ครั้นเห็นมู่เชินตกใจยกใหญ่ มู่ชิงอีจึงยิ้มกล่าว “พี่ใหญ่อย่าเป็นกังวลไปเลย หากพี่ใหญ่อยากเป็นลูกที่ดีเอาเรื่องนี้ไปบอกท่านพ่อก็ไม่เป็นไร ข้าเป็นถึงขนาดนี้แล้ว อย่างมากให้ท่านพ่อฆ่าข้าเสียก็จบ”
“น้องหญิงสี่พูดเหลวไหลอันใดกัน!” มู่เชินรีบเอ่ยขัด “ถึงอย่างไรท่านพ่อก็เป็นบิดาแท้ๆ ของเรา ไม่…ไม่ทำหรอก อีกอย่างเรื่องที่เจ้าบอก ข้าเคยหลุดบอกคนอื่นด้วยหรือ”
มู่ชิงอีพยักหน้าเห็นด้วยแล้วยิ้มกล่าว “เดิมทีข้ายังคิดว่าจะช่วยพี่ใหญ่ช่วงชิงแต่อาจจะไม่มีโอกาสชนะ แต่ตอนนี้ดูท่าแล้วคงไม่ได้ จวนซู่เฉิงโหว…ไปไม่ได้ไกลแล้ว พี่ใหญ่เลิกเอาแต่คิดเรื่องตำแหน่งซู่เฉิงโหวได้แล้ว ถึงอย่างไรนี่ก็ไม่ใช่สิ่งที่สืบทอดมาตั้งแต่บรรพบุรุษ ถึงจะหายไปก็ไม่เอี่ยวมาถึงพี่ใหญ่แน่นอน หากพี่ใหญ่เป็นกังวล เช่นนั้นสู้ไปช่วงชิงเป็นขุนนางสร้างคุณงามความดีคงดีกว่า พอถึงตอนนั้นก็รับตัวอี๋เหนียงไปเป็นเหล่าไท่ไท่[1]มีหน้ามีตาอยู่ข้างนอก ไม่ดีกว่ามาทนดูคนชักสีหน้าอยู่ในจวนซู่เฉิงโหวหรอกหรือ”
มู่เชินนิ่งเงียบ ขมวดคิ้วขบคิดอยู่พักใหญ่ถึงฝืนยิ้มออกมา “ถึงแม้น้องหญิงสี่จะพูดมีเหตุผล แต่ว่า…นอกจากจวนซู่เฉิงโหว พี่เองก็เป็นแค่ข้าหลวงต่ำต้อยตัวน้อยๆ คนหนึ่ง เกรงว่าคงไม่มีทางไปเส้นทางนั้นได้กระมัง”
มู่ชิงอียิ้มเอ่ย “พี่ใหญ่พูดผิดแล้ว ความสามารถของพี่ใหญ่ไม่ได้ด้อยไปกว่าใครเลย อีกทั้งเป็นบุตรชายคนโตของจวนซู่เฉิงโหว นี่เป็นจุดเด่นที่มีมามากกว่าคนอื่น ต้องดูว่าพี่ใหญ่จะเลือกเช่นไรแล้วล่ะเจ้าค่ะ”
เห็นได้ชัดว่ามู่เชินมีท่าทีหวั่นไหว มู่ชิงอีก็ไม่ได้บีบบังคับเขาแล้วเอ่ยเพียงว่า “พี่ใหญ่กลับไปหารือกับอี๋เหนียงก่อนก็ได้นะเจ้าคะ”
หลังจากส่งมู่เชินกลับไป มู่ชิงอีก็ค่อยๆ ซดน้ำแกงที่จูเอ๋อร์เอามาให้อย่างช้าๆ พลางเหม่อมองนอกประตูที่ว่างเปล่า จากนั้นก็หัวเราะเย้ยหยันอย่างเหนื่อยหน่ายทีหนึ่ง
มู่เชินผู้นี้ใช่ว่าจะเป็นคนดีแต่ก็ไม่ถือว่าเลวร้ายอะไร ไม่หลักแหลมแต่ก็ไม่ได้โง่เขลา คนแบบนี้ยังไม่สามารถแก่งแย่งช่วงชิงกับสามแม่ลูกสะใภ้ซุนได้ มู่ชิงอีย่อมไม่มีทางชี้เส้นทางให้เขาเลื่อนขั้นเป็นขุนนางชั้นสูงอย่างง่ายดายด้วยความปรารถนาดีแน่นอน สิ่งเหล่านั้นที่นางพูดก็แค่ดูว่าเขาจะเลือกเช่นไร ถ้าเขาหลักแหลมไหวพริบดีหยุดได้ทันท่วงที อย่างน้อยก็ยังอยู่อย่างสุขสงบปลอดภัย แต่ถ้าลุ่มหลงในอำนาจก็คงต้องตกเหวลึกโดยไม่มีวันได้หวนกลับซึ่งดีกว่ามาแย่งชิงกับพวกแม่ลูกสะใภ้ซุนในจวนซู่เฉิงโหว เพราะสุดท้ายล่มจมไปพร้อมกับจวนซู่เฉิงโหวจะยิ่งน่าอนาถมากกว่า
ณ จวนจื้ออ๋อง
มู่หรงเสียนั่งอยู่ในห้องหนังสืออันเงียบสงบแล้วกวาดตามองบุรุษที่เงียบขรึมพูดน้อยตรงหน้า เขาย่อมรู้อยู่แล้วว่าบุรุษผู้นี้ก็คือองครักษ์ที่ติดตามจังชิงมาตลอด ตามที่องครักษ์ของจวนจื้ออ๋องรายงาน บุรุษเงียบขรึมพูดน้อยผู้นี้มีร่องรอยการเคลื่อนไหวที่ประหลาด ศิลปะป้องกันตัวก็ลึกล้ำยากที่จะคาดเดาได้ซึ่งคงเทียบไม่ได้กับองครักษ์ทั่วไปแน่นอน
หลังจากเงียบอยู่นาน ในที่สุดมู่หรงเสียก็วางจดหมายในมือลงแล้วเอ่ย “กลับไปบอกคุณชายของเจ้าว่าข้ารู้แล้ว”
อู๋ซินเองก็ไม่ได้พูดอะไรมาก เดิมทีเขาก็แค่มาส่งจดหมายเท่านั้นเลยพยักหน้ากล่าว “กระหม่อมขอตัวลา” ไม่นานก็มีคนดูแลของจวนจื้ออ๋องมาพาตัวเขาออกไป รอกระทั่งอู๋ซินเดินจากไป มู่หรงเสียก็หยิบจดหมายขึ้นมาใหม่แล้วขมวดคิ้วเอ่ย “ท่านเจิ้งเองก็มาดูเถิด”
ท่านเจิ้งเดินออกมาจากหลังฉากกั้นลมแล้วรับจดหมายจากมือของมู่หรงเสียมา ลายมือสะอาดสะอ้านงดงาม สำหรับเด็กหนุ่มอายุสิบสามสิบสี่ปีคนหนึ่งนับว่าเป็นลายมือที่เห็นได้ยากทีเดียว ท่านเจิ้งกวาดตาอ่านรอบหนึ่งอย่างรวดเร็วแล้ววางกลับลงบนโต๊ะอีกครั้ง จากนั้นก็ถอนหายใจเอ่ย “คุณชายจังผู้นี้…อายุยังน้อยแต่กลับมีกลอุบายการวางแผนเช่นนี้ ถ้าผ่านไปอีกไม่กี่ปีเกรงว่าคงจะ…”
มู่หรงเสียเอ่ยขึ้น “ท่านหมายความว่าแผนนี้ใช้ได้หรือ”
ท่านเจิ้งพยักหน้ากล่าว “เป็นกลอุบายที่ดีเชียวล่ะ”
มู่หรงเสียขมวดคิ้วกล่าว “แต่เรื่องเล็กๆ อย่างจัดงานมงคลเพื่อลบล้างเรื่องเลวร้ายของน้องแปดไม่มีผลดีอะไรกับเราเลย และยิ่งมีความเป็นไปได้ว่าจะล่วงเกินโหรวเฟยเพราะเรื่องนี้ด้วยกระมัง” ท่านเจิ้งส่ายศีรษะ “ท่านอ๋องคิดว่าจวนจื้ออ๋องของพวกเรามีความสัมพันธ์ที่ดีกับโหรวเฟยนักหรือ จวนซู่เฉิงโหวตัดสินใจเป็นคนของจวนกงอ๋องแล้ว ในวังไม่มีใครออกหน้าแทนท่านอ๋องได้เลย” โจวฮุ่ยเฟยท่านแม่ของมู่หรงเสียจากไปตอนที่เขาอายุได้เพียงสิบกว่าขวบเท่านั้น อีกทั้งไม่ได้ทิ้งพี่น้องเอาไว้ให้เขาสักคนจึงเป็นผลให้มู่หรงเสียแทบไม่มีคนใช้งานในวังได้เลย
เขาแค่ฟังคนสกุลเจิ้งเอ่ยต่อ “บัดนี้โหรวเฟยเป็นคนโปรด องค์ไทเฮาทรงปรารถนาให้น้องสาวของนางมาอภิเษกเพื่อลบล้างเรื่องเลวร้ายเช่นนี้ถือว่าเป็นการตบหน้านางอย่างไม่ต้องสงสัย นางย่อมต้องโวยวายกับฮ่องเต้แน่นอน ไม่ว่าสุดท้ายฝ่าบาทจะเข้าข้างใคร โหรวเฟยก็ถูกกำหนดให้ต้องล่วงเกินองค์ไทเฮาอยู่แล้ว ระยะหลายปีมานี้องค์ไทเฮาไม่ได้สนิทสนมกับองค์ชายเหล่านี้นัก แต่หากท่านอ๋องสามารถทำให้องค์ไทเฮารู้สึกดีด้วยได้ วันหน้าเรื่องในวังคงง่ายดายขึ้นมาก ในเมื่อองค์ไทเฮามีผลต่อฝ่าบาทมากทีเดียว”
มู่หรงเสียครุ่นคิดอยู่พักใหญ่แล้วเอ่ย “แต่หากโหรวเฟยไม่ติดกับดักแต่ดันยอมให้มู่อวิ๋นหรงเข้าอภิเษกเพื่อลบล้างเรื่องเลวร้ายและไม่ตั้งแง่เป็นปฏิปักษ์กับองค์ไทเฮาเล่า”
ท่านเจิ้งกล่าว “เช่นนั้นก็ไม่ได้เป็นผลเสียอะไรกับพวกเรา องค์ไทเฮาทรงเป็นห่วงรักใคร่บุตรหลาน ส่วนท่านอ๋องแค่เป็นห่วงน้องชายก็เท่านั้น”
“อย่างนี้นี่เอง” มู่หรงเสียพยักหน้า พอมีการวิเคราะห์ของท่านเจิ้งถึงทำให้เขาเข้าใจจุดประสงค์ในข้อความจดหมายของจังชิงอย่างแท้จริง จากนั้นก็ฟังท่านเจิ้งเอ่ยพลางถอดถอนใจ “หากจังชิงผู้นี้ถวายตัวรับใช้องค์ชายด้วยความภักดี วันหน้าคงเป็นขุนนางคนสนิทขององค์ชายได้แน่นอน กลอุบายของที่ปรึกษาดีๆ คนหนึ่งย่อมกลายเป็นผลประโยชน์สูงสุด ต่อให้ไม่ใช่แต่ก็ไม่ได้สร้างผลเสียใดๆ คุณชายจังอายุเพียงเท่านี้ก็สามารถไตร่ตรองได้อย่างรอบคอบขนาดนี้แล้ว กระหม่อมสู้ไม่ได้เลยพ่ะย่ะค่ะ”
มู่หรงเสียยิ้มสบายๆ กล่าว “เก่งก็เก่งอยู่หรอก แต่…คนที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้า ต่อให้เก่งกาจมากเพียงใดข้าก็มิอาจไว้ใจได้” ประโยคนี้ไม่ใช่เพียงความในใจของมู่หรงเสีย ในขณะเดียวกันก็เป็นการรับประกันกับคนสกุลเจิ้งผู้นี้ ไม่ว่าจังชิงผู้นี้จะเป็นใคร เก่งกาจเพียงไหน สุดท้ายคนสกุลเจิ้งผู้นี้ก็เป็นคนที่มู่หรงเสียไว้ใจที่สุด ครั้นได้ฟังคำพูดของมู่หรงเสีย สีหน้าของท่านเจิ้งก็ดูผ่อนคลายลงมากกว่าเดิม ในฐานะที่เป็นที่ปรึกษาทางทหารซึ่งอันที่จริงก็ไม่ได้นับว่าเป็นอาชีพที่ดีสักเท่าไรนัก หากรู้เรื่องของเจ้านายมากเกินไป ทันทีที่ถูกทอดทิ้ง มีน้อยคนนักที่จะมีจุดจบที่ดี ดังนั้นสิ่งที่ที่ปรึกษาส่วนมากเป็นกังวลที่สุดก็คือ เจ้านายของตนมีที่ปรึกษาที่เก่งกาจกว่าคนอื่น เรื่องนี้ไม่เพียงแต่เกี่ยวข้องว่าพวกเขาไม่ได้เป็นที่โปรดปรานแล้ว แต่อาจจะลามไปถึงชีวิตคนในครอบครัวของพวกเขาด้วย
หลังจากงานเลี้ยงในจวนจื้ออ๋อง มู่ชิงอียิ่งออกมาเตร็ดเตร่โผล่ทุกซอกมุมของเมืองหลวงด้วยความชอบใจกว่าปกติ หลายวันนี้เรื่องคึกคักในเมืองหลวงผุดขึ้นมาอย่างไม่ขาดสาย ถึงแม้งานฉลองวันคล้ายวันพระราชสมภพของฮ่องเต้แคว้นหวาจะเข้ามาใกล้ทุกทีก็ไม่อาจขัดขวางความตื่นอกตื่นใจที่รอดูเรื่องสนุกๆ ของเหล่าประชาชนได้เลย จูหมิงเยียนถูกขับไล่กลับไปจวนผิงหนานจวิ้นอ๋อง แม้กระทั่งสถานะจวิ้นจู่ก็ไม่มีด้วยซ้ำ ถึงแม้เพราะความเป็นบุตรีคนโปรดของผิงหนานจวิ้นอ๋องและการปกป้องจากพระชายาผิงหนานจึงไม่มีใครกล้ารังแกนาง แต่ต่อให้ฮูหยินของจูเปี้ยนจะเก่งกาจมากเพียงใดก็คงมิอาจขัดขวางแววตาที่พากันดูเรื่องขบขันของคนอื่นได้ ทว่านิสัยแก่นแท้ของจูหมิงเยียนไม่ใช่คนที่มีความอดทนอดกลั้นต่ออารมณ์โกรธได้ เพิ่งกลับจวนมาได้วันที่สองก็ไปเดินเที่ยวเล่นโดยไม่สนใจใครราวกับกลัวว่าหากหลบอยู่แต่ในจวนจะถูกคนอื่นสงสัยเอาว่าตนไม่มีหน้าไปเจอใคร ครั้นได้ยินข่าวคราวนี้ มู่ชิงอีก็เข้าใจในทันทีว่าเหตุใดจูหมิงเยียนถึงเกลียดชังกู้อวิ๋นเกอ ไม่เพียงแต่เพราะมู่หรงอวี้ คาดว่าจวิ้นจู่ที่หลงในสถานะสูงส่งของตนซึ่งอยู่เหนือกว่ากู้อวิ๋นเกอกลับรู้สึกราวกับตนต่ำต้อยกว่า
ถ้าไม่เกลียดคงแปลก ที่แท้ตนก็ไม่เคยเข้าใจนิสัยของจูหมิงเยียนอย่างแท้จริงนี่เอง
นอกจากจูหมิงเยียนแล้ว ท่าทีของจวนตระกูลหลี่และจวนกงอ๋องก็น่าสนใจไม่น้อย หลังจากจวนตระกูลหลี่และจวนกงอ๋องสร้างเรื่องวุ่นวายต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้ก็ไม่มีเรื่องอันใดเกิดขึ้นอีก งานอภิเษกยังคงมีเหมือนเดิม กระทั่งฮ่องเต้แคว้นหวาได้ทรงกำหนดวันอภิเษกเป็นเดือนเก้าปีนี้ ถึงแม้ด้านนอกจะเล่าลือกันไม่หยุดว่า คุณหนูตระกูลหลี่ถูกกำหนดไว้แล้วว่าคงไม่ได้เป็นที่โปรดปรานแน่นอน ในเมื่อไม่มีใครเคยเห็นสะใภ้คนไหนที่ยังไม่ทันแต่งเข้าเรือนก็สร้างความอับอายให้ก่อนแล้ว ยิ่งสำคัญไปกว่านั้นอีกฝ่ายดันเป็นถึงองค์ชายอีกต่างหาก
———————
[1] เหล่าไท่ไท่ เป็นคำที่ใช้เรียกหญิงชราแล้ว
ตอนต่อไป