ้นและมองไปยังญาติผู้น้องที่กำลังใจลอยเคลิบเคลิ้มอยู่ที่ด้านข้างของเขา

หย่งจยาจวิ้นจู่รู้สึกใบหน้าร้อนผ่าว รีบส่ายหัวเพื่อแสดงว่าไม่มีอะไร เกอซูฮั่นเหลือบมองคนด้านข้างของเขาอย่างครุ่นคิด ก่อนที่จะหัวเราะด้วยเสียงทุ้มต่ำ ชายผู้นี้รูปงามยิ่งนัก เพียงแต่ชายรูปงามเช่นนี้ พวกเราชาวเป่ยฮั่นคงยากที่จะควบคุมดูแล

พี่สิบเอ็ด! ใบหน้าของหย่งจยาจวิ้นจู่นั้นขึ้นสีแดงราวกับไฟไหม้ รีบจ้องไปที่เกอซูฮั่นอย่างรวดเร็วจากนั้นก็ก้มหน้าลงเอ่ยเสียงกระซิบ ข้า…ข้าไม่ได้…

เกอซูฮั่นเพียงยกยิ้มจางๆ ไม่ได้เอ่ยสิ่งใด

ห่างไปไม่ไกลนัก ดูเหมือนว่าชายชุดดำที่หลับใหลนั้นลืมตาขึ้นเล็กน้อยและมีประกายแสงเย็นจางๆ ส่องออกมาผ่านดวงตาของเขา

ยังมีเวลาอีกหนึ่งชั่วยามเต็มก่อนที่พิธีจะเริ่มขึ้น โดยปกติแล้วทุกคนจะไม่ได้นั่งเรือมังกรไปกับฮ่องเต้แคว้นหวา ซึ่งฮ่องเต้แคว้นหวาก็ไม่มีความคิดที่จะนั่งเฉยๆ รออยู่ที่นี่เป็นเวลาหนึ่งชั่วยาม ยิ่งไปกว่านั้นก่อนพิธีจะเริ่มขึ้นก็จะต้องอาบน้ำ พรมเครื่องหอม หรือเปลี่ยนเสื้อผ้าอาภรณ์ใหม่อีกครั้ง หลังจากร่ำสุราหนึ่งจอก สนทนากันอีกเพียงเล็กน้อย ฮ่องเต้แคว้นหวาก็ทรงปล่อยให้ทุกคนแยกย้ายกันไป

เหล่าองค์ชายและท่านโหวล้วนมีเรือที่ประดับประดาอย่างหรูหราเป็นของตัวเอง เฉกเช่นเดียวกับเรือที่เตรียมไว้สำหรับราชทูตจากแคว้นต่างๆ ทุกคนจึงไม่ได้เต็มใจที่จะอยู่เป็นเพื่อนฮ่องเต้บนเรือมังกรอย่างอึดอัด เพียงแค่ฮ่องเต้เอ่ยปากอนุญาต ต่างก็รีบทยอยกล่าวขอตัวลาออกไปทันที

มู่หรงอวี้ผู้ซึ่งสงบนิ่งอยู่เสมอแต่กลับไม่สบายอกสบายใจในเวลานี้ ไม่มีข่าวคราวเกี่ยวกับการหายตัวไปของพระชายากง ส่วนมู่หรงอานไปที่เรือนนั้นของอานซีจวิ้นอ๋องตั้งแต่เมื่อวานก็ยังไม่กลับออกมา ไม่ว่ามู่หรงอานต้องการจะทำอะไรมันคงเป็นหายนะหากเขาถูกพบว่าบุกรุกเข้าไปในเรือนของอานซีจวิ้นอ๋อง หลังจากที่ลงจากเรือมังกรและขึ้นเรือจวนกงอ๋องของตนแล้ว มู่หรงอวี้ก็ยังคงขมวดคิ้วมุ่น ในใจรู้สึกถึงลางไม่ดีเล็กน้อย

