เมื่อได้ฟังคำพูดของบิดาอย่างมู่ฉังหมิง มู่ชิงอีก็รู้สึกสั่นสะท้านไปทั้งตัว
บางทีตนควรจะขอบคุณที่มู่ฉังหมิงไม่ต้องการสังหารนาง แต่เพียงแค่อยากให้นางเสียโฉมเช่นนี้? แต่สำหรับหญิงสาวในจวนซู่เฉิงโหว ความแตกต่างระหว่างการเสียโฉมกับความตายจะแตกต่างกันเช่นไร เพียงรักษาชีวิตไว้แต่ให้อยู่อย่างทรมานไปตลอดชีวิตน่ะหรือ
เมื่อเผชิญกับสีหน้าตกใจของนาง มู่ฉังหมิงก็กล่าวอย่างขมขื่นว่า อีเอ๋อร์ไม่ต้องกังวลไป แม้ว่าใบหน้าของเจ้าจะไม่ดีขึ้น แต่ในอนาคตพ่อจะดูแลเจ้าเป็นอย่างดี อีกสองสามปีอาจจะหาท่านหมอมาเพื่อช่วยรักษาเจ้าก็ได้
มู่ชิงอีหลุบตาลง มองดูจานอันวิจิตรงดงามตรงหน้าของนางแล้วเอ่ยอย่างแผ่วเบาว่า ไม่น่าแปลกใจเลยที่ท่านพ่อจะมาทานสำรับมื้อเย็นกับชิงอี จานไหนหรือที่ใส่เนื้อปูลงไป ชิงอีไม่ทันรู้ตัวเลย
หลังจากที่โดยบุตรีเปิดโปงเจตนารมณ์ของตัวเอง ใบหน้าของมู่ฉังหมิงประเดี๋ยวก็ดำประเดี๋ยวก็แดง มองใบหน้าของมู่ชิงอีที่ยังคงเต็มไปด้วยผื่นแดงเข้ม แล้วเหลือบมองไปยังจานที่วางอยู่ตรงหน้าของนางอย่างรู้สึกผิด มันเป็นอาหารที่มู่ฉังหมิงจัดเตรียมไว้ให้กับนาง
เมื่อเทียบกับสำรับจานอื่นแล้ว รสชาติของสำรับจานนี้เข้มข้นกว่าเพียงแค่เล็กน้อย สันนิษฐานได้ว่าเดิมทีที่นางเคยคิดว่าคนครัวมีฝีมือปานกลางนั้นแท้จริงแล้วยังคงซ่อนเร้นฝีมือเอาไว้ เขาสามารถปรุงเนื้อปูลงไปในสำรับจานนี้ได้โดยที่นางเองไม่ได้กลิ่นเลยแม้แต่น้อย
แต่น่าเสียดาย…ที่มู่ฉังหมิงคงต้องผิดหวังเพราะนางไม่ได้สัมผัสละอองเกสรมาตั้งแต่แรก
ท่านพ่อ ชิงอีทุ่มเทอย่างดีที่สุดเพื่อเกียรติของท่านพ่อ เหตุใดท่านพ่อถึงใจร้ายใจดำกับข้าเช่นนี้เล่า มู่ชิงอีกล่าวอย่างแผ่วเบา
ใจดำอย่างนั้นหรือ หากไม่ใช่เพราะตนกำลังพยายามระงับความโหดร้ายของตัวเอง หรือหากในยามนี้เป็นมู่หรงอวี้ไม่ใช่ตน นางย่อมประสบกับโชคร้ายกว่านี้แน่นอน
กระนั้น เมื่อเห็นดวงตาที่เศร้าสร้อยของมู่ชิงอี มู่ฉังหมิงก็รู้สึกถึงความอ่อนแอในหัวใจตัวเอง แต่อย่างไรก็ตามมู่ชิงอีก็ทานสำรับนั้นเข้าไปแล้ว มู่ฉังหมิงจึงไม่อยากอยู่ที่นี่อีกต่อไป ลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกไปอย่างรวดเร็ว อีเอ๋อร์อย่าโทษพ่อเลย พ่อ…พ่อทำเพื่อตัวเจ้า! ราวกับว่ากำลังมีวิญญาณร้ายอยู่ข้างหลังนาง ทำให้เขาต้องรีบรุดเดินออกไป
มู่ชิงอีเหลือบมองไปยังสำรับอันโอ่อ่าบนโต๊ะแล้วจับจ้องแผ่นหลังของมู่ฉังหมิงที่กำลังเดินออกไป ลอบถอนหายใจเบาๆ แล้วกล่าวว่า หากเป็นอีเอ๋อร์ตัวจริงก็อาจจะไม่โทษเจ้าจริงๆ แต่…ข้าไม่ใช่นาง แล้วต้องทำเช่นไรดีเล่า
คุณหนูเจ้าคะ
อิ๋งเอ๋อร์และอู๋ซินปรากฏตัวในห้องพร้อมกัน ดวงตาคู่งามของอิ๋งเอ๋อร์แทบจะลุกเป็นไฟ เมื่อมองเห็นความขุ่นเคืองเพราะต้องการทวงความยุติธรรมของอิ๋งเอ๋อร์ ความโศกเศร้าในใจของมู่ชิงอีก็พลันสลายหายไป นางอดไม่ได้ที่จะป้องปากหัวเราะแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า เป็นอะไรไป ข้ายังไม่ได้ถูกทำให้เสียโฉมสักหน่อย
อิ๋งเอ๋อร์กล่าวอย่างเดือดดาลว่า แม้ว่าคุณหนูจะไม่เป็นอันใด กระนั้นก็ไม่สามารถลบล้างความผิดของซู่เฉิงโหวที่คิดทำร้ายคุณหนูได้ ซู่เฉิงโหวผู้นี้น่าขยะแขยงมากกว่ามู่อวิ๋นหรงเสียอีก!
มู่อวิ๋นหรงผู้นั้นลงมือทำร้ายคุณหนูเพียงเพราะรู้สึกว่าคุณหนูนั้นขัดหูขัดตานาง แต่ซู่เฉิงโหวผู้นั้น เห็นได้ชัดว่าต้องการจะทำร้ายใบหน้าของคุณหนูให้เสียโฉมเพียงเพื่อประโยชน์ของตัวเอง มันช่างน่ารังเกียจยิ่งนัก
ทันใดนั้นอิ๋งเอ๋อร์ก็พลันนึกขึ้นได้หลังจากที่ก่นด่าท่านโหวผู้เป็นบิดาให้กำเนิดของคุณหนูไปแล้วว่า คุณหนูอาจจะไม่ชอบที่ตนดูหมิ่นบิดาของนาง ฉับพลันใบหน้าเล็กๆ ที่เดิมทีเต็มไปด้วยความโกรธก็แปรเปลี่ยนเป็นความสงสารและพะว้าพะวงทำตัวไม่ถูก
มู่ชิงอีกล่าวด้วยรอยยิ้มบางว่า ไม่เป็นไร
ดวงตาของอิ๋งเอ๋อร์จึงสดใสขึ้นเล็กน้อย จดจ้องไปที่มู่ชิงอี
แม้คุณหนูจะเป็นนายท่านของท่านพ่อ แต่ท่านพ่อก็กังวลอยู่เสมอว่าคุณหนูจะปล่อยจวนซู่เฉิงโหวไปแล้วทิ้งทุกสิ่งที่เหลือของกู้เซียงไว้เบื้องหลังเพื่อแต่งงานกับศัตรู แต่หากดูจากปฏิกิริยาของคุณหนูในยามนี้แล้ว ดูเหมือนว่านางจะไร้ซึ่งเยื่อใยกับจวนซู่เฉิงโหวแล้ว
มู่ชิงอีจะไม่เข้าใจสิ่งที่อิ๋งเอ๋อร์คิดได้อย่างไร จึงกล่าวด้วยรอยยิ้มแผ่วเบา ท้ายที่สุดแล้วที่นี่…ก็คือจวนซู่เฉิงโหว
อิ๋งเอ๋อร์แลบลิ้นปลิ้นตาอย่างร่าเริง แต่จู่ๆ ก็ขมวดคิ้วแล้วกล่าวว่า คุณหนู ยามนี้บ่าวควรทำอย่างไรเจ้าคะ ท่านโหวผู้นั้นเห็นว่าคุณหนูทานเนื้อปูเข้าไปแล้ว หากใบหน้าของคุณหนูยังดีอยู่ บางทีมันอาจจะไปกระตุ้นให้กงอ๋องสงสัยขึ้นอีกครั้ง
มู่ชิงอีเลิกคิ้วขึ้นแล้วกล่าวว่า ไปเชิญท่านหมอมา แล้วก็…ปิดเรือนหลานจื่อเสีย จะไม่มีผู้ใดได้รับอนุญาตให้เข้ามาอีก หญิงสาวที่เสียโฉมนั้นอารมณ์ไม่ดีและไม่ต้องการที่จะพบใคร
ใครก็ไมให้พบเลยหรือเจ้าคะ อิ๋งเอ๋อร์เอ่ยถาม
มู่ฉังหมิงอาจจะรู้สึกละอายใจและไม่ย่างกรายมาที่นี่ ส่วนมู่ฮูหยินผู้เฒ่าคงไม่สนใจหลานสาวที่ไม่ถูกใจผู้นี้อยู่แล้ว แต่สามแม่ลูกอย่างพวกอนุซุนคงผิดปกติที่จะไม่มาแสดงความยินดี มู่ชิงอีดวงตาวาววับแล้วกล่าวอย่างเย็นชาว่า ไม่ว่าจะเป็นผู้ใด ตราบใดที่มาจากจวนซู่เฉิงโหว ให้ถามข้าก่อนทุกครั้ง!
มัน…จะดีหรือเจ้าคะ
จวนซู่เฉิงโหวจะต้องถูกจัดการ มู่ชิงอีกล่าวอย่างแผ่วเบา ในยามนี้มีเพียงอู๋ซินและอิ๋งเอ๋อร์เท่านั้นที่อยู่ในห้อง มู่ชิงอีก็เกียจคร้านเกินกว่าจะแสดงละครแล้ว จึงพูดว่าจวนซู่เฉิงโหวออกมาโดยตรง
บ่าวจะเชื่อฟังเจ้าค่ะ! อิ๋งเอ๋อร์ตอบรับอย่างหนักแน่น นางเองก็ไม่สบอารมณ์กับคนในจวนซู่เฉิงโหวเช่นกัน
ตกเย็น ที่เรือนหลานจื่อเกิดความวุ่นวายขึ้นเล็กน้อย หลังจากที่รีบเชิญท่านหมอมาแล้ว มู่ชิงอีก็ขับไล่ทุกคนออกไป ปิดผนึกประตูและปฏิเสธที่จะพบผู้ใดอีก ทุกคนในจวนซู่เฉิงโหวล้วนรู้ดีว่าคุณหนูสี่ได้เสียโฉมไปแล้ว
ในห้องหนังสือของจวนซู่เฉิงโหว มู่ฉังหมิง มู่หลิง และมู่เชินล้วนอยู่ที่นั่น อีกผู้หนึ่งที่อยู่ด้วยคือหมอเฒ่าที่เพิ่งออกมาจากเรือนของมู่ชิงอี ท่านหมอผู้นี้เป็นหมอเฒ่าจากสำนักหมอที่โด่งดังในเมืองหลวง เขาค่อนข้างมีชื่อเสียงในด้านฝีมือและจริยธรรม นอกจากนี้เขายังมาที่จวนซู่เฉิงโหวอยู่ตลอด คนของจวนซู่เฉิงโหวจึงสุภาพกับเขาทีเดียว ท่านหมอ ใบหน้าของเด็กคนนั้น…
หมอเฒ่าถอนหายใจ ส่ายศีรษะไปมาแล้วกล่าวว่า คุณหนูสี่มีร่างกายที่บอบบางเป็นอย่างมาก ดูเหมือนว่าจะแพ้หนักอยู่ไม่น้อย ตอนแรกมีเพียงผื่นแดงธรรมดา เดิมที่หากพักรักษาตัวสักสิบวันถึงสิบห้าวันก็จะดีขึ้น แต่ในวันนี้ผื่นพวกนั้นกลับเริ่มเน่าเปื่อย เช่นนี้…ใบหน้าของคุณหนูสี่คงไม่สามารถฟื้นตัวได้อีกต่อไปในเร็ววันนี้ เมื่อพูดถึงตรงนี้ หมอเฒ่าก็อดที่จะเสียใจไม่ได้ แม้ว่าเขาจะไม่เคยเห็นยามที่คุณหนูสี่งดงามที่สุด แต่เขาก็สามารถบอกได้จากที่เขาเห็นนางครั้งสุดท้าย หากผื่นลดลงแล้ว นางย่อมต้องเป็นหนึ่งในหญิงที่งดงามที่สุดในเมืองหลวงแน่นอน แต่น่าเสียดายที่ยามนี้คุณหนูสี่มีตำหนิที่ลบออกไม่ได้บนใบหน้าอันงดงามของนาง คุณหนูสี่ผู้นี้ได้ถูกทำลายชีวิตไปแล้ว
หลังจากครุ่นคิดอยู่สักพัก หมอเฒ่าก็หยิบยาขี้ผึ้งและเทียบยาจากกล่องยาข้างๆ ออกมาแล้วกล่าวว่า ยาขี้ผึ้งเสวี่ยเย่ว์นี้เป็นผลิตภัณฑ์เสริมความงามที่หายาก ส่วนเทียบยานี้ ให้รอจนกว่าบาดแผลบนใบหน้าของคุณหนูสี่ตกสะเก็ด หลังจากนั้นให้เริ่มทานยา พอสะเก็ดหมดแล้วก็ให้ทายานี้เสีย ใช้เวลาหนึ่งปีครึ่ง…ก็น่าจะหายดี เราผู้เฒ่าคงไม่สามารถทำสิ่งอื่นใดได้อีก ได้ยินมาว่าหมอหลวงหลายคนเชี่ยวชาญด้านศิลปะในการเสริมความงามบนใบหน้า บางทีท่านโหวอาจจะขอให้คนใดคนหนึ่งมาลองรักษาดูได้
หลังจากอธิบายอาการของมู่ชิงอีจบ หมอเฒ่าก็ลุกขึ้นและจากไป
มู่ฉังหมิงมองดูยาขี้ผึ้งและเทียบยาบนโต๊ะ ร่องรอยของอารมณ์ที่ซับซ้อนปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา ก่อนที่มันจะหายไปอย่างรวดเร็วและไร้ร่องรอย มู่เชินที่อยู่ข้างๆ รู้สึกหนาวสั่นไปทั้งตัว
เขาจำได้ว่าเมื่อไม่กี่วันก่อนท่านพ่อยังยกย่องน้องหญิงสี่ว่าฉลาดหลักแหลมและงดงาม อีกทั้งนางเองก็มีชื่อเสียงมากกว่าน้องหญิงสามเสียอีก คาดไม่ถึงว่าเพียงไม่กี่วันต่อมา ท่านพ่อจะสามารถลงมืออย่างโหดเหี้ยมกับน้องหญิงสี่เช่นนี้ได้
ตอนต่อไป