หวนคืนชะตาแค้น – ตอนที่ 134 คลุ้มคลั่ง คิดระแวงไปเองทั้งที่ไม่มีอะไร (5)

หวนคืนชะตาแค้น

แต่ทว่าสำหรับจูหมิงเยียนที่ถูกเลี้ยงดูฟูมฟักอย่างทะนุถนอมมาตั้งแต่เด็ก สิ่งเหล่านี้กลับเป็นเรื่องเลวร้ายนัก ตอนเพิ่งถูกโยนเข้ามาในคุกที่มืดมิดจนมองไม่เห็นแม้แต่แสงรำไรและอับชื้นแห่งนี้ จูหมิงเยียนยังพออดกลั้นได้ ทั้งยังก่นด่าทหารคุมขังไปด้วย แต่รอจนกระทั่งในคุกอันคับแคบเหลือนางเพียงคนเดียวก็เริ่มเกิดอาการหวาดกลัว ความทรงจำที่ถูกลักพาตัวครั้งก่อนก็ทะลักเข้ามาในหัว ความจริงตอนที่นางถูกลักพาตัวครั้งก่อนถึงสภาพแวดล้อมจะมืดไปสักหน่อยแต่กลับดีกว่าคุกแห่งนี้มากโข เพียงแต่ในความทรงจำของจูหมิงเยียนเป็นครั้งแรกในชีวิตที่นางเจอสถานการณ์เช่นนั้น อีกอย่างพอนางยิ่งคิดก็ยิ่งหวาดกลัว กระทั่งรู้สึกราวกับว่ากู้อวิ๋นเกอที่ถูกใส่ร้ายจนถึงแก่ความตายกำลังจับจ้องนางในคุกเล็กๆ แห่งนี้อย่างไม่วางตา

จูหมิงเยียนตกใจจนอดกรีดร้องเสียงแหลมไม่ได้ ตอนแรกยังมีทหารที่ได้ยินเข้ามาดูบ้าง พอตอนหลังเหล่าทหารคุมขังนึกรำคาญเลยปล่อยให้นางร้องโวยวายไปโดยไม่คิดสนใจอีก กระทั่งยามที่พระชายาผิงหนานมาถึงคุกในศาลอิงเทียนฝู่ก็อดเหนือคาดกับท่าทีของบุตรสาวของตนไม่ได้ เวลาสั้นๆ เพียงวันเดียวจูหมิงเยียนราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน แววตาล่องลอย ท่าทีดูตื่นตระหนก ครั้นเห็นพระชายาผิงหนานก็ไม่พูดไม่จาเอาแต่จับจ้องนางแน่นิ่งเท่านั้น

“เยียนเอ๋อร์…เยียนเอ๋อร์ เจ้าเป็นอันใดไป ข้าเป็นแม่ของเจ้าเอง…” พระชายาผิงหนานไม่สนใจความสกปรกในคุกสักนิด นางพุ่งตัวไปหน้ากรงตรงประตูคุกแล้วยื่นมือหมายจะดึงมือของจูหมิงเยียนมา “เยียนเอ๋อร์ เจ้าเป็นอันใดไปหรือ”

“กรี๊ด!” จูหมิงเยียนสะบัดมือของพระชายาผิงหนานออกด้วยท่าทีสับสนแล้วนั่งลงบนพื้นกระเถิบตัวถอยหลังไปไม่หยุดอย่างหวาดกลัว

เห็นสีหน้าบุตรสาวเช่นนี้ พระชายาผิงหนานก็อดน้ำตาไหลราวกับสายฝนไม่ได้ “เยียนเอ๋อร์ เจ้าทุกข์ทรมานเหลือเกิน นี่แม่เอง ตกลงเจ้าเป็นอะไรกันแน่… ”

“ท่านแม่?” โชคดีที่จูหมิงเยียนยังไม่ได้เลอะเลือนถึงขีดสุด นางค่อยๆ ได้สติแล้วพุ่งไปเบื้องหน้าของพระชายาผิงหนานอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ดึงชายผ้าของพระชายาผิงหนานร้องเอ่ย “ท่านแม่ ท่านแม่มาช่วยเยียนเอ๋อร์ใช่หรือไม่เพคะ รีบปล่อยข้าออกไปเถิด ข้าไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว ที่นี่มีผี…ท่านแม่ รีบปล่อยข้าออกไปสิเพคะ” พระชายาผิงหนานเอ่ยปลอบใจไม่หยุด “อย่ากลัวไปเลย ไม่ต้องกลัวนะ…มีผีที่ไหนกัน เจ้าวางใจเถิด ท่านพ่อของเจ้าคิดหาวิธีได้แล้ว ไม่นานก็จะปล่อยตัวเจ้าออกไปแล้ว”