คารวะท่านอ๋อง บนเรือลำนั้น ซู่เฉิงโหวและผิงหนานจวิ้นอ๋องได้รออยู่แล้ว พระชายาของผิงหนานจวิ้นอ๋องแต่เดิมเป็นหลานสาวของมู่ฮูหยินผู่เฒ่า จึงนับเป็นลูกพี่ลูกน้องของมู่ฉังหมิง ดังนั้นความสัมพันธ์ของมู่ฉังหมิงกับผิงหนานจวิ้นอ๋องผู้นี้นั้นนับว่าไม่เลวเลยทีเดียว ตอนนี้ทั้งคู่เป็นเสมือนแขนขวาของกงอ๋องซึ่งแน่นอนว่าพวกเขานั้นสนิทสนมกันพอสมควร ความเหมือนและแตกต่างนั้นก็คือ ผิงหนานจวิ้นอ๋องเพื่อบุตรีของตนแล้วจึงได้วางหมากทั้งหมดของเขาไว้กับมู่หรงอวี้ ส่วนมู่ฉังหมิงก็เพื่อบุตรีของตนเช่นกัน ภายในใจจึงได้แอบวางแผนการเล็กๆ ไว้อยู่

มู่หรงอวี้โบกมือแล้วพูดขึ้นว่า ไม่ต้องมากพิธี มีข่าวอะไรจากพระชายาอีกหรือไม่

จูเปี้ยนขมวดคิ้วมุ่น เพราะเขาเป็นห่วงบุตรสาวมากจึงพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นว่า เรียนท่านอ๋อง เพิ่งได้รับรายงานมาว่ามีคนพบเห็นร่องรอยที่น่าสงสัยใกล้หนานซาน ดูเหมือนว่าพวกเขาจะตรงไปที่นั่น อีกทั้งยังพบเครื่องประดับของเยียนเอ๋อร์ด้วยราวกับกำลังมุ่งหน้าลงใต้… มู่หรงอวี้ขมวดคิ้วและขัดจังหวะเขาเล็กน้อยอย่างหงุดหงิด หนานซาน อยู่ห่างจากเมืองหลวงกว่าสองร้อยลี้ โจรลักพาตัวจะพาหมิงเยียนไปทำอะไรที่นั่น

จูเปี้ยนส่ายหัวอย่างหงุดหงิดใจเล็กน้อยพร้อมเอ่ยขึ้นว่า ส่วนนี้…กระหม่อมเองก็ไม่ทราบ แต่ว่านี่ก็เป็นเบาะแส ท่านอ๋อง ความปลอดภัยของเยียนเอ๋อร์นั้น… ของมู่หรงอวี้หรี่ตาลงพลางพูดขึ้นอย่างเคร่งขรึม ส่งคนไปที่นั่นเพื่อค้นหา ต้องรับรองความปลอดภัยของพระชายา ได้ยินเช่นนี้จูเปี้ยนก็รู้สึกยินดีเป็นอย่างมาก รีบกล่าวขึ้นว่า ขอบพระทัยท่านอ๋อง กระหม่อมทูลลา แม้ว่าจูเปี้ยนจะกุมอำนาจทหารแต่ฮ่องเต้นั้นมีความระแวงสงสัยอยู่มาก เพราะพวกเขาอยู่ในเมืองหลวง ผู้บัญชาการทหารจึงต้องทำอะไรเป็นขั้นเป็นตอนไม่สามารถใช้กำลังทหารในมือของตนตามอำเภอใจได้ ด้วยเหตุนี้แม้แต่จวนผิงหนานจวิ้นอ๋องก็ใช้คนได้ไม่เกินร้อยคน แต่ด้วยคำสั่งของมู่หรงอวี้นั้นทำให้ง่ายกว่ามากในการจัดการ ในจวนของกงอ๋องนั้นมีองครักษ์ส่วนตัวอยู่ไม่น้อยและมีทหารม้าที่สามารถเรียกใช้ได้

เมื่อเห็นจูเปี้ยนเอ่ยขอตัวลาและจากไป มู่ฉังหมิงก็เลิกคิ้วกล่าวด้วยความสงสัยว่า ท่านอ๋อง โจรที่ลักพาตัวพระชายาในยามนี้ มุ่งหน้าไปที่หนานซาน นี่…จะเป็นแผนลวงหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ

มู่หรงอวี้เหลือบมองมู่ฉังหมิง ตั้งแต่มู่เฟยหลวนตั้งครรภ์ความไว้วางใจของมู่หรงอวี้ต่อมู่ฉังหมิงก็ลดลง แต่ว่าเมื่อได้ยินสิ่งที่มู่ฉังหมิงพูด เขาก็รู้สึกเห็นด้วยแต่ต่อหน้าจูเปี้ยนเขาต้องทำตัวราวกับว่าใส่ใจในความปลอดภัยของพระชายาไม่ว่าเรื่องอันใดจะเกิดขึ้นก็ตาม เพื่อความช่วยเหลือจากผิงหนานจวิ้นอ๋อง จูหมิงเยียนจะมาตายตอนนี้ไม่ได้

แม้ว่าจะมีความเป็นไปได้เพียงเล็กน้อยแต่ก็ต้องไปดู ความปลอดภัยของพระชายาเป็นเรื่องสำคัญ มู่หรงอวี้โบกมือ พูดอย่างเคร่งขรึม ซู่เฉิงโหว เชิญนั่งลงก่อนเถิด

มู่ฉังหมิงเอ่ยขอบคุณเขาอย่างระมัดระวังพร้อมกับนั่งถัดจากมู่หรงอวี้ โดยปกติแล้วเขาไม่มีทางไม่รู้ว่าตอนนี้มู่หรงอวี้กำลังระมัดระวังเขาอยู่แต่นั่นก็เป็นเรื่องที่ช่วยอะไรไม่ได้ ฮ่องเต้ทรงโปรดปรานพระสนมโหรวเฟยเช่นนี้แม้ว่ามู่ฉังหมิงจะไม่ได้มีใจออกห่าง แต่ด้วยความระแวดระวังตัวของมู่หรงอวี้ แน่นอนว่าต้องระแวงสงสัยเขาเป็นแน่ นี่เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพียงแต่ว่าตอนนี้บุตรของโหรวเฟยจะเป็นชายหรือหญิงนั้นยังไม่ผู้ใดล่วงรู้ ถึงแม้ว่าจะเป็นเด็กชายก็ต้องใช้เวลาในการเติบโตไม่น้อยเลย ดังนั้นมู่ฉังหมิงจึงยังไม่มีใจที่คิดจะทรยศมู่หรงอวี้ในตอนนี้

ทั้งสองนั่งลง สาวใช้ยกน้ำชาเข้ามาและถอยออกไปด้วยความสุภาพนอบน้อม มู่หรงอวี้มองลงไปที่คลื่นวงกลมบนชาใสที่อยู่ในถ้วยด้านหน้าเขาและใช้เวลาสักพักก่อนที่จะยิ้มขึ้นอย่างเฉยเมยพร้อมกล่าวว่า โหรวเฟยกำลังตั้งครรภ์บุตรมังกร ข้ายังไม่ได้แสดงความยินดีกับซู่เฉิงโหวเลย

หัวใจของมู่ฉังหมิงเต้นระรัว ยิ้มด้วยความเคารพนอบน้อม ขอบพระทัยท่านอ๋อง นี่เป็นวาสนาของโหรวเฟย เป็นพระมหากรุณาธิคุณของฝ่าบาท

มู่หรงอวี้พยักหน้าและพูดว่า ซู่เฉิงโหวพูดถูก รอถึงยามที่โหรวเฟยได้ให้กำเนิดบุตรมังกรแก่ฝ่าบาท ยามนั้นข้าเองก็ควรเรียกนางว่ากุ้ยเฟยแล้ว มู่ฉังหมิงยิ้มพร้อมกล่าวว่า ท่านอ๋องพูดมานั้นช่างเป็นสิริมงคลยิ่งนัก จะว่าไปแล้ว…นี่ก็เป็นความสุขสองเท่า เมื่ออวิ๋นหรงและหนิงอ๋องสมรสกัน จวนซู่เฉิงโหวกับพระสนมอวิ๋นเฟยก็นับว่าได้เกี่ยวดองกันแล้ว โหรวเฟยอายุยังน้อย หวังว่าพระสนมอวิ๋นเฟยจะคอยดูแลนางด้วยพ่ะย่ะค่ะ

มู่ฉังหมิงแอบแฝงเจตนารมณ์ของตนในคำพูดพวกนี้แบบลับๆ แม้ว่ามู่เฟยหลวนจะกลายเป็นกุ้ยเฟยแต่ก็ยังคงเต็มใจที่จะเป็นหมากให้กับอวิ๋นเฟย จวนซู่เฉิงโหวยังคงจงรักภักดีต่อกงอ๋อง

แม้ว่ามู่หรงอวี้จะสงสัยในเจตนาของมู่ฉังหมิงและเขารู้ว่ามู่ฉังหมิงมีแรงจูงใจซ่อนเร้นแต่เขาจะไม่กระทำการอะไรแม้เพียงเล็กน้อยในเวลานี้

แม้ว่าจะโหรวเฟยจะเป็นที่โปรดปรานเพียงใดแต่ก็เพิ่งอยู่ในวังได้เพียงแค่ไม่กี่ปีและรากฐานของนางก็ไม่ได้มีมากเท่าใดนัก มู่ฉังหมิงนั้นถือได้ว่าเป็นจิ้งจอกแก่ที่ฝึกฝนมากว่าครึ่งชีวิตในราชสำนักซึ่งเขาจะไม่มีวันหักหน้าจวนกงอ๋องในเวลานี้อย่างแน่นอน

