หวนคืนชะตาแค้น – ตอนที่ 85 ชะตากรรมของจูหมิงเยียน (3)

หวนคืนชะตาแค้น

ณ ใต้ต้นหลิวใหญ่ริมแม่น้ำ มู่หรงอวี้และจูหมิงเยียนยืนเผชิญหน้ากันอยู่เงียบๆ เมื่อเห็นสภาพที่ยุ่งเหยิงของจูหมิงเยียน มู่หรงอวี้ก็ขมวดคิ้วอย่างรังเกียจ มือที่เหยียดออกไปก็ถูกดึงกลับราวกับว่าไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น เขากล่าวอย่างใจเย็นว่า กลับไปค่อยคุยเถิด

ความรังเกียจที่เห็นได้ชัดเช่นนี้ จูหมิงเยียนจะมองไม่เห็นได้เช่นไร ด้วยความตื่นตระหนกนางจึงดึงแขนอาภรณ์ของมู่หรงอวี้แล้วกล่าวออกมาด้วยความกังวลใจว่า หม่อมฉันไม่…หม่อมฉันไม่ได้ทำอะไรผิดต่อพระองค์เลย พระองค์ทรงเชื่อหม่อมฉันนะเพคะ…

มู่หรงอวี้เงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ถอนหายใจ เอื้อมมือออกไปแตะที่ไหล่ของจูหมิงเยียน เอ่ยว่า กลับไปก่อนเถิด มีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้นกับน้องแปด ข้ายังมีเรื่องที่ต้องทำอีก

จูหมิงเยียนมองไปยังมู่หรงอวี้อย่างสิ้นหวังแล้วร้องไห้ออกมา หม่อมฉันไม่ได้…มีคนต้องการทำร้ายหม่อมฉันจริงๆ! มันมาจากตระกูลกู้! พระองค์ทรงเชื่อหม่อมฉันเถิดเพคะ…

ตระกูลกู้?

มู่หรงอวี้เลิกคิ้วขึ้นแล้วเอ่ยถามว่า ผู้ใดในตระกูลกู้ คนเดียวในตระกูลกู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ในใต้หล้านี้ยกเว้นกู้ซิ่วถิงก็มีเพียงแต่มู่หรงซี แต่กู้ซิ่วถิงเคยอยู่ภายใต้การควบคุมของเขามาก่อนและเพิ่งจะถูกน้องแปดนำตัวไป

เป็นมู่หรงซี?

มู่หรงอวี้ส่ายศีรษะและปฏิเสธการคาดเดานี้ เสด็จพ่อทรงจับตามองมู่หรงซีอยู่ทุกย่างก้าว เขาไม่มีทางกระทำการเช่นนี้ได้

เป็น…เป็นกู้หลิวอวิ๋นเพคะ

มู่หรงอวี้ตกตะลึง นามของกู้หลิวอวิ๋นนั้นทำให้เขาประหลาดใจอย่างยิ่ง หลังจากงุนงงอยู่ชั่วครู่หนึ่ง ความทรงจำเล็กๆ น้อยๆ ก็ผุดออกมาจากก้นบึ้งหัวใจ

‘หากอวิ๋นเอ๋อร์ยังมีชีวิตอยู่ เขาจะต้องฉลาดกว่าข้าและพี่ใหญ่แน่นอน ตอนที่เขาอายุได้เพียงหกปี หม่อมฉันเองก็ยังไม่สามารถเอาชนะเขาได้’

‘ท่านปู่เคยกล่าวว่าพี่ใหญ่ได้รับสมญานาม ชิงเซวียน ส่วนอวิ๋นเอ๋อร์ได้รับสมญานาม จื่อชิง’

กู้หลิวอวิ๋นเป็นบุตรชายคนที่สองของตระกูลกู้ ซึ่งอายุน้อยกว่ากู้อวิ๋นเกอสองปีและอายุน้อยกว่ากู้ซิ่วถิงหกปี เขาจากไปเมื่อยามมีอายุได้แปดปี เดิมทีบุรุษที่จะได้รับการนับถือส่วนใหญ่แล้วล้วนเป็นผู้อาวุโสหรือผู้สืบสกุล แต่อย่างไรก็ตามตระกูลกู้ได้นำคำกล่าวของเด็กแปดขวบที่จากไปแล้วไปจดบันทึกไว้ในตระกูล มู่หรงอวี้ไม่เคยพบเจอกู้หลิวอวิ๋นมาก่อน แต่เขาก็เคยได้ยินมาว่าคนผู้นี้เกิดมาจากครรภ์ที่บกพร่อง เขาอ่อนแอและป่วยออดๆ แอดๆ ตั้งแต่อายุยังน้อย แต่กลับฉลาดหลักแหลมเป็นพิเศษ ยามอายุได้เพียงสามปีก็ถือว่าเป็นที่รู้จักในฐานะเด็กที่มีพรสวรรค์แล้ว ต่อมาเขาได้รู้จักสนิทสนมกับกู้อวิ๋นเกอจากตระกูลกู้ นางก็เคยเอ่ยถึงน้องชายที่จากไปอยู่บ้าง จากคำกล่าวของนางดูเหมือนนางจะรักและเอ็นดูน้องชายผู้นี้อยู่มากทีเดียว

กู้หลิวอวิ๋นยังไม่ตายหรอกหรือ

มู่หรงอวี้ส่ายศีรษะ

เป็นไปไม่ได้! ในยามนั้นตระกูลกู้ไม่มีเหตุผลที่จะกุเรื่องว่าเด็กอายุแปดขวบเสียชีวิตไป เป็นเวลาหลายปีที่คนตระกูลกู้ไร้ซึ่งเรื่องด่างพร้อย ทุกคราวที่กู้อวิ๋นเกอ กู้ซิ่วถิง หรือแม้แต่มู่หรงซี กล่าวถึงกู้หลิวอวิ๋นด้วยความคิดถึงนั้นอารมณ์ก็ไม่ได้ผิดปกติ เช่นนั้น…ต้องมีคนยืมนามของคนตระกูลกู้เพื่อสร้างปัญหาเป็นแน่

ข้ารู้แล้ว เจ้ากลับไปพักผ่อนก่อนเถิด ข้าจะสืบค้นให้กระจ่างชัดเอง มู่หรงอวี้มองไปยังจูหมิงเยียนด้วยท่าทีอ่อนโยน แต่หลังจากกล่าวจบก็ไม่ได้มองหน้าจูหมิงเยียนอีก เขายกมือขึ้นเพื่อเรียกองครักษ์สองคนแล้วเอ่ยสั่ง ไปส่งพระชายากลับจวน

หลังจากเอ่ยจบ มู่หรงอวี้ก็หันหลังเดินออกจากจูหมิงเยียน จูหมิงเยียนขยับริมฝีปากเพื่อจะกล่าวบางอย่าง แต่นางไม่สามารถเปิดปากของนางได้ เพียงแต่ดวงตาของนางที่มองดูแผ่นหลังของมู่หรงอวี้นั้นเต็มไปด้วยความขมขื่นและสิ้นหวัง

ชายผู้นี้ไม่เคยรักตนเลย มีเพียงแววตาที่รู้สึกไม่สบายใจ อีกทั้งยังแสดงออกถึงความโกรธเมื่อยามมองมาที่นางเท่านั้น เขาไม่พอใจกับสถานการณ์ที่นางทำให้จวนกงอ๋องต้องอับอายเสียชื่อเสียง แทนที่จะโกรธกับความโชคร้ายที่พระชายาของเขาได้รับมา มู่หรงอวี้…แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยรักนางเลย

หลังจากทิ้งจูหมิงเยียนแล้ว มู่หรงอวี้ก็เดินไปข้างหน้าด้วยสีหน้าว่างเปล่า แม้จะมีมู่ฉังหมิงติดตามเขามาด้วยก็ไม่ได้สนใจ เขาไม่รู้ว่าจูหมิงเยียนมีสิ่งใดจะกล่าว ที่จริงเขาเองก็รู้ว่านางต้องการการปลอบโยนจากตน แต่มู่หรงอวี้ไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะเสียเวลากับจูหมิงเยียน วันนี้มีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้น และทุกอย่างล้วนไม่เอื้ออำนวยต่อจวนกงอ๋อง มีคนลอบวางกับดักจวนกงอ๋อง เขาจะต้องจัดการกับสิ่งเหล่านี้ก่อน ซึ่งแต่ละอย่างนั้นล้วนมีความสำคัญมากกว่าความรู้สึกของจูหมิงเยียนหลายพันหลายหมื่นเท่า