ครั้นได้ยินว่ายังไม่ปล่อยตนออกไป สีหน้าของจูหมิงเยียนก็เปลี่ยนไปชั่วขณะแล้วผลักพระชายาผิงหนานออก เอ่ยขึ้น “เหตุใดต้องรอด้วย ให้ท่านพ่อเรียกตัวเซ่าจิ่นอะไรนั่นมาปล่อยข้าออกไปสิ! ข้าไม่อยากอยู่ที่นี่ต่อไปเลยสักนิด!”

พระชายาผิงหนานถอนหายใจอย่างจนใจ หากเป็นใครคนอื่นแค่สั่งให้ปล่อยตัวเยียนเอ๋อร์ไปคงไม่ยากหรอก แต่เซ่าจิ่นใต้เท้าของอิงเทียนฝู่ดันเป็นคนที่แม้แต่ผิงหนานจวิ้นอ๋องก็ยังไม่อยากล่วงเกินง่ายๆ เลย คนผู้นี้จิตใจแน่วแน่ อีกทั้งเป็นคนที่ฮ่องเต้ให้ความสำคัญและเชื่อใจมาก หากไม่มีคนหนุนหลังและเก่งกาจมากจริงๆ คงนั่งตำแหน่งนี้ภายใต้เบื้องพระบาทอย่างมั่นคงไม่ได้แน่นอน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าอีกฝ่ายสนิทสนมกับตระกูลหลี่และจวนจื้ออ๋องด้วย เพื่อให้ความกระจ่างแก่ทั้งสองตระกูลย่อมไม่มีทางปล่อยตัวจูหมิงเยียนง่ายดายขนาดนั้นอยู่แล้ว

พระชายาผิงหนานเอ่ยอย่างจนใจ “อย่ากลัวไปเลย ในอีกไม่ช้าก็จะได้ออกไปแล้ว เจ้าเองก็ด้วย…อยู่ดีๆ เหตุใดต้องไปหาเรื่องหลี่จืออี๋นั่นด้วย ครั้งก่อนถูกสั่งสอนไปยังไม่พอหรือ”

จูหมิงเยียนกัดฟันเอ่ย “ข้าต่างหากที่เป็นพระชายากง เหตุใดต้องยอมเสียเปรียบนังสารเลวนั่นด้วย ข้าไม่ปล่อยให้นางได้สมหวังหรอก ขอแค่ข้าได้ใช้ชีวิตไปอีกหนึ่งวันก็จะไม่ยอมให้ใครหน้าไหนได้อภิเษกกับท่านพี่แน่นอน!” ได้ยินเช่นนั้นพระชายาผิงหนานก็อดชะงักไม่ได้

ตกลงนี่มันอะไรกัน หลายวันมานี้ตนอธิบายชี้แนะบุตรสาวทุกวันจนเผลอคิดว่าเข้าใจแล้วเสียอีก หรือกงอ๋องจะเป็นกรรมเมื่อชาติก่อนของเยียนเอ๋อร์? คิดถึงก่อนหน้านี้ตอนที่ยังไม่มีกงอ๋อง ก็รู้สึกว่าบุตรสาวของตนถือว่าเป็นหญิงสาวที่ฉลาดหลักแหลมไม่เบา ทว่านับตั้งแต่อภิเษกกับกงอ๋องไปเป็นพระชายากงก็แย่ลงทุกวัน ลำพังคนเป็นแม่อย่างตนเอ่ยโน้มน้าวไปก็ไม่ฟัง หากกงอ๋องยอมนางและปฏิบัติดีกับนางยังพอว่า เหตุการณ์ในตอนนี้เห็นได้ชัดว่ากงอ๋องสูญสิ้นซึ่งความอดทนแล้ว แต่นางดันกำเริบหนักกว่าเดิม จริงๆ เลย…

ตัวพระชายาผิงหนานเองก็เป็นพระชายาเอกจึงกล่าวได้ว่าน้อยนักที่จะโน้มน้าวสำเร็จ ถึงแม้ในจวนผิงหนานจวิ้นอ๋องจะมีเหล่าอนุและบุตรอนุ แต่ท่านพี่กลับแค่วางประดับไว้ไม่สนใจเลยสักนิด ตลอดหลายกี่สิบปีมานี้ผิงหนานจวิ้นอ๋องโปรดปรานนางคนเดียวมาตลอด กระทั่งบุตรสาวที่นางให้กำเนิดก็ยังรักมากกว่าบุตรชายเสียอีก นอกจากเรื่องที่ให้กำเนิดบุตรชายไม่ได้ พระชายาผิงหนานรู้สึกว่าตนไม่มีสิ่งใดให้เสียใจแล้ว นางย่อมไม่ถูกใจวิธีการทำให้ตายเช่นไรก็ไม่ยอมปล่อยให้ไปมีอนุภรรยาเช่นนี้ของจูหมิงเยียนอยู่แล้ว วอแวกัดไม่ปล่อยเช่นนี้จะมีประโยชน์อะไร แต่สตรีที่โง่เขล่าเช่นนี้ดันเป็นบุตรสาวของตนเสียได้

“เยียนเอ๋อร์! เจ้าฟังคำแม่ให้ดี!” พระชายาผิงหนานจับจ้องจูหมิงเยียนด้วยสีหน้าจริงจังพลางเอ่ยเสียงเข้ม“เจ้ารู้หรือไม่ว่าหลายวันนี้เจ้าก่อเรื่องวุ่นวายไร้สาระอะไรบ้าง เจ้าคิดว่าทำแบบนี้แล้วกงอ๋องจะไม่หาพระชายาแล้วจดจำความดีของเจ้าอย่างนั้นหรือ” เวลานี้พระชายาผิงหนานรู้สึกว่าการที่จูเปี้ยนจะให้บุตรสาวไปอยู่วัดเป็นเรื่องที่คาดการณ์ได้อย่างถูกต้องแล้ว จากท่าทีของนางในตอนนี้ ประเดี๋ยวออกไปเกรงว่าผ่านไปอีกไม่กี่วันก็คงถูกคนเอาตัวเข้ามาใหม่ นอกจากว่าตนจะนั่งเฝ้าทั้งวันโดยไม่ต้องทำอะไร

ครั้นเห็นว่าจูหมิงเยียนนิ่งไป พระชายาผิงหนานก็ถอนหายใจอย่างระอาใจแล้วเอ่ยเสียงหวานว่า “เด็กโง่ บัดนี้ยิ่งเจ้าก่อเรื่องวุ่นวายเท่าไรก็จะยิ่งทำให้เขารู้สึกอับอาย เขาไม่คิดหรอกว่าเหตุผลที่เจ้าทำเช่นนี้เป็นเพราะเจ้าขาดเขาไม่ได้ สำหรับบุรุษแล้วศักดิ์ศรีสำคัญกว่าสิ่งใดทั้งนั้น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องสถานะของเขาเลย แค่ทำอะไรผิดพลาดนิดหน่อยก็กลายเป็นเป้าให้คนจู่โจมได้แล้ว หลายวันมานี้เพราะเรื่องของเจ้าเลยทำให้กงอ๋องถูกฝ่าบาทดุด่าไม่น้อย”

จูหมิงเยียนแววตาวูบไหวมองพระชายาผิงหนานราวกับนางทำอะไรไม่ได้ พระชายาผิงหนานลอบพรูลมหายใจแล้วเอ่ย “บัดนี้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น หากอาละวาดจนเรื่องไปถึงฝ่าบาทก็จะเกิดหายนะขึ้นอีก หากตระกูลหลี่และจวนจื้ออ๋องรวมใจกันโวยวายขึ้นมา เยียนเอ๋อร์ หากบิดาของเจ้าเอาชีวิตปกป้องเจ้าไว้ได้ก็ถือว่าเป็นบุญแล้ว”

“ไม่…ไม่เอา…” จูหมิงเยียนร่ำไห้ “ท่านแม่…ช่วยข้าที…ช่วยเยียนเอ๋อร์ด้วย”

พระชายาผิงหนานยกมือขึ้นลูบไหล่ของนางอย่างเบามือเอ่ยเสียงอ่อนโยนว่า “เจ้าเป็นบุตรสาวสุดที่รักของแม่ แม่ไม่ช่วยเจ้าแล้วจะช่วยใคร ท่านพ่อของเจ้าไปที่จวนตระกูลหลี่แล้ว เยียนเอ๋อร์ เห็นแก่ที่พ่อของเจ้ายอมเสียหน้า หากเรื่องนี้ผ่านไปแล้วเจ้าอย่าก่อเรื่องอีกเลย ประเดี๋ยวแม่จะไปอยู่กับเจ้านอกเมืองสักระยะ รอจนกระทั่งเรื่องนี้ผ่านไปแล้ว เจ้ากับกงอ๋องเป็นสามีภรรยากันตลอดหลายปีมานี้ รอวันข้างหน้า…แต่เจ้ายังกลัวว่ากงอ๋องจะไม่คิดถึงเจ้าแล้วไม่รับตัวเจ้ากลับไปอีกหรือ”

จูหมิงเยียนมองพระชายาผิงหนานด้วยท่าทีเลื่อนลอยแล้วเอ่ยพึมพำเสียงต่ำว่า “ข้ารู้ ท่านแม่…ข้ารู้ทุกอย่างแต่ข้าอดใจไว้ไม่อยู่…ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าข้าเป็นอะไร…ข้าอดไม่ได้…” นางรู้อยู่แล้วว่าทำเช่นนี้จะยิ่งทำให้ตัวเองลำบากขึ้นเรื่อยๆ แต่แค่ได้ยินเรื่องงานอภิเษกระหว่างมู่หรงอวี้และหลี่จืออี๋ก็เหมือนทำให้นางอดระเบิดความคลุ้มคลั่งออกมาไม่ได้จนอยากจะบีบคอหลี่จืออี๋แรงๆ เหลือเกิน!

“ท่านแม่ ข้ากลัว…มีผี…เป็นกู้อวิ๋นเกอ เป็นกู้อวิ๋นเกอที่นอนตายตาไม่หลับ นางคิดจะทำร้ายข้า! นางคิดจะฆ่าหลี่จืออี๋ให้ตาย ไม่เกี่ยวอะไรกับข้าเลย…” จูหมิงเยียนร่ำไห้น้ำตานองหน้าด้วยความขมขื่น

พระชายาผิงหนานขมวดคิ้วแน่น เรื่องเล่าที่เรียกว่าผีสางนางย่อมไม่เชื่ออยู่แล้ว หากบนโลกนี้มีเรื่องผีสางอะไรนั่นจริงๆ วันที่ตระกูลกู้ถูกฆ่าตายยกครัวน่าอนาถขนาดไหน ผีสางวิญญาณของคนตระกูลกู้คงออกมาหลอกหลอนคนทั้งเมืองหลวงจนล้มระเนระนาดกันหมดแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นคนตระกูลอย่างพวกนางมีใครไม่เคยทำเรื่องเลวร้ายเช่นนี้บ้าง แต่ใครเคยเห็นผีสางอะไรนั่นจริงบ้างเล่า

ตอนต่อไป

หวนคืนชะตาแค้น

หวนคืนชะตาแค้น

Status: Ongoing
ความงาม…ไหวพริบ… ล้วนเป็นหมากในเกมกระดานของนาง เพื่อช่วยเหลือพี่ชายและกอบกู้ตระกูล แม้หัวใจนางก็พร้อมยอมแลก!ในเมื่อสวรรค์ต้องการให้ข้ามีชีวิตอยู่…ความแค้นและความเกลียดชังเอย…แม้ตายเก้าครั้งก็ยากจะลืมเลือน…ความยุติธรรมหมดไป…เหตุใดแคว้นยังไม่สูญสิ้น? ตั้งแต่นี้ต่อไป ข้าคือมู่ชิงอีและคือกู้อวิ๋นเกอด้วยเช่นกันจากหญิงสาวผู้เพียบพร้อมด้วยรูปโฉมและยศฐากลับร่วงหล่นสู่โคลนตมเพราะแผนร้ายของคนใกล้ตัวบ้านแตกสาแหรกขาด เสียทั้งเพื่อนสนิทและคู่หมั้นไปในคราวเดียวในงานประมูลคืนแรกของตน หญิงสาวฝังคมมีดลงบนร่างศัตรูและเผาร่างในกองเพลิงเมื่อฟื้นตื่นมาอีกครั้งนางกลับกลายเป็น มู่ชิงอี ญาติผู้น้องผู้อ่อนแอไปเสียแล้วเมื่อได้มีชีวิตกลับมาอีกครั้งนางจะทวงทุกสิ่งที่เคยเป็นของตนคืนมาคืนความยุติธรรมให้ตระกูลกู้ด้วยสองมือของนางเอง!“ตั้งแต่นี้ต่อไป ข้าคือมู่ชิงอีและคือกู้อวิ๋นเกอด้วยเช่นกัน ความอยุติธรรมทั้งหลายข้าจะคืนมันกลับไปทั้งหมด!”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท