เมื่อคำพูดนี้ถูกพูดออกมา ในใจของมู่ฉังหมิงไปจนถึงมู่อวิ๋นหรงก็ล้วนอดไม่ได้ที่จะชาวาบขึ้นในใจ
มู่ชิงอียกมือขึ้นลูบใบหน้าที่อยู่ใต้ผ้าคลุม อดไม่ได้ที่จะรู้สึกละอายใจเล็กน้อยจากสายตาที่เต็มไปด้วยความห่วงใยของเกอซูฮั่นแต่การแสดงยังคงต้องดำเนินต่อไป จึงยิ้มพร้อมเอ่ยขึ้นเบาๆ ขอบพระทัยเลี่ยอ๋องที่ทรงห่วงใย เป็นชิงอีที่ไม่ระมัดระวังทานอาหารผิดไปโดยบังเอิญเท่านั้นเองเพคะ…
แม้ว่าเกอซูฮั่นจะมีอุปนิสัยที่เรียบง่ายไม่คิดเล็กคิดน้อยแต่เขาก็ไม่ใช่คนโง่ กวาดสายตามองมู่ฉังหมิงอย่างเย็นชา ทำให้มู่ฉังหมิงรู้สึกกระสับกระส่ายเหมือนนั่งอยู่บนกองไฟขึ้นมาทันที
คราวที่แล้วข้าก็บอกแล้วว่าให้เจ้าติดตามข้าไปยังเป่ยฮั่น คงจะมีความสุขมากกว่าการอยู่ในเมืองหลวงและจวนโหวเล็กๆ แห่งนี้? เกอซูฮั่นขมวดคิ้วเอ่ยขึ้น มู่ชิงอีแย้มยิ้มเอ่ยตอบ ขอบพระทัยในความกรุณาของท่านอ๋องแต่เมืองหลวงคือบ้านของชิงอีเพคะ
เกอซูฮั่นยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้ เขารู้สึกว่าสถานการณ์ปัจจุบันของมู่ชิงอีนั้นไม่ค่อยจะดีนัก แทนที่จะอยู่ในเมืองหลวงไม่สู้ติดตามตนไปยังเป่ยฮั่นอยู่อย่างมีความสุขไม่ดีกว่าหรือ อย่างน้อยในเป่ยฮั่นเขาสามารถปกป้องนางได้รอบด้านจะไม่ให้นางต้องกล้ำกลืนความไม่เป็นธรรม สำหรับแม่นางน้อยที่เคยช่วยเขาในยามที่ลำบากแสนเข็ญ จึงยากที่เกอซูฮั่นนั้นจะมีน้ำอดน้ำทน
เมื่อเห็นว่านางไม่เปลี่ยนใจเกอซูฮั่นก็ทำได้เพียงเอ่ยขึ้นว่า ช่างเถิด ที่เป่ยฮั่นนั้นมียาอายุวัฒนะสำหรับรักษารอยแผลเป็นอยู่บ้าง กลับไปข้าจะให้คนนำมาส่งให้เจ้า ตราบใดที่ข้ายังอยู่ในเมืองหลวงหากเจ้ามีเรื่องอันใดก็สามารถส่งคนไปหาข้าที่สถานฑูตเป่ยฮั่นได้
แท้จริงแล้วความช่วยเหลือจากสะใภ้จังแม่ลูกที่มีต่อเกอซูฮั่นเป็นเพียงเรื่องที่ง่ายเหมือนแค่พลิกฝ่ามือเท่านั้นเอง ยิ่งไปกว่านั้นเกอซูฮั่นก็เคยช่วยชีวิตพวกนางเอาไว้ เวลาก็ได้ผ่านมาหลายปีและน้าหญิงก็ได้จากไปตั้งนานแล้ว แต่เกอซูฮั่นยังคงจำไมตรีจิตเหล่านี้ได้และวางแผนอย่างจริงใจเพื่อมู่ชิงอี น้ำใจเหล่านี้ในใจของมู่ชิงอีรู้สึกขอบคุณและซาบซึ้งอย่างมาก นับตั้งแต่เข้าสิงร่างลูกพี่ลูกน้องหญิงของตน นี่นับเป็นครั้งแรกที่มู่ชิงอีเกิดความรู้สึกที่ดีต่อใครบางคน
ขอบพระทัยเลี่ยอ๋องเพคะ
เกอซูฮั่นลุกขึ้นยืนพลางเหลือบตามองมู่ชิงอี ถอนหายใจเอ่ยขึ้น เด็กน้อย เจ้านี่ไม่เหมือนตอนเด็กๆ เลยสักนิด ไม่น่ารักเลยจริงๆ
มู่ชิงอีถอนหายใจเบาๆ ในใจ แต่ใบหน้ากลับยิ้มแย้มกล่าวว่า ผู้คนมักจะต้องเติบโตขึ้นเสมอ
ถึงแม้ว่านิสัยแต่เดิมของเขานั้นจะเป็นคนง่ายๆ แต่เกอซูฮั่นซึ่งอยู่ในราชวงศ์ก็สามารถเข้าใจคำพูดของมู่ชิงอีได้เป็นอย่างดี
แม้แต่เขาเองก็ยังมีช่วงเวลาแห่งความไร้เดียงสาและความโง่เขลา หญิงสาวที่อยู่ตรงหน้านี้ หรือว่าช่วงเวลาที่ดูไร้เดียงสาและสดใสในปีนั้นไม่มีอยู่แล้วหลังจากที่ท่านแม่ของนางได้จากไปใช่หรือไม่
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้สายตาที่เกอซูฮั่นมองไปที่มู่ชิงอีก็มีความอ่อนโยนปนรักและทะนุถนอมมากขึ้น
หลังจากที่ส่งเกอซูฮั่นออกไป มู่ชิงอีก็ไม่มีอารมณ์ที่จะจัดการกับผู้คนในจวนซู่เฉิงโหวเพียงแค่กวาดตามองไปยังทุกคนอย่างเย็นชาแล้วกลับเข้าห้องของตนไป สำหรับท่าทีโต้ตอบของนางเช่นนี้ ผู้คนในจวนซู่เฉิงโหวก็ไม่ได้แปลกใจอะไรเพราะหากเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นกับมู่อวิ๋นหรงเกรงว่าคงจะก่อความวุ่นวายในจวนซู่เฉิงโหวไปนานแล้ว การแสดงของมู่ชิงอีก็นับว่าควบคุมอารมณ์เอาไว้ได้ดีพอสมควรแล้ว
มีข่าวลือเซ็งแซ่ในเมืองหลวง บรรดาเหล่าคนชนชั้นสูงล้วนคิดกันไปต่างๆ นาๆ ส่วนคนธรรมดาก็ยังคงใช้ชีวิตของตนไปอย่างไม่ทุกข์ร้อน การเจริญรุ่งเรืองและตกต่ำของเหล่าอ๋องและท่านโหวต่างๆ นับเป็นเพียงเรื่องตลกในสายตาของพวกเขา
จวนฉินทางตะวันตกเป็นจวนที่ไม่สะดุดตามากนักในเมืองหลวง นายท่านฉินเจ้าของจวนนี้ประกอบกิจการร้านค้าผ้าไหมที่ถือว่าไม่เลวเลยแห่งหนึ่ง ในวันธรรมดาๆ ก็นับว่าเป็นชายชราที่มีน้ำใจต่อผู้อื่น นอกจากนี้ในสายตาของคนนอกนั้น พ่อค้าทุกคนที่อาศัยอยู่ละแวกนี้ไม่ได้มีความแตกต่างกัน
ภายในเรือนที่ห่างไกลในส่วนที่ลึกที่สุดของเรือนหลังจวนฉิน ใต้ต้นไทรกลางลานบ้าน ซิ่วถิงในอาภรณ์สีขาวเอนกายหลับตาพักผ่อนอยู่บนเก้าอี้ ในมือถือหนังสือที่อ่านได้เพียงครึ่งเล่มเพราะว่าตาของเขาค่อยๆ เริ่มปิดลง หลังจากพักฟื้นได้สองสามวัน จิตใจของกู้ซิ่วถิงนั้นกลับแย่ลงกว่าตอนที่อยู่ในเรือนกงอ๋องเสียอีก ก่อนหน้านี้ที่เรือนของมู่หรงอวี้เขาต้องเผชิญการทรมานอย่างไม่รู้จบสิ้น ตอนนี้แม้ได้ผ่อนคลายแต่ทั่วทั้งร่างกลับรู้สึกว่าอ่อนแอลง
มือเรียวยาวขาวผ่องยื่นออกมาจับม้วนกระดาษที่ตกลงมาอย่างนุ่มนวลทำให้ชายหนุ่มที่แต่เดิมนั้นหลับตาพริ้มลืมตาขึ้น ข้างหน้ามีเด็กหนุ่มรูปงามที่ดูเหมือนจะอายุราวสิบสามสิบสี่ปีอยู่ กู้ซิ่วถิงยิ้มพลางหยัดกายลุกขึ้นนั่งเอ่ยว่า ชิงอี เหตุใดเจ้าถึงมาที่นี่
มู่ชิงอียืนขึ้นเดินไปด้านข้างแล้วนั่งลงบนก้อนหินผิวเรียบลื่นก้อนหนึ่งที่อยู่ข้างๆ อย่างไม่ใส่ใจพลางเอ่ยอย่างยิ้มๆ ว่า ว่างเจ้าค่ะก็เลยมาเยี่ยมเยียนพี่ใหญ่ สองวันมานี้พี่ใหญ่สบายดีหรือไม่เจ้าคะ
กู้ซิ่วถิงยิ้มบางพลางจ้องมองนาง พยักหน้าและเอ่ยว่า ดีมากแล้ว เกิดอะไรขึ้นกับจวนซู่เฉิงโหวอย่างนั้นหรือ มู่ชิงอีในฐานะบุตรีของภรรยาเอกแห่งจวนซู่เฉิงโหว ถึงแม้ว่าจะได้รับการปฎิบัติด้วยดีเป็นพิเศษ แต่ก็ใช่ว่าอยากจะออกมาก็ออกมาได้ เมื่อเห็นท่าทางสบายๆ ของชิงอีเห็นได้ชัดว่านางไม่รีบร้อนเลยสักนิด
นางมีความมั่นใจว่าจะไม่มีผู้ใดมาหานางยามที่ออกมาข้างนอก?
มู่ชิงอีเม้มริมฝีปากยิ้มน้อยๆ แล้วพยักหน้ากล่าวว่า เจ้าค่ะ คุณหนูสี่จวนซู่เฉิงโหวเสียโฉมแล้วจึงพบปะแขกไม่ได้ อีกทั้งยังไม่อยากพบหน้าผู้คน ในวันนั้นหลังจากเรื่องที่มู่ฉังหมิงต้องการที่จะทำลายโฉมหน้าของนาง สาเหตุที่มู่ชิงอีไม่เคลื่อนไหวในทันทีก็เพราะสถานการณ์ปัจจุบัน นางยังไม่ต้องการถูกส่งออกจากเมืองหลวงในตอนนี้และนางก็ไม่อยากหนักใจ คิดพิจารณาแล้วถ้าหากมู่ฉังหมิงต้องการชีวิตของนางจริงๆ นางจะต้องจัดการกับเขาอย่างไร ในทางตรงกันข้ามการเสียโฉมนับเป็นข้ออ้างที่ดีที่เตรียมไว้เพื่อนางโดยเฉพาะ นางสามารถอยู่ภายในจวนโดยไม่ต้องพบผู้ใด แน่นอนว่านางสามารถปรากฏตัวในเมืองหลวงได้อย่างอิสระเมื่อต้องการและในเวลาอื่นๆ…นางสามารถมีอิสระที่จะทำเรื่องต่างๆ ได้มากขึ้น อย่างเช่นตอนนี้มาที่จวนฉินทางตะวันตกของเมืองเพื่อดูพี่ใหญ่
เสียโฉม? กู้ซิ่วถิงยืดตัวตรงมองไปยังมู่ชิงอีเพื่อให้แน่ใจว่าใบหน้าที่งดงามของนางไม่ได้รับบาดเจ็บ เขาเอนหลังกลับไปพร้อมเอ่ยอย่างเคร่งขรึม ถึงอย่างไรเจ้าก็เป็นบุตรสาวของมู่ฉังหมิง เพราะเหตุใดเขาจึงต้องลงมือกับเจ้าด้วย
มู่ชิงอีเอ่ยขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ อาจเป็นเพราะโหรวเฟยกระมัง เมื่อไม่กี่วันก่อนข้าได้ยินมาว่าฮ่องเต้ทรงมีพระประสงค์ให้โหรวเฟยเรียกข้าเข้าพบ หลังจากนั้นก็ไม่รู้ว่าเหตุใดมู่…ท่านพ่อและสะใภ้ซุนแม้กระทั่งโหรวเฟยล้วนรู้สึกว่าฮ่องเต้ทรงต้องการให้ข้าเข้าวังเพื่อเป็นสนม จากนั้นก็…
จากนั้นมู่ฉังหมิงก็ต้องการที่จะทำลายใบหน้าของเจ้า? กู้ซิ่วถิงเอ่ยเสียงเข้ม ทำให้ผู้คนรู้สึกเย็นยะเยือก
มู่ชิงอีพยักหน้า มองดูกู้ซิ่วถิงอย่างลังเลก่อนที่จะเอ่ยขึ้นว่า ที่จริงแล้ว…นี่คือเหตุผลที่ข้ามาหาพี่ใหญ่ในวันนี้ ข้าอยากรู้ว่า เมื่อก่อน…ท่านแม่ของข้า… อันที่จริงมู่ชิงอีก็ไม่แน่ใจว่ากู้ซิ่วถิงจะรู้เรื่องราวในอดีตหรือไม่ อย่างไรเสียเขาก็มีอายุมากกว่านางเพียงสี่ปีเท่านั้น เรื่องทั้งหมดที่นางไม่รู้ ความเป็นไปได้ในเรื่องที่พี่ใหญ่รู้ก็มีจำกัด ถ้าหากพี่ใหญ่ก็ไม่รู้นางคงทำได้แค่หาโอกาสถามพี่ชายหรือใครสักคนในจวนซู่เฉิงโหว
กู้ซิ่วถิงตกตะลึงไปครู่หนึ่ง เหตุใดชิงอีถึงถามเช่นนี้
มู่ชิงอีกัดริมฝีปากพลางเอ่ยขึ้นเสียงเบา ข้า…ชิงอีต้องการหาสาเหตุการตายของท่านแม่…
กู้ซิ่วถิงนิ่งเงียบ เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสและช่วงนั้นถูกจับตัวมายังจวนหนิงอ๋อง ดังนั้นโดยเขาจึงไม่ได้สนใจสิ่งอื่นใด เมื่อเขารู้ข่าวนี้ จังฮูหยินก็จากไปได้หลายเดือนแล้ว โดยปกติบ่าวรับใช้ในจวนหนิงอ๋องจะไม่คุยกับเขา และมู่หรงอานก็คงจะไม่คุยเรื่องพวกนี้กับเขาดังนั้นเขาจึงไม่รู้ข้อเท็จจริงเรื่องการจากไปของจังฮูหยินเลย
ตอนต่อไป