มู่ฉังหมิงเฝ้าดูมู่หรงอวี้ที่สีหน้าเรียบเฉยเดินผ่านเขาไป หลังจากมองย้อนกลับไปที่จูหมิงเยียนซึ่งสวมเพียงอาภรณ์ชั้นนอกของบ่าวรับใช้ด้วยสภาพไม่เรียบร้อยแล้ว นางเองก็ไม่ได้อยู่ในอารมณ์อับอายแต่อย่างใด เพียงคิดถึงการแสดงออกที่ไม่แยแสของมู่หรงอวี้เท่านั้น ฉับพลันก็มีความรู้สึกเป็นสุขอย่างแปลกประหลาดผุดขึ้นมาจากก้นบึ้งของหัวใจมู่ฉังหมิง

ท่านอ๋อง เหล่าองค์ชายประทับอยู่ในศาลาเฟิงอวี่ ได้เชิญท่านอ๋องไปรวมตัวด้วยพ่ะย่ะค่ะ ชายหนุ่มที่มีรูปลักษณ์คล้ายองครักษ์รีบวิ่งเข้ามาและกล่าวด้วยความนอบน้อม

อยู่ๆ มู่หรงอวี้ก็รู้สึกหงุดหงิด ทว่าเขาก็ระงับไว้อย่างรวดเร็ว มองไปที่องครักษ์ที่อยู่ข้างหน้าแล้วกล่าวตอบด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า กลับไปบอกท่านพี่ว่าข้ายังมีเรื่องในจวนต้องจัดการอีก จึงไม่สามารถไปร่วมด้วยได้

องครักษ์ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ท้ายที่สุดแล้วเขาย่อมไม่อาจต่อต้านมู่หรงอวี้ผู้ซึ่งเป็นกงอ๋องได้ จึงเอ่ยทูลลาแล้วหันหลังเดินจากไป

ในศาลาเฟิงอวี่ องค์ชายหลายพระองค์กำลังสนทนาหยอกล้อติดตลกกันอยู่ในส่วนของโรงน้ำชา ห่างออกไปไม่ไกลนัก บรรดาพระชายากำลังเดินเล่นอยู่ริมทะเลสาบพร้อมกับส่งเสียงสนทนาหัวเราะอย่างสนุกสนาน

เมื่อเห็นพระชายาที่มีอิริยาบถต่างๆ อยู่ห่างไปไม่ไกล ไม่ว่าจะความสง่างามสงบเสงี่ยม ความสดใสมีเสน่ห์ หรืออ่อนช้อยงดงาม หัวใจของบรรดาองค์ชายก็อดไม่ได้ที่จะชื่นชมยินดีและรักใคร่พระชายาของตน…

แม้ว่าพระชายาของพวกตนจะไม่ฉลาดหลักแหลม รูปลักษณ์ไม่งดงาม ไม่โดดเด่นเท่า อย่างน้อยพวกนางก็ล้วนแต่เป็นพระชายาที่ประพฤติตนอย่างเหมาะสม และไม่ทำให้พวกเขาต้องได้รับความอับอาย

ตราบใดที่พวกเขานึกถึงท่าทีของมู่หรงอวี้ บรรดาองค์ชายเหล่านี้มักจะรู้สึกว่าคงมีใครบางคนลอบบ่นว่าพระชายาของพวกเขาไม่ได้งดงามและฉลาดหลักแหลมดั่งพระชายาของกงอ๋อง ผู้ที่มีภูมิหลังทางตระกูลยิ่งใหญ่ แต่อย่างน้อยพระชายาของพวกเขาก็ไม่น่าจะสร้างปัญหาเหมือนกับจูหมิงเยียน เพียงแค่มองไปที่รูปร่างหน้าตาของจูหมิงเยียน ย่อมจะรู้สึกขุ่นเคืองแล้ว แน่นอนว่าถึงแม้นางจะไม่ได้กระทำผิดสิ่งใดก็ยังคงเป็นเช่นนั้น

พวกท่านว่ายามนี้หน้าตาของพี่หกจะเป็นเช่นไรหรือพ่ะย่ะค่ะ มู่หรงจ้าวเอนกายลงบนศาลาอย่างเกียจคร้านแล้วกล่าวขึ้นมาพร้อมด้วยรอยยิ้มเหยียดหยาม

องค์ชายห้ามู่หรงฉุนผู้มีเมตตา เขาส่ายศีรษะแล้วเอ่ยตอบ พระชายาหกถูกบางคนทำร้าย

องค์ชายสามมู่หรงฉีขมวดคิ้วแล้วกล่าวว่า ในเมืองหลวงมีคนไม่มากที่กล้าลงโทษน้องหกด้วยวิธีนี้ ไม่ต้องกล่าวถึงจวนกงอ๋องและจวนหนิงอ๋อง แต่สกุลเดิมของจูหมิงเยียนอย่างผิงหนานจวิ้นอ๋อง ขุมกำลังนี้ก็เพียงพอที่จะทำให้คนส่วนใหญ่ปฏิบัติต่อจูหมิงเยียนด้วยความอดทนและยอมลงให้ถึงสามส่วนแล้ว สีหน้าของบรรดาองค์ชายดูแปลกๆ ไม่มีผู้ใดกล่าวสิ่งใดออกมาอีก ยามนี้ในเมืองหลวงมีใครบ้างที่มีความสามารถรวมถึงมีเหตุผลเพียงพอที่จะลงมือกับจูหมิงเยียน ความจริงแล้วผู้ที่สามารถลงมือได้ก็มีเพียงพวกพี่น้องเหล่านี้เท่านั้น เพียงแต่เป็นพี่น้องคนใดย่อมไม่อาจคาดเดาได้ อย่างไรก็ตามในยามนี้คนส่วนใหญ่กลับมองไปที่จื้ออ๋อง มู่หรงเสียเพราะคิดว่าเป็นฝีมือของเขา

ในวันนี้องค์ชายที่สำคัญและมีความสามารถที่สุดของฮ่องเต้แคว้นหวาคือองค์ชายสี่มู่หรงเสีย องค์ชายหกมู่หรงอวี้ และองค์ชายเจ็ดมู่หรงจ้าว แต่อย่างไรก็ตามเมื่อเทียบกับมู่หรงจ้าวที่อายุน้อยกว่าและนับตามแรงจูงใจแล้วย่อมต้องสงสัยมู่หรงเสียซึ่งมีบุคลิกที่สุขุมลุ่มลึกมากกว่า

เมื่อรับรู้ถึงสายตาของทุกคน มู่หรงเสียก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ อย่างนึกรังเกียจ เอ่ยว่า ใครจะรู้ว่าเทพเซียนองค์ใดที่ลงโทษจูหมิงเยียน ในช่วงเวลานี้มีผู้ที่มีความสามารถเช่นนี้อยู่ในเมืองหลวงไม่น้อย

หากมันทำให้มู่หรงอวี้สงสัยในตัวเขาจริงๆ ก็น่าจะเป็นปัญหาใหญ่ทีเดียว ยิ่งไปกว่านั้น หากมันเป็นฝีมือของเขาจริงๆ ก็คงไม่เป็นอะไร เพียงแต่เขานั้นไม่มีงานอดิเรกที่จะทำให้ผู้คนมีรอยด่างพร้อยเช่นนี้

ตอนต่อไป

หวนคืนชะตาแค้น

หวนคืนชะตาแค้น

Status: Ongoing
ความงาม…ไหวพริบ… ล้วนเป็นหมากในเกมกระดานของนาง เพื่อช่วยเหลือพี่ชายและกอบกู้ตระกูล แม้หัวใจนางก็พร้อมยอมแลก!ในเมื่อสวรรค์ต้องการให้ข้ามีชีวิตอยู่…ความแค้นและความเกลียดชังเอย…แม้ตายเก้าครั้งก็ยากจะลืมเลือน…ความยุติธรรมหมดไป…เหตุใดแคว้นยังไม่สูญสิ้น? ตั้งแต่นี้ต่อไป ข้าคือมู่ชิงอีและคือกู้อวิ๋นเกอด้วยเช่นกันจากหญิงสาวผู้เพียบพร้อมด้วยรูปโฉมและยศฐากลับร่วงหล่นสู่โคลนตมเพราะแผนร้ายของคนใกล้ตัวบ้านแตกสาแหรกขาด เสียทั้งเพื่อนสนิทและคู่หมั้นไปในคราวเดียวในงานประมูลคืนแรกของตน หญิงสาวฝังคมมีดลงบนร่างศัตรูและเผาร่างในกองเพลิงเมื่อฟื้นตื่นมาอีกครั้งนางกลับกลายเป็น มู่ชิงอี ญาติผู้น้องผู้อ่อนแอไปเสียแล้วเมื่อได้มีชีวิตกลับมาอีกครั้งนางจะทวงทุกสิ่งที่เคยเป็นของตนคืนมาคืนความยุติธรรมให้ตระกูลกู้ด้วยสองมือของนางเอง!“ตั้งแต่นี้ต่อไป ข้าคือมู่ชิงอีและคือกู้อวิ๋นเกอด้วยเช่นกัน ความอยุติธรรมทั้งหลายข้าจะคืนมันกลับไปทั้งหมด!”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท