ทว่าเว่ยอู๋จี้ไม่ได้นั่งลงตรงข้ามมู่หรงอวี้แต่กลับนั่งลงตรงด้านขวาของมู่หรงอวี้ที่ติดกำแพง เช่นนี้ไม่เพียงแต่มองเห็นสถานการณ์โดยรวมทั่วทั้งโถงใหญ่เท่านั้น แต่ยังมองเห็นมู่ชิงอีที่นั่งมุมในสุดอีกด้วย
เห็นได้อย่างชัดเจนว่าคุณชายเว่ยเป็นคนไม่ชอบให้ใครมานั่งด้านหลังของตัวเอง มู่ชิงอีขบคิดแล้วกวาดตามองชายทั้งสองเบื้องหน้าอย่างเปิดเผย
ถูกคนห้อมล้อมเช่นนี้แต่คุณชายเว่ยไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องน่าโกรธแต่อย่างใด ในทางกลับกันยังส่งยิ้มบางๆ พร้อมพยักหน้าให้มู่ชิงอี จากนั้นก็คุยสัพเพเหระกับมู่หรงอวี้ เนื้อหาที่ทั้งสองพูดคุยไม่ได้สลักสำคัญอะไร เว่ยอู๋จี้แค่คุยเรื่องออกไปท่องแดนไกลและขนบธรรมเนียม สภาพแวดล้อมของแคว้นอื่น รวมถึงคุยกับมู่หรงอวี้เรื่องเหตุการณ์บ้านเมือง แต่พวกเขาก็แค่คุยกันเรื่อยเปื่อยซึ่งไม่ใช่เรื่องที่อยากคุยกันจริงๆ เงียบไปสักพัก มู่ชิงอีจึงล้มเลิกความสนใจไป
“คุณชายจังเป็นคนอิ๋งโจว?” ฉับพลันเสียงของเว่ยอู๋จี้ก็ดังแว่วมาจากด้านข้างด้วยสีหน้าตกตะลึง มู่ชิงอีชะงักไปครู่หนึ่งแล้วกลับมามีสติอย่างรวดเร็ว เงยหน้าขึ้นแล้วพยักหน้าให้เว่ยอู๋จี้ กล่าวว่า “เป็นเช่นนั้นขอรับ”
เว่ยอู๋จี้ยิ้มเอ่ย “เมื่อสามปีก่อนข้าก็ไปอิ๋งโจวมาครั้งหนึ่ง เป็นสถานที่ที่ดีสถานที่หนึ่งเลยจริงๆ ข้าจำได้ว่าใต้เขาฟังชุ่นมีจวนหลังหนึ่งที่เจิ้นไห่จวิ้นอ๋องเป็นคนสร้างไว้มีชื่อว่าแดนเซียนเผิงไหล[1] ช่างงดงามดั่งแดนเซียนจนชมครั้งเดียวไม่พอ ชวนให้ลืมไม่ลงเสียจริง”
มู่ชิงอีแววตาส่องประกายเล็กน้อย แล้วเลิกคิ้วอย่างฉงนเอ่ย “คุณชายเว่ยจำผิดแล้วกระมัง แดนเซียนเผิงไหลอยู่ใต้เขาฟังจั้งต่างหาก” เขาฟังจั้งกับเขาฟังชุ่นชื่อคล้ายกันมาก ปกติถ้าไม่ใช่คนในพื้นที่อิ๋งโจวอาจจำผิดได้จริงๆ แต่มู่ชิงอีกลับเชื่อว่าเว่ยอู๋จี้กำลังหยั่งเชิงนางอยู่มากกว่า แท้จริงแล้วต้องระวังตัวขนาดไหนกัน เว่ยอู๋จี้หยั่งเชิงแม้กระทั่งหนุ่มน้อยที่เพิ่งเจอหน้ายังไม่ได้คุยกันแม้เพียงสักประโยคเดียว มู่ชิงอีแอบขบคิดในใจว่าตนต้องระวังตัวให้ดี ดูท่าทางคุณชายเว่ยผู้นี้ไม่เหมือนพ่อค้าธรรมดาๆ ทั่วไปเสียแล้ว
เว่ยอู๋จี้สีหน้าเปลี่ยน กล่าวด้วยรอยยิ้มแผ่วเบา “อย่างนั้นหรือ ดูท่าข้าจะจำผิดเอง ช่างน่าอับอายเสียจริง”
มู่ชิงอียิ้มเอ่ย “ขนาดคนในพื้นที่อิ๋งโจวยังจำผิดได้ จะนับประสาอะไรกับคุณชายเว่ยเล่า คุณชายความรู้กว้างขวาง ช่างน่านับถือยิ่งนัก”
เว่ยอู๋จี้ยิ้มกล่าว “คุณชายจังชมเกินไปแล้ว คุณชายจังท่องแดนไกลเพียงลำพังตั้งแต่อายุเท่านี้ ข้าต่างหากที่ต้องนับถือ” มู่ชิงอียกมือคำนับพร้อมรอยยิ้มแต่งแต้มบนใบหน้า “บ้านข้าเองก็มีกิจการค้าขาย แต่ไหนแต่ไรมาข้าถือคุณชายเป็นต้นแบบตัวอย่างมาตลอด”
ถึงขนาดถือเขาเป็นต้นแบบตัวอย่างเป้าหมายชีวิต คุณชายเว่ยที่ถนัดเข้าสังคมพลันรู้สึกหมดหนทางยกยออีกฝ่าย ทำได้แค่ยิ้มกล่าว “ก็แค่หาเงินเท่านั้น คุณชายจังพูดเกินไปแล้ว”
ทั้งสองพลันเงียบลงในชั่วขณะ ทั้งคู่ต่างก็รู้สึกว่า การยกยอซึ่งกันและกันแบบนี้ช่างน่าเบื่อเป็นที่สุด
มู่หรงอวี้ที่นั่งอยู่ข้างๆ คอยมองพวกเขาสองคนโต้ตอบกันไปมาโดยมีโต๊ะตัวหนึ่งกั้นอยู่เบื้องหน้าเงียบๆ แน่นอนว่าย่อมพุ่งเป้าสายตาไปที่เว่ยอู๋จี้มากกว่า ท่าทีที่เว่ยอู๋จี้แสดงออกมาเห็นได้ชัดว่าเขาไม่สนใจข้องเกี่ยวกับความขัดแย้งระหว่างเหล่าเชื้อพระวงศ์ และไม่ได้คิดจะเอาความมั่งคั่งของตนใช้หาความดีความชอบใส่ตัว หรือพูดได้ว่าเบี้ยต่อรองและโอกาสที่จะเอาชนะของมู่หรงอวี้ยังมีไม่มากพอ ทั้งยังดึงความสนใจจากพ่อค้าที่ฉลาดหลักแหลมคนหนึ่งอย่างเว่ยอู๋จี้ไม่ได้ด้วย
เดิมทีถ้าเว่ยอู๋จี้ไม่มาเมืองหลวงยังช่างมันได้ แต่ในเมื่อเขามาถึงเมืองหลวงแล้วจะทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ได้อย่างไร ต่อให้ตนไม่ไปหาเว่ยอู๋จี้ พี่น้องคนอื่นๆ ก็ต้องไปหาเขาอยู่ดี ฉะนั้นมู่หรงอวี้เลยชิงลงมือก่อนเพื่อเป็นต่ออีกฝ่ายอย่างไม่แยแส คนที่มีอำนาจทางการเงินมหาศาลอย่างเว่ยอู๋จี้ ถ้าเอามาใช้งานให้เขาไม่ได้ อย่างน้อยก็อย่าให้ศัตรูของเขาได้ไปเช่นกัน ไม่เช่นนั้นเขายอมทำลายเว่ยอู๋จี้ดีกว่า
มู่ชิงอีมองเว่ยอู๋จี้แล้วจึงหันมองมู่หรงอวี้ที่มีสีหน้าเรียบเฉย พลันลอบถอนหายใจแทนเว่ยอู๋จี้ ด้วยสถานะอย่างเว่ยอู๋จี้แล้วในสายตาของเหล่าเชื้อพระวงศ์ย่อมเห็นเขาเป็นเนื้อติดมันฉ่ำชิ้นหนึ่งและกองเงินเคลื่อนที่ที่ใช้อย่างไรก็ไม่มีวันหมด มิน่าเล่า เขาเพิ่งเข้าเมืองหลวงมาก็ถูกมู่หรงอวี้จับตามองเสียแล้ว คนอย่างมู่หรงอวี้ ถ้ายอมเข้าพวกด้วยก็ดีไปแต่ถ้าไม่ เว่ยอู๋จี้คงต้องโทษร้ายแรงจากมู่หรงอวี้อย่างแน่นอน คิดๆ ดูแล้วไม่รู้ว่าเหตุใดหรงจิ่นถึงต้องผูกพยาบาทเว่ยอู๋จี้จนกำลังแอบวางแผนร้ายที่น่าเกลียดน่าไม่อายแบบนั้น นี่เป็นครั้งแรกที่มู่ชิงอีรู้สึกว่าเศรษฐีอันดับหนึ่งอย่างเว่ยอู๋จี้คุณชายผู้นี้ใช้ชีวิตไม่ง่ายเลยจริงๆ
“คุณชายจังคิดอะไรอยู่หรือ” เว่ยอู๋จี้ทอดมองเด็กหนุ่มที่แววตาส่องประกายความเห็นใจอยู่รำไรมายังตนอย่างสนอกสนใจ จึงเอ่ยถามออกไปอย่างขบขัน
มู่ชิงอีกะพริบตากำลังเปิดปากพูด ด้านนอกก็พลันมีเสียงเล็กแหลมดังแว่วมาอีกครั้ง “องค์หญิงหมิงฮุ่ย! องค์หญิงไหวหยาง! หย่งจยาจวิ้นจู่ เสด็จ!”
ครั้นได้ยินเสียงจากด้านนอกคนในโถงใหญ่ก็เงียบกริบ
วันนี้โถงใหญ่ได้รับความนิยมมากขนาดนี้เชียวหรือ คนใหญ่คนโตทั้งหลายมีที่ดีๆ ให้อยู่แต่ไม่อยู่ต่างพากันมาเบียดเสียดกันที่นี่แทน? แต่องค์หญิงทั้งสองกับจวิ้นจู่อีกคนล้วนเป็นสาวงามที่พบเจอได้ยากนัก ถึงแม้ตนจะคว้าเอามาไม่ได้แต่ได้ยลโฉมสักหน่อยก็นับเป็นบุญตาแล้ว
ความจริงตัวต้นตอหายนะทั้งหมดนี้ล้วนเป็นฝีมือของใครบางคนที่นั่งพิงผนังโบกพัดในมือเบาๆ ด้วยสีหน้าสุขสบายใจในเวลานี้ ถ้าไม่ใช่เพราะภูเขาทองแสงเจิดจ้าที่ดึงดูดสายตาคนอย่างคุณชายเว่ยไม่ไปนั่งในโถงกลางตามที่จวนจื้ออ๋องจัดให้แต่กลับปัดแข้งปัดขาเหล่าเชื้อพระวงศ์ที่มีแผนในใจ มู่หรงอวี้และองค์หญิงหมิงฮุ่ยจะมาปรากฏตัวที่นี่ได้หรือ
พอสาวงามทั้งสามที่สวมชุดรูปแบบแตกต่างกันออกไปเดินเข้าประตูมาก็สะกดสายตาของทุกคนไว้ แวบแรกที่ทุกคนเห็นก็คือหย่งจยาจวิ้นจู่ในชุดทะมัดทะแมงรัดรูปสีแดงสดทั้งตัว ชุดคลุมสีแดงสดขับเส้นโค้งเว้าอันงดงามของหย่งจยาจวิ้นจู่ได้เป็นอย่างดี ใบหน้างดงามหมดจดยิ่งขับให้ดูเย่อหยิ่งและผึ่งผายมากขึ้นยามอยู่ภายใต้ชุดสีแดงดั่งเปลวเพลิง เพียงแต่ตรงเอวของสาวงามผู้นี้พันด้วยแส้ที่ตกแต่งอย่างวิจิตรงดงามเส้นหนึ่ง ถึงแม้แส้เส้นนี้จะตกแต่งด้วยอัญมณีเหมือนของเล่นแต่ประกายแสงเย็นยะเยือกจากปลายแส้ที่ยื่นโผล่ออกมากลับชวนให้คนที่เห็นอดตัวสั่นสะท้านไม่ได้
เทียบกับหย่งจยาจวิ้นจู่ที่ชวนให้คนตกตะลึงตอนเดินเข้ามา องค์หญิงหมิงฮุ่ยและองค์หญิงไหวหยางดูอ่อนโยนกว่ามาก แม้แต่เสื้อผ้าบนตัวคนหนึ่งเป็นสีเหลืองนวล อีกคนเป็นสีฟ้าอ่อน สาวงามที่เดิมทีอยู่อันดับต้นๆ บัดนี้ดูท่าจะถูกความงามของหย่งจยาจวิ้นจู่กลบไปไม่น้อย ดังนั้นแววตาที่ทั้งสองมองหย่งจยาจวิ้นจู่จึงดูแปลกๆ แต่เห็นได้ชัดว่าหย่งจยาจวิ้นจู่ไม่สะทกสะท้ายเลยสักนิด แหงนหน้าย่างเท้าก้าวสู่โถงใหญ่พลางกวาดตามองทุกคนในโถงใหญ่ด้วยท่าทีสุขุมอย่างเป็นธรรมชาติ
“คารวะองค์หญิง!” ทุกคนทำความเคารพองค์หญิงหมิงฮุ่ยอีกครั้ง แต่ไหนแต่ไรมาองค์หญิงหมิงฮุ่ยไม่ใช่คนคนถ่อมตนอะไร กระทั่งไม่บอกแม้แต่ให้ทุกคนลุกขึ้นด้วยซ้ำ เพียงหมุนตัวพุ่งไปหาเว่ยอู๋จี้และมู่หรงอวี้โดยทันที
มู่หรงอวี้ขมวดคิ้วมุ่นเอ่ยเสียงขรึมว่า “วันนี้มาอวยพรให้พี่สี่ ทุกคนต่างเป็นแขก ไม่ต้องพิธีรีตองมากนัก” พอได้ยินคำพูดของมู่หรงอวี้ทุกคนถึงรีบลุกขึ้นขอบพระทัย ในใจยิ่งหวาดผวาเรื่องข่าวลือของกงอ๋องที่นินทากันไปเมื่อครู่ หากเทียบกับองค์หญิงห้าแล้ว กงอ๋องนับว่าเป็นคนที่ดีมากคนหนึ่ง
ครั้นสังเกตเห็นว่าเหล่าคนใหญ่คนโตอยู่ในมุมนี้มากเกินไป ทุกคนในโถงใหญ่เลยเริ่มย้ายไปอีกมุมฝั่งหนึ่งด้วยตัวเอง ขนาดศัตรูที่เดิมทีเห็นแล้วรกหูรกตาก็กลับนั่งร่วมโต๊ะกันได้อย่างไม่คิดเล็กคิดน้อย บรรยากาศที่พลันคึกคักอลหม่านดูกลมเกลียวแสนสุขและสถานการณ์ที่โต๊ะว่างถึงสี่ห้าโต๊ะรอบกายพวกเขานั้นยิ่งทำให้เห็นชัดว่าเหตุการณ์ในยามนี้ช่างดูน่าแปลกประหลาดอย่างแท้จริง
——————————-
[1]แดนเซียนเผิงไหล แดนสวรรค์ของเหล่าทวยเทพ
ตอนต่อไป