มู่ชิงอียิ้มบางกล่าว “อยู่กับพวกลูกพี่ลูกน้องมาตั้งแต่เด็กจนโต ความสัมพันธ์ย่อมดีมากอยู่แล้วเพคะ” หรงจิ่นเบะปาก ตั้งแต่เด็ก เขาโตมากับเหล่าพี่น้องที่เหมือนเคราะห์กรรมเมื่อชาติปางก่อนก็ไม่ปาน เขาจึงไม่มีทางเข้าใจเรื่องโตมาด้วยกันจนเกิดความสัมพันธ์ที่ดีแบบนั้นได้
จูหมิงเยียนถูกคนในเรือยกุ้ยหลินลากออกไปยังศาลอิงเทียนฝู่ หลังจากนั้นคุณหนูหลี่ก็ถูกคนประคองออกมาจากในห้อง เหล่าผู้คนที่เห็นต่างสาบานได้เลยว่าเห็นรอยนิ้วมือสีแดงม่วงบนคอของคุณหนูหลี่ ชั่วพริบตาเดียวในเมืองหลวงก็เกิดข่าวลือวุ่นวายขึ้นอีกครั้ง ถึงแม้จะไม่มีใครเห็นกับตาตัวเองแต่ข่าวลือกลับละเอียดยอดเยี่ยมราวกับเป็นคนที่เห็นเหตุการณ์ในห้องนั้นก็ไม่ปาน อีกทั้งไม่ได้มีเรื่องเล่าเพียงแบบเดียวอีกต่างหาก
ส่วนอันที่เล่าลือเสมือนจริงที่สุดคือจูหมิงเยียนทนที่คุณหนูหลี่แย่งสามีของตนไปไม่ไหวเลยบุกเรือนกุ้ยหลินหมายทำร้ายคุณหนูหลี่ หลังจากนั้นก็ถูกจับกุมตัวส่งไปยังอิงเทียนฝู่ ทว่าเรื่องที่จริงและน่าเบื่อที่สุดนี้กลับไม่มีใครเชื่อเลย ด้วยเหตุนี้จึงมีฉบับที่ลึกซึ้งที่สุดโผล่มาว่าเพราะรักครั้งเก่ายังไม่ยอมรับรักใหม่ ภายใต้ความเกรี้ยวโกรธของกงอ๋องเลยจะบีบคอคุณหนูหลี่ให้ตาย สุดท้ายถูกจื้ออ๋องและอานซีจวิ้นอ๋องห้ามไว้ได้ จากนั้นเลยทำได้แค่ไปส่งคุณหนูหลี่เองเพื่อเป็นการไถ่โทษ แต่เพราะการเข้าคุกของจูหมิงเยียนข่าวลือนี้เลยมีคนส่วนน้อยที่จะเชื่อ ส่วนข่าวลือที่เลวร้ายที่สุดก็คือคุณหนูหลี่โกรธแค้นเรื่องที่จูหมิงเยียนเคยคิดทำร้ายตนแต่ไม่สำเร็จเลยบีบคอตัวเองเพื่อให้ร้ายจูหมิงเยียน กระทั่งจูหมิงเยียนถูกจับขัง กงอ๋องทิ้งรักครั้งเก่าแล้วปกป้องคนใหม่พร้อมส่งกลับถึงจวน
ด้วยเหตุนี้ไม่ว่าจะเป็นข่าวลือฉบับไหน มู่หรงอวี้ล้วนได้รับบทบาทกลายเป็นคนที่ชวนให้ใครต่างไม่ค่อยชอบหน้าเท่าไรนัก ในทางกลับกันมีคนจำนวนไม่น้อยกลับนึกเห็นใจจูหมิงเยียนขึ้นมา ในเมื่อเป็นถึงจวิ้นจู่ที่มียศพระชายาในจวนอ๋องอันสูงส่ง ไม่เพียงแต่สูญเสียทั้งยศและสามี ทั้งยังถูกคนจับส่งไปที่ศาลอิงเทียนฝู่อีก นิสัยใจคอของมนุษย์โดยทั่วไปมักชอบเห็นใจคนที่อ่อนแอกว่า เพียงในเวลาอันสั้นคำวิพากษ์วิจารณ์ก็เริ่มขัดแย้งกันไปในสองทิศทาง
ครั้นได้ข่าวจูหมิงเยียนถูกส่งตัวไปที่ศาลอิงเทียนฝู่ จูเปี้ยนก็แทบเป็นลมสิ้นสติ พระชายาผิงหนานเองก็ปาดน้ำตาปล่อยโฮออกมาตามๆ กัน นางร่ำไห้จนจูเปี้ยนนึกรำคาญใจ นี่จึงเป็นครั้งแรกที่เขาอดตวาดใส่พระชายาไม่ได้ว่า “หยุดร้องได้แล้ว! ตอนนี้ร้องไห้แล้วจะมีประโยชน์อันใด”
พระชายาผิงหนานเป็นห่วงบุตรสาวจึงไม่มีเวลามาคิดเล็กคิดน้อยกับท่าทีของจูเปี้ยน เอ่ยพร้อมน้ำตาว่า “พวกเราควรทำเช่นไรดีเพคะ เยียนเอ๋อร์เป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของพวกเรา หรือว่าจะต้องให้นางถูกคนจับขังทนทรมานอยู่ในคุกจริงๆ หรือเพคะ เยียนเอ๋อร์จะทนได้อย่างไรเล่า”
ผิงหนานจวิ้นอ๋องถอนหายใจยาวด้วยความกังวลใจไม่หยุด “ช่างเป็นบาปกรรมจริงๆ” พระชายาผิงหนานเอ่ยถามด้วยความชั่งใจว่า “หรือว่าพวกเราจะไปขอร้องกงอ๋องดี” จูเปี้ยนยิ้มเย็นชากล่าว “เจ้าคิดว่ามู่หรงอวี้เป็นคนที่จะขออะไรก็ได้เช่นนั้นหรือ ครั้งก่อนกงอ๋องก็เคยบอกแล้วว่าหลังจากนี้จะไม่ยุ่งเรื่องเยียนเอ๋อร์อีก ตอนนั้นเขาเองก็อยู่ในเหตุการณ์ ถ้าเขาอยากยุ่งจริงๆ เยียนเอ๋อร์จะถูกขังอยู่ในอิงเทียนฝู่หรือ”
“จะเป็นไปได้เช่นไร ก่อนหน้านี้กงอ๋องไม่ใช่ว่า…” พระชายาผิงหนานเอ่ย
จูเปี้ยนเอ่ยยิ้มเย็นชา “เมื่อก่อนเกรงใจพวกเรางั้นหรือ นั่นเป็นเพราะเขาไม่อยากทะเลาะกับเราจนแตกหักต่างหาก” ความจริงจวนผิงหนานจวิ้นอ๋องถูกมัดผูกติดกับจวนกงอ๋องนานแล้ว ถึงแม้จะไม่มีตัวเชื่อมความสัมพันธ์อย่างจูหมิงเยียน ความสัมพันธ์ของสองตระกูลนี้ก็ตัดกันไม่ขาด หลังจากตระกูลกู้ล่มสลายไป จวนผิงหนานจวิ้นอ๋องก็ตัดสินใจแล้วว่าอย่าได้คิดจะสลัดจวนกงอ๋องทิ้งเป็นอันขาด ก่อนหน้านี้เขาแสดงท่าทีเกรงใจต่อพวกเขาก็เพราะความเคยชิน แต่ถ้าหากยั่วโมโหมู่หรงอวี้ขึ้นมา จวนผิงหนานจวิ้นอ๋องก็หมดหนทางเอาใจได้แล้วเช่นกัน ครั้นนึกถึงคำพูดที่มู่หรงอวี้พูดกับตนยามที่สนทนากันเมื่อคืนหลายวันก่อน จูเปี้ยนก็ปิดตาลงด้วยความเจ็บปวด นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขารู้สึกว่ามีบุตรสาวเช่นนี้สู้ไม่มีเสียยังดีกว่า
“รอหลังจากเยียนเอ๋อร์ออกมาก็รีบส่งนางไปปฏิบัติธรรมในวัดทันทีแล้วก็ไม่ต้องออกมาอีก” จูเปี้ยนเอ่ยเสียงขรึม
“อะไรกันเพคะ จะทำแบบนี้ได้เช่นไร” พระชายาผิงหนานอดตกใจไม่ได้ เยียนเอ๋อร์เป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของตน
ต่อให้จะไม่มียศเป็นพระชายากงและจวิ้นจู่แล้ว จวนผิงหนานจวิ้นอ๋องก็ยังเป็นของนางเหมือนเดิม วันข้างหน้านางย่อมหาหนทางทำให้เยียนเอ๋อร์มีความสุขสำราญในจวนผิงหนานจวิ้นอ๋องอยู่แล้ว แต่ว่า…ท่านพี่คิดจะส่งตัวเยียนเอ๋อร์ไปอยู่ในวัดอย่างนั้นหรือ
ครั้นเห็นว่าพระชายายังคิดจะพูดอะไรอีก จูเปี้ยนก็เอ่ยอย่างแน่วแน่ว่า “ข้าตัดสินใจแล้ว ไม่จำเป็นต้องพูดอีก!”
ครั้นเห็นจูเปี้ยนเป็นเช่นนั้น พระชายาผิงหนานก็กลืนคำพูดที่ติดอยู่ตรงปากไปแล้วตัดสินใจรอหลังจากช่วยบุตรสาวออกมาได้ก่อนค่อยคุยกับเขาอีกที
พวกเขาเป็นสามีภรรยากันมาตั้งหลายปีนางเลยไม่กังวลสักนิดว่าตนจะพูดให้จูเปี้ยนยอมจำนนไม่ได้ ตอนนี้ไม่มีความจำเป็นต้องยั่วโมโหให้เขาไม่พอใจ
พอคิดได้เช่นนี้พระชายาผิงหนานก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนาอย่างเอาใจ เอ่ยอย่างกังวลว่า “ท่านพี่วางแผนจะทำเช่นไรต่อเพคะ”
จูเปี้ยนนิ่งคิดอยู่นานแล้วเอ่ยเสียงขรึมว่า “ข้าจะไปขอขมาตระกูลหลี่ด้วยตัวเอง คิดว่าตระกูลหลี่คงเห็นแก่หน้าข้าบ้าง ขอแค่ตระกูลหลี่ยอมปล่อย ส่วนกงอ๋องไม่มีทางช่วยอยู่แล้ว ทางฝั่งศาลอิงเทียนฝู่เองคงไม่มีทางกัดไม่ปล่อยกระมัง” พระชายาผิงหนานพยักหน้าเอ่ย “ข้าอยากไปหาเยียนเอ๋อร์” เดิมทีจูเปี้ยนไม่อยากตอบรับอะไร บุตรสาวคนนี้ควรทนทุกข์ทรมานสักหน่อยจะได้เข็ดหลาบ แต่พอเห็นท่าทีเป็นห่วงของพระชายา สุดท้ายเขาก็ถอนหายใจด้วยความใจอ่อน “เจ้าไปเถิด”
ศาลอิงเทียนฝู่เป็นสถานที่ที่จัดการเรื่องโทษอาชญากรรมทุกประเภทในเมืองหลวงโดยเฉพาะ อิงเทียนฝู่อิ๋น[1]เป็นขุนนางข้าราชการระดับสาม ข้าราชการระดับนี้ในเมืองหลวงเป็นขุนนางชั้นสูงและมีอำนาจแต่ก็ใช่ว่าจะโดดเด่นนัก แต่ตำแหน่งอิงเทียนฝู่อิ๋นนี้มีความสำคัญมาก เพราะตำแหน่งนี้โดยทั่วไปฮ่องเต้จะให้ความสำคัญและเชื่อมั่นต่อคนผู้นี้และให้รับตำแหน่งด้วยพระองค์เอง อิงเทียนฝู่อิ๋นคนปัจจุบันเป็นข้าหลวงที่สอบขุนนางจอหงวนได้ในปีจิ้งอันที่สิบเจ็ดนามว่าเซ่าจิ่น เกิดในครอบครัวตระกูลขุนนาง นิสัยสุขุมมีความยุติธรรม ถึงแม้มีองค์ชายในเมืองหลวงคิดจะดึงเขาเข้าพวกแต่เขาไม่ยอมให้องค์ชายคนใดเข้าใกล้ได้เลย นี่จึงทำให้ฮ่องเต้แคว้นหวายิ่งพอใจมากกว่าเดิม ถึงแม้จะล่วงเกินคนอื่นไปไม่น้อย แต่เซ่าจิ่นในตำแหน่งอิงเทียนฝู่อิ่นผู้นี้กลับทำได้อย่างเหมาะสมมาก
จูหมิงเยียนถูกคนส่งตัวมาที่ศาลอิงเทียนฝู่พร้อมข้อหาพยายามฆ่า อีกทั้งยังเป็นข้อหาพยายามฆ่าว่าที่พระชายากงอีกต่างหาก โทษนี้ร้ายแรงไม่เบา แม้แต่เซ่าจิ่นเองก็ให้ความสำคัญไม่แพ้กันโดยรีบเอาจูหมิงเยียนใส่กุญแจมือแล้วเข้าคุกทันที ในขณะเดียวกันยังส่งคนไปสอบถามพระชายาฝู พระชายาจื้อและเหล่าแม่นางตระกูลหลี่ที่อยู่ในเหตุการณ์ด้วย คดีนี้ไม่ได้ซับซ้อนอะไรนัก หลังจากไต่สวนชัดเจนแล้วรอวันฤกษ์ดีทำการพิพากษาก็เป็นอันเสร็จสิ้น แต่เรื่องที่น่าลำบากใจก็คือสถานะของจูหมิงเยียนที่เป็นอดีตพระชายากง จวิ้นจู่ของจวนผิงหนานจวิ้นอ๋องและเป็นบุตรสาวสุดที่รักของสองสามีภรรยาผิงหนานจวิ้นอ๋อง
ถึงแม้เซ่าจิ่นจะเป็นคนรักความยุติธรรมแต่ก็ใช่ว่าจะไม่รู้ธรรมเนียมอะไรเลย เขาย่อมรู้ว่าด้วยสถานะของจูหมิงเยียนคิดจะตัดสินง่ายๆ เกรงว่าคงจะไม่ง่ายดายเช่นนั้น เวลานี้เขาตัดสินใจว่ารอหลังจากงานฉลองวันคล้ายวันพระราชสมภพของฝ่าบาทก่อนแล้วค่อยกราบทูลเรื่องนี้แก่พระองค์ ถึงแม้เขาจะมีวิธีจบคดีนี้ในใจแต่แรกแต่อีกไม่กี่วันก็จะเป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพของฝ่าบาทแล้ว หลายวันมานี้ไม่มีการประชุมราชสำนัก อีกทั้งขุนนางระดับสามอย่างเขาไม่มีสิทธิ์ขอเข้าเฝ้าได้ตามใจชอบ
ด้วยสถานะของจูหมิงเยียนเลยสร้างเรื่องยุ่งยากให้ตนไม่น้อย ภายใต้ความโกรธเซ่าจิ่นจึงเอาตัวจูหมิงเยียนโยนเข้าคุกที่สกปรกที่สุดในอิงเทียนฝู่ คุกในอิงเทียนฝู่ไม่ได้มีไว้สำหรับคุมขังนักโทษระยะยาว อีกทั้งคนที่มีอำนาจและสถานะอย่างแท้จริงส่วนมากก็ไม่ได้เข้ามาอยู่ในคุกนี้เช่นกัน ดังนั้นคุกในอิงเทียนฝู่จึงไม่ได้สะดวกสบายเหมือนคุกที่ใช้กักขังเหล่าเชื้อพระวงศ์โดยเฉพาะ แต่ก็ไม่ได้น่ากลัวคละคลุ้งด้วยคาวเลือดเหมือนคุกนักโทษร้ายแรงเช่นนั้น ข้อบกพร่องเพียงอย่างเดียวก็คือทั้งสกปรกและเลอะเทอะเพราะใต้เท้าเซ่าไม่มีเงินมาทำความสะอาด ถึงอย่างไรเสียคุกในอิงเทียนฝู่ก็เป็นสถานที่ไว้ใช้อยู่ฆ่าเวลาเท่านั้น หลังจากนักโทษถูกตัดสินก็จะไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว ดังนั้นแต่ไหนแต่ไรมาเซ่าจิ่นจึงไม่ได้สนใจอะไร
—————–
[1] อิงเทียนฝู่อิ๋น เป็นชื่อตำแหน่งใหญ่ในศาลระดับสามยุคซ่งเหนือ
ตอนต่อไป