ถึงแม้ก่อนหน้านี้จะประจักษ์ความสามารถของคุณหนูมาก่อนแต่นั่นเป็นแผนการในที่ลับ นี่เป็นครั้งแรกที่มู่ชิงอีปรากฏตัวเบื้องหน้าเหล่าขุนนางผู้มีอิทธิพลในเมืองหลวง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องไปร่วมงานเลี้ยงท่ามกลางคนมากมายซึ่งล้วนไม่ได้รับมือได้ง่ายๆ เลย ไม่แปลกใจที่ตั้งแต่มู่ชิงอีก้าวออกจากจวนไป เฝิงจื่อสุ่ยก็เริ่มวิตกกังวล ยามนี้ที่มู่ชิงอีกลับมาอย่างปลอดภัย ในใจเฝิงจื่อสุ่ยจึงดีใจไม่น้อย ถึงแม้คุณหนูจะไม่ใช่คนตระกูลกู้แต่สติปัญญาและความหลักแหลมนั้นเหมาะจะเป็นผู้สืบทอดกิจการของตระกูลกู้ที่สุดแล้ว คิดว่าท่านผู้เฒ่ากู้ที่ถูกฝังอยู่ใต้ดินก็คงรับรู้ถึงความน่ายินดีนี้เช่นกัน
“ชิงชิง ในที่สุดเจ้าก็กลับมาแล้ว ถ้าเจ้ายังไม่กลับมา ข้าคงทำได้แค่ไปตามตัวเจ้าที่จวนจื้ออ๋องเท่านั้น” หรงจิ่นเอ่ยพลางมองมู่ชิงอีด้วยความเป็นห่วง
ถึงแม้เมื่อครู่จะลากชื่อของหรงจิ่นมาอ้างกับมู่หรงเสีย แต่พอเวลานี้เห็นหรงจิ่นรอนางกลับจวนขึ้นมาจริงๆ ในใจของมู่ชิงอีก็เกิดอารมณ์ซับซ้อนขึ้นมาชั่วขณะ หรงจิ่นเป็นคนนิสัยเย็นชาคนหนึ่งแต่มู่ชิงอีก็ต้องยอมรับว่า ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดหรงจิ่นก็ปฏิบัติต่อนางถือว่าไม่เลวเลย
“ทำให้องค์ชายเก้าต้องเป็นกังวลแล้ว ท่านเฝิงรอนานเลย”
เฝิงจื่อสุ่ยส่ายหน้าไม่หยุด พอเห็นว่าหรงจิ่นอยู่ด้วยก็รู้ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลามาคุยกัน ถึงอย่างไรเสียก็ไม่ได้รีบร้อนในตอนนี้เลยยิ้มกล่าว “คุณหนูพูดเกินไปแล้ว คุณหนูไม่เป็นไรก็ดี ข้าต้องขอตัวก่อนแล้วกัน ก็ดีจะได้ส่งคนไปรายงานคุณชายใหญ่สักหน่อย คุณชายใหญ่เป็นห่วงคุณหนูตลอดเลยนะขอรับ” มู่ชิงอีพยักหน้ากล่าว “ในเมื่อเป็นเช่นนั้นท่านก็กลับดีๆ เถิด”
พอเห็นเฝิงจื่อสุ่ยออกไปแล้ว หรงจิ่นก็เลิกคิ้วเอ่ย “ที่แท้กองกำลังในมือชิงชิงก็เป็นคนของตระกูลกู้งั้นหรือ”
มู่ชิงอีก็ไม่ได้เหนือความคาดคิดอะไรจึงเอ่ยตอบเสียงเรียบ “องค์ชายเก้าก็รู้ตั้งแต่แรกแล้วไม่ใช่หรือ” หรงจิ่นลูบคางกล่าว “ก่อนหน้านี้ก็เดาเอาอยู่บ้าง แต่ตอนนี้ถึงเพิ่งมั่นใจ ตระกูลกู้ช่างมหัศจรรย์จริงๆ ไม่ได้ยกให้กู้ซิ่วถิงหลานแท้ๆ ตระกูลกู้ และก็ไม่ได้ยกให้หลานเช่นมู่หรงซี แต่กลับยกให้ชิงชิงซึ่งเป็นคนนอกไม่ได้มีสายเลือดเกี่ยวข้องผู้นี้แทน” ถึงแม้มู่ชิงอีจะเป็นลูกพี่ลูกน้องกับกู้อวิ๋นเกอและกู้ซิ่วถิง แต่ในสายตาคนอื่นมู่ชิงอีไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับตระกูลกู้ สำหรับคนในตระกูลแล้วคนที่ไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดก็คือคนนอก
มู่ชิงอีเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้อีกฝั่ง วันนี้ต้องเข้าสังคมที่จวนจื้ออ๋องทั้งวัน โดยเฉพาะตอนพูดคุยกับมู่หรงเสียและคนสกุลเจิ้งในห้องหนังสือทำเอานางเสียพลังงานไปไม่น้อย เผชิญหน้ากับคนอย่างมู่หรงเสีย ถึงแม้มู่ชิงอีจะทำท่าทางสบายๆ ผ่อนคลาย แต่ในใจกลับต้องคาดคะเนระมัดระวังทุกย่างก้าว ตอนนี้พอได้ผ่อนคลายก็รู้สึกเหนื่อยล้าขึ้นมาเป็นอย่างมาก
ครั้นเห็นสีหน้าอ่อนล้ายากที่จะปกปิดได้บนใบหน้าของนาง หรงจิ่นก็ถอนหายใจเบาๆ นั่งลงด้านข้างแล้วยื่นมือรินชาอุ่นๆ ให้นางแก้วหนึ่งแล้วเอ่ย “ชิงชิง ครั้งนี้อันตรายเกินไปแล้ว ชิงชิงคิดจะใช้แผนยั่วยุความขัดแย้งระหว่างมู่หรงเสียกับมู่หรงอวี้ หรือว่าคิดจะช่วยมู่หรงเสียขึ้นครองบัลลังก์แล้วจัดการมู่หรงอวี้ให้ตายกันแน่”
“องค์ชายเก้าหลักแหลมนัก ท่านคิดเช่นใดเล่า”
หรงจิ่นพึมพำอยู่ครู่หนึ่งแล้วยิ้มเอ่ย “ข้าว่า…อย่างข้อแรกนั้นมากกว่า”
“เพราะเหตุใดเล่า” มู่ชิงอีเอ่ยถาม
หรงจิ่นยิ้มกล่าว “มู่หรงเสียไม่ใช่คนที่จะเชื่อใครง่ายๆ ซึ่งแน่นอนว่ารวมถึงชิงชิงด้วย ถ้าคิดจะช่วยเขาได้ครองบัลลังก์ ต่อให้มีตำแหน่งเป็นถึงองค์รัชทายาทก็ต้องใช้เวลาและแรงกายไม่น้อย สิ่งสำคัญที่สุดคือยังต้องการความเชื่อใจจากมู่หรงเสียด้วยซึ่งสิ่งเหล่านี้ชิงชิงไม่มี มีเวลามากมายขนาดนั้น ต่อให้มู่หรงเสียโง่แค่ไหนก็ต้องสืบดูภูมิหลังจนถึงที่สุด ดังนั้น…ชิงชิงไม่มีเวลา อีกอย่างถ้าชิงชิงจะช่วยใครคนหนึ่งขึ้นครองบัลลังก์ละก็…ฝูอ๋องเหมาะสมกว่าจื้ออ๋องเสียอีก”
มู่ชิงอียิ้มบางแต่ไม่พูดอะไร ทว่าในใจกลับยอมรับว่าการวิเคราะห์ของหรงจิ่นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ฝูอ๋องมีเมตตาคุณธรรมสูงส่ง อีกทั้งยังมีความสัมพันธ์ที่ดีกับพี่ชายดีที่สุดด้วย ถ้ามู่ชิงอีไม่รีบร้อนแล้วต้องคอยช่วยองค์รัชทายาทคนใหม่สักคนล่ะก็ ฝูอ๋องเหมาะสมกว่าจื้ออ๋อง เพราะอย่างน้อยความเป็นไปได้ที่จะใช้งานเสร็จแล้วฆ่าทิ้งก็มีน้อยกว่าจื้ออ๋องมาก
หรงจิ่นมองมู่ชิงอีด้วยท่าทีจริงจังเอ่ยเสียงแผ่วเบา “อีกอย่างข้าก็ไม่อยากให้ชิงชิงเสียเวลากับมู่หรงอวี้มากเกินไปด้วย”
มู่ชิงอีเงยหน้ามองหรงจิ่นด้วยท่าทีแน่นิ่ง นางย่อมไม่มีทางคิดว่าหรงจิ่นกำลังสารภาพรักกับนางอยู่แล้ว
และก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เห็นเพียงหรงจิ่นยิ้มตาหยีจับจ้องมาที่มู่ชิงอีกล่าว “ก่อนหน้านี้ข้าช่วยชิงชิงทุ่มเทไปไม่น้อยเลยนะ ตอนนี้…ข้าต้องคิดบัญชีแล้ว” มู่ชิงอีเลิกคิ้วยิ้มกล่าว “หม่อมฉันนึกว่าองค์ชายเก้าจะไม่คิดเอาแล้วเสียอีก ว่ามาเถิด ท่านอยากได้สิ่งใดหรือเพคะ”
หรงจิ่นกล่าว “ข้าอยากให้ชิงชิงไปแคว้นเย่ว์กับข้า”
ในห้องหนังสือพลันเงียบงัน ผ่านไปนานถึงมีเสียงราบเรียบแฝงด้วยความสงสัยของมู่ชิงอีดังขึ้น “ไปแคว้นเย่ว์? องค์ชายเก้า…อยากให้หม่อมฉันไปแคว้นเย่ว์ด้วยเพราะเหตุใดหรือเพคะ” หรงจิ่นฉีกยิ้มแป้น “ข้าขาดพระชายาเลยจะพาชิงชิงกลับไปเป็นพระชายาของข้า”
“หากองค์ชายเก้าไม่อยากคุยกันต่ออีก ก็ว่าต่อเลย…” มู่ชิงอีกล่าวเสียงเรียบ
องค์ชายหรงจิ่นถอนหายใจด้วยความผิดหวังมองคิ้วเรียวของมู่ชิงอีที่ขมวดเข้าหากันเล็กน้อย “ก็ได้ ข้าอยากให้ชิงชิงช่วยข้า” มู่ชิงอีถามอย่างฉงน “ช่วย? ชิงอีไม่รู้ว่าพอจะช่วยอะไรองค์ชายได้บ้าง”
หรงจิ่นมีสถานะเป็นถึงองค์ชายคนโปรดของฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ ถึงแม้สถานการณ์ความจริงจะไม่ได้สวยงามอย่างที่ใครเขาเล่าลือกัน แต่อย่างน้อยเขาก็เป็นองค์ชายที่ทำเรื่องกำเริบเสิบสานอย่างไม่เกรงกลัวสิ่งใดในแคว้นเย่ว์แล้ว กระทั่งยังมีอิทธิพลของจวนตระกูลเหมยคอยเป็นแรงหนุน สตรีจากครอบครัวธรรมดาอย่างนางจะช่วยอะไรได้เล่า
หรงจิ่นพยักหน้าด้วยท่าทีจริงจังกล่าว “ใช่แล้ว ข้าอยากให้ชิงชิงกลับซีหลิงไปช่วยข้า มีบางเรื่องที่สำคัญมากๆ ถ้าข้าอยากทำให้ได้เพียงลำพังคงลำบากไม่น้อย” สีหน้าชั่วร้ายในตอนแรกที่ดูไม่ใส่ใจอะไรนักบนใบหน้าหล่อเหลาไร้ใครเทียบของบุรุษในชุดดำหรูหราเบื้องหน้าจางหายไป แทนที่ด้วยความเอาจริงเอาจังที่แฝงด้วยความขมขื่นไว้เล็กน้อย ดวงตาสีดำล้ำลึกสงบนิ่งส่องประกายเล็กน้อย กระทั่งมองมู่ชิงอีพลางภาวนาวิงวอนในใจ หรงจิ่นในตอนนี้…ยากที่จะทำให้ใครเอ่ยปากปฏิเสธได้เลย ชั่ววินาทีนั้นมู่ชิงอีคิดอะไรหลายอย่าง อย่างเช่นนิสัยของหรงจิ่นยากที่ปกปิดความเฉียบแหลมและใจดำได้ กระทั่งฝีมือที่ยากจะคาดเดาได้และร่างกายที่ดีบ้างแย่บ้างเป็นครั้งคราวของหรงจิ่น
“ท่านใช้มนตร์สะกดจิตอะไรกับหม่อมฉัน” พอคิดจะตอบรับอย่างใจอ่อน จู่ๆ มู่ชิงอีก็ได้สติขึ้นมาแล้วเอ่ยพลางจับจ้องหรงจิ่น ที่ใดจุดพลุที่นั่นย่อมมีปลากับมังกรปะปนอยู่เสมอ นางเคยได้ยินมาว่าในยุทธจักรมีคนเชี่ยวชาญการใช้มนตร์สะกดจิตคนและสามารถควบคุมจิตใจคนเราได้ด้วย
ใบหน้าอันหล่อเหลาขององค์ชายหรงจิ่นเผยท่าทีตกตะลึงไปแวบหนึ่งแล้วอดหัวเราะไม่ได้ “มนตร์สะกดจิต? ข้าใช้เป็นก็จริงแต่จะไม่ใช้บนตัวของชิงชิงหรอก อีกอย่าง…ของแบบนั้นสำหรับคนที่มีปณิธานแน่วแน่ใช้ไม่ได้ผล ผลที่ตามมาก็มีไม่น้อย แต่ว่า…ชิงชิงพูดแบบนี้ เมื่อครู่คิดจะตอบรับคำขอของข้าแล้วใช่หรือไม่เล่า”
มู่ชิงอีหมดคำจะพูด นึกได้ว่าเมื่อก่อนตนเคยได้ยินคำเล่าลือมาบ้างคงเพราะนางอ่อนไหวกับเรื่องนี้มากเกินไปจริงๆ
“ข้าก็ว่าแล้ว มนตร์ที่ทำให้หลงใหลแบบไหนจะสู้ใบหน้างดงามและปราดเปรื่องของข้าได้บ้างเล่า แม้แต่ชิงชิงยังหวั่นไหวตามไปด้วยใช่หรือไม่ ฮ่าๆ…” องค์ชายหรงจิ่นหัวเราะเริงร่าอย่างได้ใจ บรรยากาศจริงจังเมื่อครู่ก็มลายหายไปจนสิ้น
ครั้นเห็นใครบางคนได้ใจใหญ่ มู่ชิงอีก็หมดคำพูดจะตอบโต้ต่อจึงทำได้แค่นั่งเงียบๆ รอให้องค์ชายหัวเราะจบก่อนแล้วค่อยคุยกันต่อ ผ่านไปสักพักใหญ่ในที่สุดหรงจิ่นก็หัวเราะเสร็จสิ้น จัดแจงท่าทางนั่งตัวตรงใหม่อีกครั้ง จากนั้นก็มองมู่ชิงอีแล้วเอ่ย “ชิงชิงเตรียมจะตอบรับคำขอของข้าแล้วใช่หรือไม่”
ตอนต่อไป