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้มู่หรงอวี้ก็เลิกคิ้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า ท่านโหวกล่าวเกินไปแล้ว ข้าก็แค่พูดไปโดยไม่ได้คิดอะไรก็เท่านั้น วันนี้ทุกคนในจวนซู่เฉิงโหวก็ล้วนอยู่ที่นี่ แต่ยามนี้หมิงเยียนหายตัวไปยังไม่รู้ที่อยู่แน่ชัด ข้าจึงยังไม่ได้ให้การต้อนรับแก่สมาชิกจวนซู่เฉิงโหวเลย

มู่ฉังหมิงแอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก พูดด้วยรอยยิ้มว่า ขอบพระทัยท่านอ๋องสำหรับความห่วงใย เว้นแต่ชิงอีที่ทานของผิดสำแดงเข้าไปโดยไม่ได้ตั้งใจเมื่อสองวันก่อนจึงเกิดตุ่มพุพองขึ้นมา นางจึงพักผ่อนอยู่ที่จวน ส่วนคนอื่นๆ ล้วนมาหมดแล้วพ่ะย่ะค่ะ

มีตุ่มพุพอง? มู่หรงอวี้เลิกคิ้วสงสัยแต่ก็ไม่ได้เอ่ยถามอะไรมาก

ท่านอ๋อง จู่ๆ พ่อบ้านใหญ่จวนกงอ๋องก็ถลาตัวเข้ามา เขาเหลือบมองมู่ฉังหมิงและไม่พูดอะไร มู่ฉังหมิงจึงวางถ้วยน้ำชาลงอย่างฉับไวพลางลุกขึ้นเอ่ย ท่านอ๋อง กระหม่อมคงต้องขอตัวลาก่อน มู่หรงอวี้โบกมือแล้วกล่าวว่า ไม่เป็นไร มันเป็นเรื่องของน้องแปด พูดมาเถิด

พ่อบ้านใหญ่ตั้งสติแล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นว่า จู่ๆ ที่ริมฝั่งแม่น้ำก็มีการจัดเวทีประลอง โดยบอกว่าเป็นการแข่งขันประลองยุทธ รางวัลสำหรับผู้ชนะคือ…แผนที่ขุมทรัพย์ของตระกูลกู้และจิ่วจ่วนหลิงหลงพ่ะย่ะค่ะ

ตอนต่อไป

หวนคืนชะตาแค้น

หวนคืนชะตาแค้น

Status: Ongoing
ความงาม…ไหวพริบ… ล้วนเป็นหมากในเกมกระดานของนาง เพื่อช่วยเหลือพี่ชายและกอบกู้ตระกูล แม้หัวใจนางก็พร้อมยอมแลก!ในเมื่อสวรรค์ต้องการให้ข้ามีชีวิตอยู่…ความแค้นและความเกลียดชังเอย…แม้ตายเก้าครั้งก็ยากจะลืมเลือน…ความยุติธรรมหมดไป…เหตุใดแคว้นยังไม่สูญสิ้น? ตั้งแต่นี้ต่อไป ข้าคือมู่ชิงอีและคือกู้อวิ๋นเกอด้วยเช่นกันจากหญิงสาวผู้เพียบพร้อมด้วยรูปโฉมและยศฐากลับร่วงหล่นสู่โคลนตมเพราะแผนร้ายของคนใกล้ตัวบ้านแตกสาแหรกขาด เสียทั้งเพื่อนสนิทและคู่หมั้นไปในคราวเดียวในงานประมูลคืนแรกของตน หญิงสาวฝังคมมีดลงบนร่างศัตรูและเผาร่างในกองเพลิงเมื่อฟื้นตื่นมาอีกครั้งนางกลับกลายเป็น มู่ชิงอี ญาติผู้น้องผู้อ่อนแอไปเสียแล้วเมื่อได้มีชีวิตกลับมาอีกครั้งนางจะทวงทุกสิ่งที่เคยเป็นของตนคืนมาคืนความยุติธรรมให้ตระกูลกู้ด้วยสองมือของนางเอง!“ตั้งแต่นี้ต่อไป ข้าคือมู่ชิงอีและคือกู้อวิ๋นเกอด้วยเช่นกัน ความอยุติธรรมทั้งหลายข้าจะคืนมันกลับไปทั้งหมด!”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท