หวนคืนชะตาแค้น – ตอนที่ 92 ความรักในครอบครัวที่น่าขยะแขยง (1)

หวนคืนชะตาแค้น

อู๋ซินพูดขึ้น “คุณหนูไม่ต้องกังวล องค์ชายนั้นลงมือด้วยตัวเอง หนิงอ๋องจะไม่มีวันฟื้นขึ้นมาอีกขอรับ”

“เพราะเหตุใด”

“องค์ชายมีความชำนาญในการฝังเข็มสกัดจุด ก่อนที่มู่หรงอานตกลงจากหน้าผา องค์ชายนั้นได้ฝังเข็มไว้ที่ศีรษะขอรับ” อู๋ซินลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะเอ่ยตอบ เมื่อได้ยินเช่นนี้มู่ชิงอีก็รู้สึกโล่งใจขึ้นเล็กน้อย “หากมีหมอเทวดาหรือผู้แข็งแกร่งด้านกำลังภายในมาช่วยเขาเล่า”

อู๋ซินกล่าวว่า “องค์ชายเคยกล่าวไว้ว่ายกเว้นอาจารย์ของเขา ย่อมไม่มีผู้ใดในใต้หล้านี้ที่สามารถคลายเคล็ดวิชาฝังเข็มสกัดจุดนี้ได้ขอรับ”

มู่ชิงอีเงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่นางจะกล่าวว่า “หากมีเวลาก็ให้บอกกล่าวกับองค์ชายของเจ้าว่า เขาชอบเรื่องสนุกสนานนั่นก็เป็นเรื่องของเขา แต่อย่าทำลายเรื่องของข้า” ไม่มีเสียงตอบใดๆ จากบนคานห้อง จึงไม่สามารถรู้ได้ว่าอู๋ซินได้ยินหรือไม่ มู่ชิงอีจึงไม่ได้สนใจอีก หยิบตะเกียบขึ้นมาอีกครั้งแล้วเริ่มทานสำรับมื้อเย็น

“คุณหนู ท่านโหวมาขอพบเจ้าค่ะ”

“ท่านพ่อหรือ” มู่ชิงอีขมวดคิ้ว นางคิดในใจว่า มู่ฉังหมิงมาที่เรือนหลานจื่อในยามนี้ต้องการทำสิ่งใดกัน แล้วลุกขึ้นไปต้อนรับด้วยสีหน้าเรียบเฉย เมื่อเห็นว่ามู่ชิงอีออกมาที่ประตู มู่ฉังหมิงก็กล่าวด้วยรอยยิ้มอันรักใคร่ว่า “ชิงอีกำลังทานข้าวอยู่เช่นนั้นหรือ”

มู่ชิงอีพยักหน้าตอบแล้วกล่าวอย่างอบอุ่นว่า “เจ้าค่ะ ท่านพ่อทานมาหรือยังเจ้าคะ”

มู่ฉังหมิงส่ายศีรษะแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ก็ดี ไปทานสำรับที่ชิงอีเตรียมให้พ่อกันเถิด”

มู่ชิงอีย่อมไม่สามารถคัดค้านได้ นางบอกให้จูเอ๋อร์และอิ๋งเอ๋อร์ไปที่ครัวเพื่อนำสำรับและเครื่องใช้บนโต๊ะสำรับมาให้ มู่ฉังหมิงเห็นว่ามีคนไม่กี่คนในเรือนอันกว้างใหญ่หลังนี้ ก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ เอ่ยขึ้น “เหตุใดชิงอีจึงมีบ่าวรับใช้จำนวนน้อยเช่นนี้เล่า”

มู่ชิงอีเม้มริมฝีปากยิ้มเล็กน้อย เอ่ยอย่างไม่ใส่ใจว่า “ข้าชินแล้วเจ้าค่ะ จูเอ๋อร์ขยันเป็นอย่างมาก อิ๋งเอ๋อร์ก็ค่อนข้างฉลาด ชิงอีไม่คุ้นเคยกับการที่มีผู้คนมาติดตามมากเกินไปเจ้าค่ะ”

โดยปกติแล้วจะมีบ่าวรับใช้นับไม่ถ้วนคอยล้อมรอบตัวคุณหนูตระกูลใหญ่อยู่เสมอ เพื่อเป็นการเอาอกเอาใจคุณหนู ทั้งยังแสดงความยิ่งใหญ่ของตระกูล เหตุใดมู่ชิงอีถึงคุ้นเคยกับการมีเพียงบ่าวเพียงสองสามคนอยู่รอบตัวนางกัน เป็นเพราะขาดการดูแลเอาใจใส่จากจวนและและบิดาใช่หรือไม่ เมื่อคิดถึงเรื่องนี้มู่ฉังหมิงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิดขึ้นอีกครั้ง เขารู้สึกว่าที่มู่ชิงอีกล่าวเช่นนี้เพื่อทำให้เขารู้สึกผิดในฐานะบิดา

หลังจากคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว มู่ฉังหมิงก็กล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “ไปบอกให้พ่อบ้านเลือกบ่าวที่ฉลาดมาสองสามคนเถิด ในเรือนใหญ่โตเช่นนี้มีคนเพียงสองสามคนนั้นอ้างว้างเกินไป” มู่ชิงอีพยักหน้ารับอย่างไม่ใส่ใจแล้วกล่าวว่า “ขอบพระคุณท่านพ่อเจ้าค่ะ” การดูแลเอาใจใส่ที่ผิดปกติของมู่ฉังหมิงในสองวันมานี้ เมื่อเวลาผ่านไปนางจะลืมไปเสีย ไม่คิดจะใส่ใจอีก

ในไม่ช้าจูเอ๋อร์และอิ๋งเอ๋อร์ก็นำสำรับอีกสองสามอย่างจากห้องครัวมาจัดเรียงใหม่เพื่อให้มู่ชิงอีและมู่ฉังหมิงทาน

อันที่จริงมู่ฉังหมิงจำไม่ได้แล้วว่าครั้งสุดท้ายที่ร่วมโต๊ะทานข้าวกับบุตรีผู้นี้คือเมื่อใด ในอดีตยามที่สะใภ้จังยังมีชีวิตอยู่ มู่ฉังหมิงก็ไม่ได้สนใจบุตรีผู้นี้มากนัก ต่อมาเมื่อสะใภ้จังสิ้นชีพไปมู่ฉังหมิงก็ไม่เคยสนใจนางอีกเลย ครั้งสุดท้ายที่ร่วมสำรับกับบุตรีผู้นี้ดูเหมือนนางจะอายุน้อยกว่าสิบปี ในเวลานั้นบุตรีมักจะมองด้วยสายตาชื่นชมบิดาของตน ตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่อาจรู้ได้ที่นางไม่อยากเงยหน้ามองผู้อื่นอีกต่อไป

พอเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง มู่ฉังหมิงก็พบว่าไม่มีอารมณ์ใดๆ ในแววตาของบุตรีผู้นี้อีกต่อไปแล้ว

บางครั้งก็รู้สึกอึดอัดที่จะคีบอาหารส่งให้มู่ชิงอี มู่ฉังหมิงจึงกล่าวอย่างรักใคร่ว่า “ทุกวันนี้พ่อเห็นว่าเจ้าได้รับความทนทุกข์มานาน ซ้ำยังหลายต่อหลายครั้ง หากเจ้าอยากทานสิ่งใดก็สั่งให้บ่าวในครัวทำมาให้เถิด”

มู่ชิงอีพยักหน้ารับเงียบๆ มองไปที่มู่ฉังหมิงที่มีท่าทีแปลกๆ นางไม่เข้าใจว่าเหตุใดเขาถึงต้องการทำเช่นนี้ มู่ฉังหมิงมองไปที่มู่ชิงอีซึ่งก้มศีรษะลงและทานสำรับอย่างช้าๆ ถอนหายใจเฮือกหนึ่งแล้วเอ่ยถามว่า “อีเอ๋อร์ชอบไห่โจวหรือไม่”

มู่ชิงอีเงยหน้าขึ้นมองไปที่มู่ฉังหมิงอย่างมึนงง มู่ฉังหมิงจึงอธิบายด้วยรอยยิ้มว่า “อีเอ๋อร์น่าจะยังจำได้ว่าจวนของท่านตาของเจ้าอยู่ที่ไห่โจว เมื่อครั้งเจ้ายังเยาว์วัย เจ้าและท่านแม่ของเจ้ากลับไปเยี่ยมเครือญาติแล้วเจ้าก็ไม่อยากกลับมาที่นี่อีก”

มู่ชิงอีพยักหน้ารับอย่างเงียบๆ

มู่ฉังหมิงเอ่ยถามว่า “เจ้าอยากไปอยู่ที่ไห่โจวสักระยะหรือไม่”

มู่ชิงอีพึ่งจะเข้าใจจุดประสงค์ของมู่ฉังหมิง

เขาต้องการให้นางออกจากเมืองหลวงไป ยิ่งไปกว่านั้นไห่โจวยังอยู่ห่างไกลจากเมืองหลวงมากที่สุด เกรงว่าหากทำได้ มู่ฉังหมิงคงอยากส่งนางออกไปจากแคว้นหวา และคงจะดีที่สุดหากนางไม่กลับมาที่นี่อีกกระมัง น่าเสียดาย…สิ่งที่ควรทำก็ยังไม่เสร็จสิ้น เกรงว่าคงจะทำอย่างที่เขาต้องการไม่ได้

“ท่านตากับคนอื่นๆ ล้วนจากไปแล้ว…” มู่ชิงอีกล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

ประมุขและฮูหยินตระกูลจังสิ้นชีพไปนานแล้ว ยามนี้ตระกูลจังได้ล่มสลายและตระกูลได้ย้ายกลับไปที่ไห่โจว แต่ไม่ใช่พี่ชายของสะใภ้จังที่เป็นผู้รับผิดชอบ หากแต่เป็นลูกพี่ลูกน้องของเขา ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ มู่ฉังหมิงกลับบอกมู่ชิงอีให้ไปเยี่ยมเยียนญาติพี่น้อง

การแสดงออกของมู่ฉังหมิงมืดมนลงเล็กน้อย แม้ว่าเขาจะช่วยมู่เฟยหลวนอย่างจริงจัง แต่มู่ชิงอีก็ยังเป็นบุตรีของเขาอยู่ดี หากไม่ใช่ทางเลือกสุดท้าย มู่ฉังหมิงก็ไม่ต้องการทำอะไรเพื่อสังหารเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเอง ด้วยเหตุนี้เขาจึงต้องการส่งมู่ชิงอีไปที่ไห่โจว แล้วทิ้งเมืองหลวงไว้ให้ห่างไกลจนไม่อาจกลับมาได้อีก อย่างไรก็ตามเห็นได้ชัดว่ามู่ชิงอีไม่เต็มใจที่จะจากไป

“ท่านพ่อ…ท่านต้องการขับไล่ชิงอีไปเช่นนั้นหรือ” มู่ชิงอีเอ่ยอย่างแผ่วเบา

มู่ฉังหมิงถอนหายใจเบาๆ แล้วกล่าวว่า “ชิงอี พ่อทำเพื่อประโยชน์ของเจ้า เจ้า…เจ้าอยากเข้าไปในวังหรือไม่”

“เข้าไปในวัง? ไปเยี่ยมพี่หญิงใหญ่หรือเจ้าคะ” มู่ชิงอีเอ่ยถาม

มู่ฉังหมิงส่ายศีรษะแล่วกล่าวว่า “ไม่ใช่ หากฮ่องเต้ต้องการเรียกเจ้าเข้าไปในวัง เจ้าก็จะเป็นดั่งพี่สาวของเจ้า…”

มู่ชิงอีขมวดคิ้ว “อะไรนะเจ้าคะ พี่หญิงใหญ่กลายเป็นพระสนมของฮ่องเต้แล้ว ชิงอีจะเป็นได้เช่นไร…นอกจากนี้ชิงอีไม่ต้องการอยู่ในวังตลอดกาล”

หลังจากฟังคำกล่าวของมู่ชิงอี สีหน้าของมู่ฉังหมิงก็อ่อนโยนขึ้นเล็กน้อยแล้วเอ่ยเบาๆ ว่า “เพราะเหตุนี้พ่อจึงหวังว่าเจ้าจะไปพำนักอยู่ที่ไห่โจวสักระยะหนึ่ง”

