หวนคืนชะตาแค้น – ตอนที่ 119 ตัวอย่างสตรี ห้องหนังสือหยั่งเชิง (4)

หวนคืนชะตาแค้น

มู่ชิงอีหยิบจดหมายปิดผนึกออกมาซองหนึ่ง คนสกุลเจิ้งลุกขึ้นแล้วรับมา พอสำรวจอย่างละเอียดรอบหนึ่งแล้วจนมั่นใจว่าจดหมายไม่มีปัญหาอะไรจึงส่งขึ้นไปให้มู่หรงเสีย มู่หรงเสียมองมู่ชิงอีแวบหนึ่งแล้วก้มหน้าแกะซองจดหมาย บนกระดาษจดหมายบางไม่ได้มีตัวอักษรมากมายนัก ทว่าเนื้อหากลับทำให้สีหน้าของมู่หรงเสียเคร่งขรึมมากกว่าเดิม จากนั้นก็มองมู่ชิงอีแล้วกล่าว “มู่หรงอวี้กับจวนผิงหนานจวิ้นอ๋องร่วมมือกันทำร้ายตระกูลกู้หรือ” หลังจากสิ้นคำ พระชายาจื้อและคนสกุลเจิ้งก็อดสีหน้าเปลี่ยนไม่ได้ เรื่องของครอบครัวตระกูลกู้ในปีนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง แม้แต่องค์ชายที่มีอิทธิพลอำนาจอย่างมู่หรงเสียยังไม่รู้เลย ราวกับว่าระยะเวลาเพียงหนึ่งคืนหลักฐานที่กู้มู่เหยียนทรยศบ้านเมืองก็อยู่ในมือของฮ่องเต้แคว้นหวาแล้ว จากนั้นเหมือนว่าแม้แต่การไต่สวนก็ยังไม่มีด้วยซ้ำทั้งครอบครัวตระกูลกู้ถูกจับขังเข้าคุกกันหมด กระทั่งมู่หรงเสียยังไม่ทันได้ตรึกตรองสถานะของตัวเองเลย องค์รัชทายาทก็หมดประโยชน์ จวนตระกูลกู้ก็ล่มสลาย ถึงแม้จะผ่านมาหลายปีแล้วแต่พอย้อนคิดกลับไปมู่หรงเสียก็ยังรู้สึกว่าเป็นดั่งความฝันที่โผล่มาปุบปับ พริบตาเดียวองค์รัชทายาทและครอบครัวตระกูลกู้ที่เป็นที่โปรดปรานก็มลายหายไป นั่นเป็นครั้งแรกในชีวิตที่มู่หรงเสียรู้สึกได้ถึงความน่ากลัวและความสำคัญของอำนาจกษัตริย์

แต่ในความจริงมู่หรงเสียเป็นผู้ได้รับผลประโยชน์คนสุดท้ายในเรื่องของตระกูลกู้ เพราะมีข่าวเล่าลือในเวลานี้ว่ามีความเกี่ยวข้องกับจวนผิงหนานจวิ้นอ๋อง ขณะที่การปรองดองอย่างรวดเร็วของจวนกงอ๋องและจวนผิงหนานจวิ้นอ๋องก็ทำให้มีคนไม่น้อยแอบคาดเดาในใจว่ามู่หรงอวี้เป็นหนึ่งในผู้ปลุกปั่นไม่ช่วยแล้วยังซ้ำเติมอีกต่างหาก ไม่ว่ากู้มู่เหยียนจะถูกใส่ร้ายหรือทรยศบ้านเมืองจริงๆ ความจริงแล้วไม่มีใครเข้าใจอย่างแท้จริง

แต่ถ้าเรื่องนี้เป็นหนึ่งแผนการชั่วร้ายที่น้องหกที่แสนดีปกปิดไว้มาตั้งแต่ต้น เช่นนั้นพวกเขาก็ดูแคลนน้องหกมาตลอดอย่างนั้นหรือ

ความเหี้ยมโหดเช่นนี้ซ่อนปกปิดไว้ได้ ช่างชวนให้อดรู้สึกหวาดกลัวไม่ได้จริงๆ

“ตกลงเจ้าเป็นใครกันแน่ เจ้าเป็นอะไรกับคนตระกูลกู้” มู่หรงเสียเอ่ยถามเสียงขรึม

มู่ชิงอียิ้มเล็กน้อยกล่าว “กระหม่อมกับคนตระกูลกู้…ไม่ได้เป็นอะไรกัน แต่กระหม่อมยกย่องความสง่าองอาจของกู้เซียงยิ่งนัก ประจวบกับไม่ชอบขี้หน้าใครบางคน อีกทั้งบังเอิญรู้เรื่องราวทั้งหมดนี้เข้าพอดีก็เท่านั้น”

มู่หรงเสียขมวดคิ้ว “ทำไมข้าต้องเชื่อเจ้าด้วยเล่า”

มู่ชิงอียิ้มเอ่ย “นี่เป็นรายงานที่พระชายากงเขียนเองกับมือ วิธีการเช่นนี้…จุ๊ๆ กระหม่อมยังไม่เคยเห็นมาก่อนเลย คนประเภทนี้ถึงแม้ตอนนี้จะถูกกระโจนเข้าใส่จนรับมือไม่ทัน แต่หากทำให้เขาได้สติขึ้นมา จื้ออ๋อง ท่านมีความมั่นใจว่าจะเอาชนะเขาได้หรือไม่เล่า”

มู่หรงเสียเงียบไป ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขายังรู้สึกว่าอย่างน้อยตนกับมู่หรงอวี้น่าจะตายภายใต้อำนาจที่เท่าเทียมกัน ทว่าตอนนี้เขากลับไม่มั่นใจแล้ว

ถ้าเรื่องที่ตระกูลกู้ล่มจมเพราะฝีมือมู่หรงอวี้เป็นความจริง เขาก็คงต้องประเมินน้องหกใหม่แล้ว

คนสกุลเจิ้งอ่านจดหมายที่มู่หรงเสียวางลง สีหน้านั้นดูย่ำแย่มากไม่ต่างกัน ผ่านไปสักพักถึงมองมู่ชิงอีแล้วเอ่ย “คุณชายจังคิดจะใช้เรื่องนี้โค่นกงอ๋อง? เพื่อทวงความเป็นธรรมให้คนสกุลกู้?”

มู่ชิงอีส่ายศีรษะอย่างช้าๆ “ไม่ใช่ หากสามารถทวงความเป็นธรรมให้สกุลกู้ได้ย่อมเป็นเรื่องดีอยู่แล้ว แต่ทางที่ดีจื้ออ๋องอย่าใช้เรื่องนี้ไปจู่โจมกงอ๋องจะดีกว่า” ทั้งสองต่างชะงักงันแล้วเอ่ยถาม “เพราะเหตุใดกัน” ถึงแม้คนในตระกูลกู้จะตายไปแล้วแต่ชื่อเสียงรุ่นลูกหลานตระกูลกู้ในหมู่มวลชนก็นับว่าไม่ต่ำต้อยเลย ถ้าทันทีที่มีหลักฐานว่าตระกูลกู้ถูกใส่ร้าย อีกทั้งยังถูกมู่หรงอวี้ทำร้ายอีกต่างหาก ถ้าอย่างนั้นแรงตอบโต้และคำวิพากษ์วิจารณ์ของเหล่าปวงชน กระทั่งเกรงว่าแม้แต่ฮ่องเต้แคว้นหวาก็ต้องยอมจำนน ถ้ามู่หรงอวี้ไม่ตายก็คงพังย่อยยับเหมือนกัน

มู่ชิงอีส่ายศีรษะยิ้มเอ่ย “ท่านอ๋องจื้อคิดว่ามู่หรงอวี้จะทำร้ายคนในตระกูลกู้ได้ง่ายดายขนาดนั้นเชียวหรือ”

มู่หรงเสียสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย มู่ชิงอีอมยิ้มมองเขาแล้วพยักหน้ากล่าว “ใช่แล้ว…คนที่อยากให้ตระกูลกู้และองค์รัชทายาทตายไม่ได้มีแค่มู่หรงอวี้ แต่ยังมี…ฝ่าบาท ข้าสงสัยว่า….กงอ๋องมองจุดนี้ออกจริงๆ จึงใช้วิธีการเบาปัญญาต่ำช้าเช่นนี้ทำร้ายตระกูลกู้”

“หากเป็นเช่นนั้นการกระทำของกงอ๋องก็นับว่าสุ่มเสี่ยงเกินไปจริงๆ” ใส่ความขุนนางดีๆ ว่าทรยศบ้านเมือง ถ้าสำเร็จก็ดีไปแต่ถ้าไม่สำเร็จแล้วถูกจับได้ ซึ่งก็คือตอนที่มู่หรงอวี้เกิดดวงซวยขึ้นมาเผลอเดินหมากผิดจนทุกอย่างพังทลาย เกรงว่าชั่วชีวิตนี้ก็อย่าคิดหวังว่าจะได้ปีนขึ้นมาอีกเลย

มู่ชิงอีเอ่ยยิ้ม “เหตุใดท่านเจิ้งผู้นี้ไม่บอกล่ะว่าท่านเดาความคิดของฝ่าบาทได้อย่างแม่นยำ”

ฮ่องเต้แคว้นหวาครองราชย์มามากกว่ายี่สิบปี หลายปีก่อนหน้านี้ยังนับว่ายกย่องขุนนางที่ขยันสร้างคุณงามความดีเช่นนี้อยู่บ้าง แต่พออยู่ในตำแหน่งมานานจึงมักฟังคำชี้แนะไม่เข้าหูอยู่บ่อยครั้ง ถ้ามีคนชี้แนะโน้นบ้างนี่บ้างเป็นครั้งคราวครั้งสองครั้งก็ยังไม่เท่าไร แต่นานวันเข้าฮ่องเต้ก็ยากที่จะเลี่ยงไม่ให้เกิดความชิงชังขึ้นในใจกับขุนนางที่เป็นเช่นนี้ได้ บัดนี้บ้านเมืองสุขสงบ ประชาราษฎร์อยู่เย็นเป็นสุขมานาน ฮ่องเต้แคว้นหวาไม่ต้องการคนมาชี้นิ้วแนะตนที่เป็นถึงฮ่องเต้อีก ถ้าในเวลานี้ประสบโอกาส จุดจบของตระกูลกู้เป็นเช่นไรแค่คิดก็รู้แล้ว

คนสกุลเจิ้งเงียบไป

มู่หรงเสียเอ่ยถาม “ถ้าเช่นนั้นคุณชายจังจะรับมือกับเขาอย่างไร”

มู่ชิงอียิ้มกล่าว “ความจริงท่านอ๋องไม่จำเป็นต้องพะวงไป เรื่องเหล่านี้ที่กงอ๋องทำ…จื้ออ๋องคิดว่าฝ่าบาทจะรู้หรือไม่” มู่หรงเสียลังเลครู่หนึ่ง ขมวดคิ้วกล่าว “เสด็จพ่อ…คงทราบกระมัง”

มู่ชิงอีพยักหน้ายิ้มกล่าว “ในเมื่อรู้ว่ากงอ๋องมีวิธีจัดการเช่นนี้ จื้ออ๋องคิดว่าฝ่าบาทจะทรงขัดขวางกงอ๋องหรือไม่ ถ้าวิธีการของกงอ๋องใช้กับองค์รัชทายาทและคนตระกูลกู้หรือเหล่าท่านอ๋องทั้งหลายก็ยังพอช่างมันได้ แต่ถ้ามีวันหนึ่งวิธีการเช่นนี้ถูกใช้กับฝ่าบาทเข้าล่ะ?”

มู่หรงเสียขมวดคิ้วเอ่ย “ดูจากท่าทางของเสด็จพ่อแล้วไม่เหมือนจะขัดขวางน้องหกเลย” เพิ่งลดขั้นตำแหน่งของจูอวิ๋นผิง ลดขั้นจูหมิงเยียนและทรงรีบประทานสมรสพระราชทานกับจวนตระกูลหลี่ มีตรงไหนที่สื่อความหมายว่าต้องการขัดขวางมู่หรงอวี้บ้างเล่า

“ท่านพูดผิดแล้ว” มู่ชิงอียิ้มเอ่ย “ฝ่าบาทย่อมขัดขวางกงอ๋องอยู่แล้ว แต่คงไม่รีบโค่นกงอ๋องให้ล้มทันทีหรอกพ่ะย่ะค่ะ”

“เพราะเหตุใด” มู่หรงเสียเอ่ยถาม

“ถ้ากงอ๋องล้มแล้ว…ฝูอ๋องพระมารดาแท้ๆ สถานะต่ำต้อย ตัวเขาเองก็ไม่ได้มีความสามารถใด ท่านอ๋องสามฝีมือการต่อสู้ดีแต่ไม่ชำนาญเรื่องทะเลาะวิวาท ท่านอ๋องห้านิสัยเหลาะแหละ ความสามารถงั้นๆ ท่านอ๋องแปดและกงอ๋องคลานตามกันออกมาแถมจะเป็นหรือตายก็ยังคาดเดาไม่ได้ ส่วนท่านอ๋องเจ็ดยังวัยเยาว์นัก เกรงว่ากว่าจะโตดูมีอนาคตคงต้องใช้เวลาขัดเกลาอีกหลายปี ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้วถ้ากงอ๋องล้มก็จะกลายเป็นว่าจื้ออ๋องเป็นใหญ่เพียงคนเดียวไม่ใช่หรือ”

มู่หรงเสียรู้สึกขมในปากขึ้นมาชั่วขณะ “เสด็จพ่อไม่เพียงแต่อยากขัดขาน้องหก แล้วยัง…จะขัดขาข้าด้วย”

มู่ชิงอียักคิ้วพร้อมยิ้มกล่าว “เรื่องนี้มีสิ่งใดให้น่าประหลาดใจกัน ฝ่าบาททรงชราภาพมากแล้ว แต่ท่านอ๋องทุกท่านกลับยังอายุไม่มากและอนาคตยาวไกล ถ้าเวลานี้ฝ่าบาทพระชนมายุสามสิบคงไม่กังวลใจมากเช่นนี้”

คนเราพออายุมากขึ้นก็มักกลัวแก่ โดยเฉพาะคนที่อยู่ในตำแหน่งสูงๆ ทั้งยังเห็นเรื่องเลวร้ายทุกอย่างบนโลกนี้มาแล้วจึงยิ่งเป็นกังวลว่าเหล่าลูกๆ ที่อายุน้อยกว่าตนจะมาแย่งอำนาจในมือของตนไป คำสอนกฎความสัมพันธ์สามประการและคุณธรรมห้าประการ รวมถึงขนบธรรมเนียมความกตัญญู ที่นับถือมายาวนานจำกัดใช้ได้แค่กับคนธรรมดา แต่ไหนแต่ไรมาก็ใช้กับเหล่าเชื้อพระวงศ์ไม่ได้ ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันเหล่ากษัตริย์ที่สามารถฆ่าพ่อฆ่าลูก ลอบฆ่าพี่น้องตัวเองได้มีมากมายนับไม่ถ้วน แล้วจะไม่ให้หวาดกลัวได้อย่างไร

“คุณชายมีวิธีการดีๆ อะไรอย่างนั้นหรือ” มู่หรงเสียเอ่ยถามพลางฝืนทำท่าทีไม่ใส่ใจ มู่ชิงอีเอียงศีรษะผุดรอยยิ้มสบายๆ ออกมา ภายใต้แสงไฟอ่อนๆ เผยให้เห็นความใสซื่อที่หนุ่มน้อยอายุเท่านี้ควรมี เพียงแต่ยามที่เปิดปากพูดออกมากลับไม่ได้สัมพันธ์กับความใสซื่อเลย ความน่าประหลาดใจนี้ยิ่งทำให้พวกเขาสามคนรู้สึกว่าหนุ่มน้อยเบื้องหน้านี้ไม่เหมือนสิ่งมีชีวิตจากครอบครัวมนุษย์ แต่เหมือนภูตผีปีศาจที่ปีนขึ้นมาจากความมืดมิดต่างหาก

ตอนต่อไป

หวนคืนชะตาแค้น

หวนคืนชะตาแค้น

Status: Ongoing
ความงาม…ไหวพริบ… ล้วนเป็นหมากในเกมกระดานของนาง เพื่อช่วยเหลือพี่ชายและกอบกู้ตระกูล แม้หัวใจนางก็พร้อมยอมแลก!ในเมื่อสวรรค์ต้องการให้ข้ามีชีวิตอยู่…ความแค้นและความเกลียดชังเอย…แม้ตายเก้าครั้งก็ยากจะลืมเลือน…ความยุติธรรมหมดไป…เหตุใดแคว้นยังไม่สูญสิ้น? ตั้งแต่นี้ต่อไป ข้าคือมู่ชิงอีและคือกู้อวิ๋นเกอด้วยเช่นกันจากหญิงสาวผู้เพียบพร้อมด้วยรูปโฉมและยศฐากลับร่วงหล่นสู่โคลนตมเพราะแผนร้ายของคนใกล้ตัวบ้านแตกสาแหรกขาด เสียทั้งเพื่อนสนิทและคู่หมั้นไปในคราวเดียวในงานประมูลคืนแรกของตน หญิงสาวฝังคมมีดลงบนร่างศัตรูและเผาร่างในกองเพลิงเมื่อฟื้นตื่นมาอีกครั้งนางกลับกลายเป็น มู่ชิงอี ญาติผู้น้องผู้อ่อนแอไปเสียแล้วเมื่อได้มีชีวิตกลับมาอีกครั้งนางจะทวงทุกสิ่งที่เคยเป็นของตนคืนมาคืนความยุติธรรมให้ตระกูลกู้ด้วยสองมือของนางเอง!“ตั้งแต่นี้ต่อไป ข้าคือมู่ชิงอีและคือกู้อวิ๋นเกอด้วยเช่นกัน ความอยุติธรรมทั้งหลายข้าจะคืนมันกลับไปทั้งหมด!”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท