“ท่านอ๋อง ไม่ทราบว่าพระองค์มีรับสั่งใดหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” มีคนเดินเข้ามาถามด้วยท่าทีนอบน้อม
กงอ๋องไม่นั่งรวมกับเหล่านายท่านคนอื่นๆ แต่กลับหนีมาอยู่ที่นี่ คงต้องมีเรื่องอันใดกระมัง
มู่หรงอวี้ส่ายศีรษะยิ้มกล่าว “ไม่มีเรื่องอันใดหรอก น้องเจ็ดกำลังเล่นสนุกอยู่กับพี่สี่ ข้าเพียงออกมาสูดอากาศก็เท่านั้น”
จูหมิงเยียนมองไปยังมู่หรงอวี้พร้อมยกยิ้มอย่างพองาม “ท่านพี่ หม่อมฉันไปหาพวกพี่สะใภ้ทางนั้นก่อนนะเพคะ”
มู่หรงอวี้พยักหน้าเอ่ยเสียงอ่อนโยน “ไปเถิด”
จูหมิงเยียนใบหน้าเปื้อนยิ้ม หมุนตัวมุ่งหน้าไปทางศาลาริมน้ำอีกฝั่งของสวนดอกไม้ ทุกคนที่เห็นในสายตาต่างก็อดลอบชื่นชมเลื่อมใสต่อท่าทีของมู่หรงอวี้ไม่ได้ ต้องรู้ก่อนว่า ไม่ว่าจูหมิงเยียนจะถูกใครทำลายความบริสุทธิ์หรือไม่ แต่สตรีที่ประสบเรื่องแบบนี้มาบุรุษส่วนมากมักทำใจยอมรับไม่ได้
ครั้นเห็นทุกคนมีทีท่าเก้ๆ กังๆ มู่หรงอวี้จึงเอ่ยเสียงเรียบว่า “ไม่ต้องสนใจข้า ทุกคนตามสบายเถิด”
ท่านอยู่ที่นี่ใครจะทำตัวตามสบายได้เล่า เมื่อครู่พวกเรากำลังคุยเรื่องข่าวซุบซิบของจวนกงอ๋องอยู่เลย
ทุกคนแอบพึมพำในใจเงียบๆ ดูท่าแล้วเหมือนมู่หรงอวี้ไม่คิดจะกลับไปจริงๆ เขากวาดตามองทั่วโถง ยกเท้าเดินฉับมุ่งไปทางมุมที่มีคนน้อยที่สุดแล้วนั่งลงยังโต๊ะที่อยู่ตรงข้ามกับมู่ชิงอีพอดี มู่ชิงอียังไม่เท่าไร แต่พวกที่คุยเรื่องข่าวซุบซิบจวนกงอ๋องไปเมื่อครู่พวกนั้น ใบหน้าล้วนตึงเกร็ง แม้แต่ร่างกายท่าทางยังแข็งทื่อไปหมด อยากลุกหนีแต่ก็ไม่กล้า อีกทั้งยังดูร้อนตัวมากอย่างเห็นได้ชัด
พอเห็นคนพวกนั้นมีท่าทีสีหน้าไม่เบิกบานสดใส มู่อีชิงก็อดลอบขบขันพลางส่ายหน้าไม่ได้
“คุณชายท่านนี้มีนามว่าอันใดหรือ” มู่หรงอวี้เอ่ยพลางสำรวจหนุ่มน้อยชุดคลุมสีม่วงอ่อนที่นั่งตรงข้ามตน เพราะมาร่วมงานเลี้ยงอายุครบเดือนของซื่อจื่อน้อย มู่ชิงอีนั้นไม่ได้สวมชุดสีขาวที่มักใส่ในยามปกติแต่กลับเปลี่ยนเป็นใส่ชุดผ้าแพรปักลวดลายมงคลสีม่วงอ่อนแทนแล้วคลุมทับด้วยผ้าคลุมโปร่งสีขาว มองดูแล้วสูงศักดิ์และหล่อเหลามากขึ้นไม่น้อย ราวกับคุณชายตระกูลร่ำรวยที่เพิ่งเข้าสังคมไม่นาน เพียงแต่คุณชายเหล่าตระกูลชื่อดังในเมืองหลวงมู่หรงอวี้พอจะรู้จักอยู่บ้าง ทว่าบุรุษหนุ่มเบื้องหน้ากลับไม่คุ้นหน้าเอาเสียเลยซึ่งเห็นได้ชัดว่าไม่เคยเจอมาก่อน อีกอย่างเมื่อครู่สีหน้าคนทั่วทั้งโถงใหญ่มู่หรงอวี้จะมองไม่เห็นได้อย่างไร ย่อมรู้สาเหตุของสีหน้าเช่นนี้ของพวกเขาอยู่แล้ว ข่าวลือของจวนกงอ๋องในช่วงหลายวันมานี้เขาฟังจนด้านชาไปนานแล้ว แต่หนุ่มน้อยผู้นี้กลับแตกต่างไปจากผู้คนพวกนั้นที่ท่าทางประหม่าและหน้าถอดสี ใบหน้าหล่อเหลากลับแฝงด้วยรอยยิ้มยียวนราวกับเห็นเรื่องสนุกๆ ก็ไม่ปาน ทั้งยังแฝงด้วยความซุกซนอยู่หน่อยๆ ชวนให้คนที่เดิมทีอารมณ์ห่อเหี่ยวอดอารมณ์ดีขึ้นไม่ได้
มู่ชิงอีชะงักเล็กน้อย ยิ้มแล้วกล่าวว่า “กระหม่อมสกุลจัง คนอิ๋งโจว ขอคารวะกงอ๋อง”
“คุณชายจังเป็นคนอิ๋งโจวแต่กลับดูไม่เหมือนเลย” มู่หรงอวี้กล่าวด้วยรอยยิ้ม
มู่ชิงอีเอ่ยตอบด้วยท่าทีใจเย็นว่า “ฝั่งท่านแม่…เป็นคนเย่ว์โจว อันที่จริง…กระหม่อมคล้ายท่านแม่” แล้วยังเบะมุมปากอย่างไม่พอใจราวกับไม่ชอบใจยามเอ่ยถึงบทสนทนานี้ มู่หรงอวี้อดยิ้มไม่ได้ “เป็นความผิดของข้าเอง ที่คิดว่าคนหน้าตาหมดจดอย่างคุณชายจังกลับมีความสง่างามของคนเจียงหนานอยู่ด้วย”
มู่ชิงอีส่ายศีรษะแล้วไม่พูดอะไรอีก ยอมรับไม่ได้จริงๆ ว่า ถ้าไม่รู้ธาตุแท้ของมู่หรงอวี้ตั้งแต่แรกนับว่าเขาเป็นคนที่ทำให้ผู้คนรู้สึกดีด้วยง่ายเสียจริง เขาไม่ได้อ่อนแอเหมือนเหล่าเชื้อพระวงศ์อย่างจื้ออ๋องหรือองค์ชายเจ็ดนั่น ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจแต่มักให้ความรู้สึกอยู่เหนือใครแต่ไม่ถึงขนาดกดสถานะของคนอื่นลงจนต่ำต้อย เพียงแต่อยู่ในตำแหน่งหนึ่งที่เหมาะสมพอดีเพื่อแสดงคุณสมบัติพิเศษของการวางตัวและความเป็นมิตรชวนให้น่าเข้าใกล้ นิสัยแบบนี้ทำให้คนมีความรู้ที่แสนเย่อหยิ่งอดศิโรราบจากใจจริงไม่ได้ ทำให้คนที่อยู่ลำดับต่ำกว่าสรรเสริญ และทำให้ศัตรูอย่างนางขาดการระมัดระวังตัว
แต่ถ้าไม่ใช่เพราะท่าทีที่สง่าอ่อนโยนราวกับอยู่ในกรอบกฏเกณฑ์เช่นนี้ ปีนั้นจะตบตาท่านพี่ได้อย่างไร จนกลายเป็นสหายและผู้ช่วยมากความสามารถที่น่าเชื่อใจที่สุดข้างกายองค์รัชทายาท แต่กลับดันเป็นสหายที่หักหลังทำร้ายท่านพี่องค์รัชทายาทและคนตระกูลกู้ด้วยน้ำมือของเขา
เวลานี้มู่ชิงอีรู้สึกขอบคุณความยากลำบากในหอนางโลมชุ่ยหงตลอดหลายปีมานี้ ถ้าเปลี่ยนไปเป็นตอนที่ตระกูลกู้เพิ่งล่มสลายไป ในสถานการณ์ที่เผชิญหน้ากับมู่หรงอวี้เช่นนี้ นางคงไร้หนทางที่จะสนทนากับเขาอย่างใจเย็นเช่นนี้ได้
“คุณชายจังเป็นคนอิ๋งโจวหรือ เหตุใดถึงมาเมืองหลวงได้เล่า” มู่หรงอวี้ถามอย่างไม่ใส่ใจนักแต่มู่ชิงอีนั้นรู้เจตนาของเขาดี บุรุษหนุ่มอายุสิบสามสิบสี่ปีคนหนึ่งจะมาเมืองหลวงเพียงลำพังได้อย่างไร อีกทั้งยังได้รับบัตรเชิญจากจวนจื้ออ๋องอีก ถึงแม้จัดงานเชิญแขกใหญ่โตเอิกเกริกแต่บัตรเชิญของจวนจื้ออ๋องไม่ใช่เศษกระดาษที่เก็บตรงไหนก็ได้
มู่ชิงอีเอ่ยตอบ “คือว่ากระหม่อมเพียงออกมาเที่ยวเล่น บังเอิญได้ยินว่าฝ่าบาทจัดงานฉลองวันคล้ายวันพระราชสมภพเลยแวะมาร่วมสนุกเพื่อให้ได้สิ่งๆ ดีเป็นมงคลติดตัวกลับไป ทางตระกูลของกระหม่อมมีร้านค้าอยู่สองร้านที่ไปมาหาสู่ร่วมทำการค้ากับจื้ออ๋อง แต่คิดไม่ถึงว่าพระชายาจะส่งคนเอาบัตรเชิญมาให้ด้วย” ถึงอย่างไรเสียสองร้านค้านั้นเดิมทีก็คิดไว้ว่าจะมอบให้กับมู่หรงเสีย มู่ชิงอีจึงหยิบยกมาใช้เป็นข้ออ้างโดยไม่ลังเลสักนิด
“เป็นเช่นนี้นี่เอง” มู่หรงอวี้เอ่ยพลางยิ้มบางๆ
“คุณชายเว่ยมาแล้ว” ไม่รู้ใครตะโกนขึ้นมา มู่ชิงอีทอดมองไปทางประตู จากนั้นก็เห็นเว่ยอู๋จี้ในชุดคลุมสีม่วงทั้งตัวกุมพัดในมือเดินเข้ามาอย่างช้าๆ จากด้านนอก ถึงแม้เว่ยอู๋จี้จะร่ำรวยเป็นที่หนึ่งในใต้หล้าแต่หากพูดเรื่องบรรดาศักดิ์ก็ยังห่างชั้นจากเหล่าเชื้อพระวงศ์พวกนั้นอยู่หลายชั้น ถึงแม้พระชายาของมู่หรงเสียจะเชิญเขาไปนั่งในโถงหลักแต่เขากลับปฏิเสธแล้วเดินมุ่งตรงมาทางโถงใหญ่
พอมองเว่ยอู๋จี้ที่เดินเข้ามาแล้วหันมองมู่หรงอวี้ที่จับจ้องไปทางประตูเช่นกัน มู่ชิงอีก็เข้าใจในทันที ที่แท้ก็มาที่นี่เพื่อรอคนโดยเฉพาะ ในเมื่อมู่หรงอวี้หรือแม้แต่เว่ยอู๋จี้ยังไม่ยินยอมนั่งกับพวกเหล่าราชนิกูลสูงศักดิ์ก็พอจะเดาได้ ที่แท้ก็ทำได้ทุกอย่างเพื่อเป้าหมายของตัวเอง
ทันทีที่เว่ยอู๋จี้มาถึง ทั่วทั้งโถงใหญ่ก็คึกครื้นไม่น้อย เดิมทีเหล่าพ่อค้าในโถงใหญ่ที่มีอยู่ไม่น้อยนั้น พอเจอเว่ยอู๋จี้เศรษฐีอันดับหนึ่งย่อมต้องรีบกรูกันเข้าไปทักทายอยู่แล้ว อีกอย่างเผชิญหน้ากับเว่ยอู๋จี้ก็ไม่ได้กดดันและน่าอึดอัดเหมือนมู่หรงอวี้เช่นก่อนหน้านี้ ชายหนุ่มที่ร่ำรวยเพียบพร้อมกลับยังคงครองโสดอย่างเว่ยอู๋จี้ย่อมตกเป็นเนื้อติดมันต้องตาต้องใจของทุกคน ไม่ว่าจะมีเรื่องกิจการค้าขายมาพูดคุยหรือไม่ ทุกคนก็ล้วนแห่เข้ามาทักทายเขาอยู่ดี
เว่ยอู๋จี้ส่งยิ้มให้ทุกคนที่เข้ามาทักทายรอบหนึ่ง แล้วจึงค่อยๆ เบนสายตาไปทางสองโต๊ะตรงมุมนั้น เพียงแต่มู่หรงอวี้ผยองในสถานะของตัวเอง ถึงแม้เขาอยากจะเข้าไปหาเว่ยอู๋จี้เพียงใดแต่คงไม่แห่กรูเข้าไปพร้อมกับคนอื่นแน่นอน ส่วนมู่ชิงอีเพิ่งแฉเขาต่อหน้าจื้ออ๋องไปเลยนึกใจฝ่ออยู่บ้าง อีกอย่างนางกับเว่ยอู๋จี้ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องทางผลประโยชน์กัน ย่อมไม่ต้องเข้าไปเอาใจแน่นอนอยู่แล้ว
“เว่ยอู๋จี้ขอคารวะกงอ๋อง” เว่ยอู๋จี้พุ่งตรงเข้ามาแล้วคำนับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ไม่ถือว่านอบน้อมแต่ก็ไม่ได้กระตือรือร้น แม้กระทั่งท่าทีที่เว่ยอู๋จี้แสดงนั้นดูห่างเหินแต่ไม่ได้ทำให้คนที่เห็นรู้สึกเสียมารยาท มู่หรงอวี้ไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้อย่างเห็นได้ชัด ยิ้มอย่างไม่ใส่ใจกล่าว “คุณชายเว่ยเกรงใจไปแล้ว ไม่งั้นนั่งดื่มด้วยกันสักแก้วเป็นอย่างไรเล่า”
เห็นได้ชัดว่าเว่ยอู๋จี้เห็นฉากแบบนี้จนชินแล้ว เขาเป็นเศรษฐีผู้มีเงินทองมั่งคั่ง แม้แต่เหล่าเชื้อพระวงศ์ยศสูงส่งในแว่นแคว้นยังเกรงใจคิดดึงเขาเข้าพวกครั้งแล้วครั้งเล่า ถึงแม้สังคมนี้สถานะของพ่อค้าจะไม่สูงนักแต่ใครจะต้านทานความน่าเย้ายวนของเงินทองได้บ้าง มู่หรงอวี้คิดอยากพูดอะไรกับตน เว่ยอู๋จี้ไม่ต้องคิดก็เดาได้ แต่เขารู้ว่ามู่หรงอวี้ไม่พูดตอนนี้แน่นอนเพราะที่นี่ไม่ใช่สถานที่ที่เหมาะสมจะสนทนา ดังนั้นเขาเองก็ไม่ยี่หระ ยิ้มเอ่ยเสียงเรียบว่า “เช่นนั้น กระหม่อมก็ขอทำตามพระบัญชา”
ตอนต่อไป