เดิมทีองค์หญิงหมิงฮุ่ยไม่พอใจกับการแต่งงานกับพ่อค้าคนหนึ่งด้วยซ้ำ จนกระทั่งหลังจากเว่ยอู๋จี้ปฏิเสธการแต่งงานแล้วจึงรู้สึกสนใจเขาขึ้นมา แม้กระทั่งเคยแอบลอบดูเว่ยอู๋จี้ อีกทั้งยังทูลกับฮ่องเต้ว่าเต็มใจแต่งงานกับเว่ยอู๋จี้ด้วยตัวเอง เพียงแต่ตอนนั้นเว่ยอู๋จี้เดินทางจากเมืองหลวงไปเป่ยฮั่นแล้ว หลังจากนั้นทุกครั้งที่เว่ยอู๋จี้กลับมาเมืองหลวงองค์หญิงหมิงฮุ่ยก็จะให้คนเอาจดหมายไปให้ จนในที่สุดปีก่อนก็อดไม่ได้ที่จะแสร้งไปเจอเว่ยอู๋จี้ที่กำลังไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ตามพระบัญชานอกพระตำหนักฉินเจิ้งภายในวังโดยบังเอิญ เพียงแต่น่าเสียดายที่ดูแล้วคุณชายเว่ยยามนี้ไม่ยอมรับความปรารถนาดีจากสาวงามเสียแล้ว
สาวงามคนหนึ่ง โดยเฉพาะสาวงามที่มีสถานะสูงศักดิ์คนหนึ่งทุ่มเทแรงกายแรงใจแต่ในสายตาของคนที่อยู่ในใจกลับไม่หลงเหลือความประทับใจใดเลย นี่เป็นความอับอายขนาดไหนกัน? ดวงตาที่งดงามพลันแดงก่ำ พลางจับจ้องบุรุษหน้าตาหล่อเหลาผู้มั่งคั่งเบื้องหน้าตนอย่างคับแค้นใจ
“พอแล้ว” มู่หรงอวี้ขมวดคิ้วเอ่ยเสียงต่ำ เดิมทีมู่หรงอวี้รู้สึกไม่ค่อยดีกับน้องสาวร่วมราชนิกูลนิสัยเสียคนนี้นัก ไม่ใช่เพียงเพราะเรื่องที่องค์หญิงหมิงฮุ่ยทำให้จูหมิงเยียนเสียเกียรติครั้งก่อนเท่านั้น แต่ไหนแต่ไรมาองค์หญิงหมิงฮุ่ยอาศัยว่าเป็นคนโปรดของฮ่องเต้เลยเผด็จการเอาแต่ใจจนเสียนิสัย ทั้งยังถูกเลี้ยงดูจนติดนิสัยไม่ดูสถานการณ์ก็พูดสุ่มสี่สุ่มห้าแบบนี้
สามปีก่อนเว่ยอู๋จี้ปฏิเสธข้อเสนอที่ทรงประทานเรื่องการอภิเษกไปแล้ว ในเมื่อท่านพ่อเองก็ไม่ได้โทษเว่ยอู๋จี้ เรื่องนี้ก็ไม่ควรพูดถึงอีกเพื่อเลี่ยงไม่ให้เสื่อมเสียเกียรติของเชื้อพระวงศ์องค์หญิง แต่องค์หญิงหมิงฮุ่ยดันทำราวกับชื่อเสียงของตนไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรถึงได้กระหน่ำย่ำยีโยนทิ้งลงพื้นเช่นนี้ คิดว่าศักดิ์ศรีของเหล่าตระกูลภูมิหลังโด่งดังในเมืองหลวงมากมายจะไม่ต้องมาพัวพันเรื่องน่าไม่อายเช่นนี้หรือ ถ้าเว่ยอู๋จี้ไม่แต่งงานกับนาง เกรงว่าในเมืองหลวงคงไม่มีคนดีๆ ยอมแต่งกับนางแล้ว
เห็นได้ชัดว่าองค์หญิงหมิงฮุ่ยไม่รู้ถึงเจตนาดีของมู่หรงอวี้ ทั้งยังตะคอกเสียงอย่างไม่ไว้หน้าว่า “ไม่พอ! ข้ามีอะไรไม่ดีกันถึงทำให้เจ้าหลบหน้าหลบตาข้าเช่นนี้ เว่ยอู๋จี้ หากเจ้าไม่พูดให้ชัดเจน ข้าไม่ปล่อยเจ้าไปแน่!”
เว่ยอู๋จี้ขมวดคิ้วด้วยความกลัดกลุ้มใจเล็กน้อย ไม่ว่าเป็นใครหากถูกสตรีที่ตัวเองไม่ชอบตามวอแวไม่เลิกก็คงกลัดกลุ้มใจทั้งนั้น พวกที่อยู่อีกฝั่งในโถงใหญ่แสร้งทำทีพูดคุยเรื่องของตัวเองไป แต่ความเป็นจริงทุกคนต่างก็เงี่ยหูตั้งใจฟังว่าคุณชายเว่ยจะปฏิเสธองค์หญิงห้าเช่นไร
ผ่านไปสักพักแม้แต่หย่งจยาจวิ้นจู่ที่เดิมทีคุยกับมู่ชิงอีอย่างเพลิดเพลินยังอดหันไปมองพวกเขาอย่างใคร่รู้ไม่ได้ ผ่านไปสักพัก เว่ยอู๋จี้ก็พูดอย่างเนิบนาบว่า “องค์หญิงเข้าใจผิดแล้ว กระหม่อม…มีคู่หมั้นตั้งนานแล้ว ความรักขององค์หญิง…กระหม่อมรับไว้ไม่ได้จริงๆ”
เช่นนี้ ความจริงแล้วคุณชายเว่ยรู้ว่าองค์หญิงหมิงฮุ่ยชื่นชอบอย่างนั้นหรือ
ทุกคนต่างตกตะลึง คุณชายเว่ยมีคู่หมั้นแล้ว!? ข่าวนี้น่าตกตะลึงยิ่งเสียกว่าข่าวจวนกงอ๋องเกี่ยวดองกับจวนสกุลหลี่เสียอีก
“คู่…คู่หมั้น?” ไม่ใช่เพียงแต่องค์หญิงหมิงฮุ่ยที่ตกตะลึง องค์หญิงไหวหยางและมู่หรงอวี้ที่นั่งโต๊ะเดียวกันก็ไม่ต่างกันเลย เพียงแต่ไม่ได้เสียอาการเท่าองค์หญิงหมิงฮุ่ยก็เท่านั้น เหมือนว่าองค์หญิงหมิงฮุ่ยจะเสียสติเพราะข่าวที่โผล่มากะทันหันนี้ไปแล้ว “นางเป็นใครกัน สวยกว่าข้า ปราดเปรื่องกว่าข้า สถานะสูงส่งกว่าข้าหรือไม่เล่า” องค์หญิงหมิงฮุ่ยขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ทั้งยังทำให้ทุกคนต่างเชื่อมั่นว่าคู่หมั้นผู้นั้นของคุณชายเว่ยต้องอยู่ที่นี่ด้วยแน่ เกรงว่าองค์หญิงหมิงฮุ่ยจะอัดนางจนเละโดยไม่ลังเลเลย
เว่ยอู๋จี้ยิ้มน้อยๆ พลางส่ายศีรษะเอ่ยตอบ “บนโลกนี้จะมีสตรีสักกี่คนที่สถานะสูงส่ง หน้าตางดงามและปราดเปรื่องกว่าองค์หญิงกันเล่า คู่หมั้นของกระหม่อมเป็นเพียงหญิงธรรมดา ไม่คู่ควรที่องค์หญิงต้องให้ความสนใจเช่นนี้ เพียงแต่…คำว่าความรู้สึกไม่เข้าใครออกใคร ขอแค่กระหม่อมชื่นชอบ นางก็จะเป็นหญิงที่งดงามที่สุดในโลก” รอยยิ้มบนใบหน้าของเว่ยอู๋จี้แฝงความอ่อนโยนมากขึ้นกว่าเดิมขณะที่กำลังนึกคิด องค์หญิงหมิงฮุ่ยที่เห็นเช่นนั้นจึงทั้งเกลียดทั้งอิจฉา “ข้าไม่เชื่อหรอก! เจ้าให้นางออกมา ข้าจะประลองกับนาง!”
เว่ยอู๋จี้ขมวดคิ้วเอ่ยอย่างไม่ชอบใจว่า “กระหม่อมพูดไปแล้วว่านางไม่ใช่สตรีเช่นองค์หญิง แต่นางจะเป็นหญิงคนเดียวที่กระหม่อมจะแต่งงานด้วย ดังนั้นองค์หญิงโปรดระวังคำพูดด้วย”
“เจ้า…”
“หมิงฮุ่ย!” สีหน้าของมู่หรงอวี้ดูย่ำแย่มากกว่าเดิม ตัวเขาปฏิเสธชัดเจนขนาดนี้แล้วยังจะตามรังควานกัดไม่ปล่อยช่างน่าเกลียดเสียจริง มีน้องสาวแบบนี้อดขายหน้าคนอื่นไม่ได้!
“ข้า…” องค์หญิงหมิงฮุ่ยยังคิดจะพูดอะไรต่อ ทว่ามู่หรงอวี้กลับไม่อยากฟังนางพูดสักประโยคเดียวรีบเอ่ยเสียงขรึม “ถ้าเจ้าไม่อยากอยู่ที่นี่ก็รีบกลับเข้าวังไปเสีย!” เดิมที่ความสัมพันธ์ขององค์หญิงหมิงฮุ่ยและมู่หรงอวี้นั้นไม่ดีอยู่แล้ว คำพูดของมู่หรงอวี้ไหนเลยจะฟังเข้าหู นางกรีดร้องเสียงแหลม “นี่เป็นจวนของพี่สี่ ท่านพี่มีสิทธิ์อะไรมาไล่ข้า ถ้าว่างยุ่งเรื่องของข้านัก สู้ไปจัดการเรื่องตัวเองให้เรียบร้อยก่อนเถิด!”
มู่หรงอวี้สีหน้าเย็นยะเยือก ใบหน้าอันหล่อเหลาไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ แต่มู่ชิงอีกลับรู้ดีว่าถ้าไม่ได้อยู่ท่ามกลางทุกคนในโถงใหญ่ เกรงว่ามู่หรงอวี้คงไม่สนใจเรื่องสถานะของหมิงฮุ่ยแล้วฆ่านางแน่นอน
“นี่มันเรื่องอันใดกัน” บรรยากาศภายในโถงใหญ่อึมครึม ขณะที่ทุกคนต่างรอคอยมู่หรงอวี้ปะทุอารมณ์ออกมาด้วยความหวาดกลัว เสียงของมู่หรงเสียก็ดังแว่วมาจากด้านนอก
ครั้นเห็นกลุ่มคนตามมู่หรงเสียมาด้วยกัน ทุกคนในโถงใหญ่ก็อดร้องโอดครวญในใจไม่ได้ ฮวงจุ้ยของโถงใหญ่แห่งนี้คงดีมากจริงๆ กระมัง แขกทุกคนที่อยู่ในโถงกลางต่างตามกันมาหมดแล้ว
ทันทีที่มู่ชิงอีเงยหน้าขึ้นก็เห็นหรงจิ่นที่อยู่ท่ามกลางกลุ่มคนฉีกยิ้มแป้นส่งมาให้ตน รอยยิ้มนั้นย่อมชวนให้น่าหลงใหลไม่น้อย สิ่งที่พิเศษกว่านั้นคือหรงจิ่นส่งยิ้มให้คนเป็นด้วย แต่คนทั่วทั้งโถงใหญ่กลับไม่มีใครมานั่งวิเคราะห์ว่าเขาส่งยิ้มให้ใคร ดังนั้นหญิงสาวไม่กี่คนในโถงใหญ่รวมถึงองค์หญิงหมิงฮุ่ยที่มีใจให้เว่ยอู๋จี้ยังอดใบหน้าขึ้นสีแดงระเรื่อไม่ได้ กระทั่งหย่งจยาจวิ้นจู่ที่แสดงท่าทีสง่าผ่าเผยตรงไปตรงมาตลอดก็ยังอดจัดเสื้อผ้าของตัวเองไม่ได้ มู่ชิงอีที่เห็นทุกอย่างจึงได้แต่ลอบส่ายศีรษะแล้วแอบสบถด่าในใจว่า เจ้าปีศาจ
ครั้นเห็นมู่ชิงอี สายตาของมู่หรงเสียก็ชะงักงันชั่วครู่แล้วกวาดสายตามองเว่ยอู๋จี้และมู่หรงอวี้พลางขบคิดบางอย่าง “น้องหก นี่มันเรื่องอันใดกัน” มู่หรงอวี้มององค์หญิงหมิงฮุ่ยแวบหนึ่งแล้วเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบนิ่งว่า “ไม่มีเรื่องอันใดหรอก น้องหญิงห้าไม่สบายนิดหน่อย ให้พี่สะใภ้พานางไปพักผ่อนก่อนเถิด” องค์หญิงหมิงฮุ่ยเพิ่งคิดจะต่อต้านแต่ถูกองค์หญิงไหวหยางที่อยู่ข้างกายกุมมือเบาๆ พลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้าเองก็เหนื่อย เช่นนั้นข้าไปพักผ่อนเป็นเพื่อนองค์หญิงห้าดีกว่า”
พระชายาของมู่หรงเสียย่อมรู้เรื่องที่องค์หญิงหมิงฮุ่ยหลงรักเว่ยอู๋จี้อยู่แล้ว ถึงแม้ความสัมพันธ์ของพวกเขากับองค์หญิงหมิงฮุ่ยจะไม่ได้น่าตึงเครียดเท่ามู่หรงอวี้แต่ก็ไม่ได้ถือว่าสนิทสนมกันมากนัก ครั้นเห็นองค์หญิงหมิงฮุ่ยก่อเรื่องในงานเลี้ยงของจวนตน ในใจของพระชายาจื้อเลยไม่พอใจเท่าไรนัก นางเดินตรงเข้าไปเอ่ยกับองค์หญิงหมิงฮุ่ยน้ำเสียงราบเรียบว่า “น้องหญิง ในเมื่อเหนื่อยแล้วก็ไปพักผ่อนกับพี่สะใภ้สักหน่อยเถิด”
ถึงแม้องค์หญิงหมิงฮุ่ยจะเอาแต่ใจตัวเองแต่เรื่องคอยติดตามอยู่เป็นเพื่อนองค์หญิงไหวหยางและหย่งจยาจวิ้นจู่นั้นเป็นเรื่องที่ฮ่องเต้แคว้นหวาทรงรับสั่งมอบหมายให้ องค์หญิงหมิงฮุ่ยก็ไม่ได้โง่เขลาเบาปัญญา เหตุที่นางสามารถกำเริบเสิบสานเช่นนี้ได้เพราะนางเป็นคนโปรดของท่านพ่อ แต่สำหรับเรื่องที่ท่านพ่อทรงรับสั่งย่อมจะละเลยไม่ได้ นางเหลือบมององค์หญิงไหวหยางที่ใบหน้าเปื้อนยิ้มแวบหนึ่ง ท้ายที่สุดองค์หญิงหมิงฮุ่ยก็ไม่ได้เอะอะโวยวายอะไรอีก องค์หญิงไหวหยางหันไปเอ่ยกับเกอซูปิงด้วยรอยยิ้มว่า “จวิ้นจู่ไม่ไปพร้อมพวกข้าหรือ”
ตอนต่อไป