“ท่านพ่อ…ฮ่องเต้ทรงต้องการให้ข้าเข้าวังหรือ” มู่ชิงอีเอ่ยถาม

มู่ฉังหมิงแน่นิ่ง ก่อนที่จะพูดอย่างคลุมเครือว่า “ก็…เป็นไปได้ เพราะฮ่องเต้มีพระประสงค์ให้พี่หญิงใหญ่ของเจ้าเรียกเจ้าไปเข้าเฝ้าในวัง”

มีหลายเหตุผลในการเข้าไปในวัง หนึ่งในเหตุผลนั้นแน่นอนว่าคือพระประสงค์ของฮ่องเต้ แต่ก็ยังมีเหตุผลอื่นๆ อีกมากมายเช่นกัน การที่ฮ่องเต้ไม่ได้บอกใบ้สิ่งใดเลยทำให้มู่ฉังหมิงและมู่เฟยหลวนแทบจะรอไม่ไหวที่จะหยุดนางไม่ให้เข้าไปในวังด้วยการให้อนุซุนทำลายใบหน้าของนางเสีย เนื่องจากเกรงว่าความโปรดปรานที่มีต่อมู่เฟยหลวนจะหายวับไปเมื่อนางย้ายเข้าไปอยู่ในวัง กล่าวอีกนัยหนึ่งคือทั้งมู่เฟยหลวนและมู่ฉังหมิงมั่นใจว่าหากฮ่องเต้พบนาง มันย่อมต้องเป็นอันตรายต่อมู่เฟยหลวนอย่างมาก

ดวงตาของมู่ชิงอีหลุบลง นางกัดริมฝีปากแล้วเอ่ยว่า “ชิงอีไม่ต้องการเข้าไปในวัง แต่…ชิงอีก็ไม่ต้องการออกจากเมืองหลวงด้วยเช่นกัน”

มู่ฉังหมิงมองไปที่มู่ชิงอีด้วยความทุกข์ใจ เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “ยังคงมีอีกหนึ่งหนทาง”

ดวงตาของมู่ชิงอีเป็นประกาย เงยหน้าขึ้นมองมู่ฉังหมิงอย่างรวดเร็ว ได้ยินมู่ฉังหมิงกล่าวว่า “ตราบใดที่ใบหน้าของเจ้ายังไม่ดีขึ้น เจ้าก็ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้”

ตอนต่อไป

หวนคืนชะตาแค้น

หวนคืนชะตาแค้น

Status: Ongoing
ความงาม…ไหวพริบ… ล้วนเป็นหมากในเกมกระดานของนาง เพื่อช่วยเหลือพี่ชายและกอบกู้ตระกูล แม้หัวใจนางก็พร้อมยอมแลก!ในเมื่อสวรรค์ต้องการให้ข้ามีชีวิตอยู่…ความแค้นและความเกลียดชังเอย…แม้ตายเก้าครั้งก็ยากจะลืมเลือน…ความยุติธรรมหมดไป…เหตุใดแคว้นยังไม่สูญสิ้น? ตั้งแต่นี้ต่อไป ข้าคือมู่ชิงอีและคือกู้อวิ๋นเกอด้วยเช่นกันจากหญิงสาวผู้เพียบพร้อมด้วยรูปโฉมและยศฐากลับร่วงหล่นสู่โคลนตมเพราะแผนร้ายของคนใกล้ตัวบ้านแตกสาแหรกขาด เสียทั้งเพื่อนสนิทและคู่หมั้นไปในคราวเดียวในงานประมูลคืนแรกของตน หญิงสาวฝังคมมีดลงบนร่างศัตรูและเผาร่างในกองเพลิงเมื่อฟื้นตื่นมาอีกครั้งนางกลับกลายเป็น มู่ชิงอี ญาติผู้น้องผู้อ่อนแอไปเสียแล้วเมื่อได้มีชีวิตกลับมาอีกครั้งนางจะทวงทุกสิ่งที่เคยเป็นของตนคืนมาคืนความยุติธรรมให้ตระกูลกู้ด้วยสองมือของนางเอง!“ตั้งแต่นี้ต่อไป ข้าคือมู่ชิงอีและคือกู้อวิ๋นเกอด้วยเช่นกัน ความอยุติธรรมทั้งหลายข้าจะคืนมันกลับไปทั้งหมด!”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท