มู่ฉังหมิงกล่าวเสียงเรียบ “เอาจดหมายฉบับนี้ไปส่งที”
คนผู้นั้นรับจดหมายมาโดยไม่แม้แต่จะเหลือบมองสักนิด เดินจากไปพร้อมจดหมายด้วยท่าทีนอบน้อม “ขอรับ”
ยามค่ำคืนเงียบสงัด ภายในหลังสวนของจวนฉิน คุณชายท่วงท่าสง่างามในชุดสีขาวยืนอยู่ใต้ชายคาเหม่อมองดวงจันทร์กลมมนบนท้องฟ้าด้วยสีหน้านิ่งสงบ แสงจันทร์สีเทาขาวสาดส่องร่างกายเขาราวกับทั่วทั้งร่างกายถูกปกคลุมด้วยผ้าโปร่งสีเทาบางๆ ชั้นหนึ่ง ยิ่งขับให้ดูว่างเปล่าและโดดเดี่ยว ครั้นได้ยินเสียงฝีเท้าชายหนุ่มก็หันไปมอง จากใบหน้าที่เดิมทีหล่อเหลาไร้ที่ติกลับปรากฏรอยแผลแนวขวางอันน่ากลัวชวนให้บุรุษชุดสีขาวใต้แสงจันทร์ดูแปลกประหลาดไม่น้อย
“ดึกดื่นขนาดนี้แล้วยังมาอีกหรือ” กู้ซิ่วถิงเอ่ยถามเสียงเรียบ
สาวน้อยในชุดสีขาวยืนบนทางเดินมองเขาพลางขมวดคิ้ว “พี่ใหญ่ยังไม่พักผ่อนอีกหรือเจ้าคะ” กู้ซิ่วถิงอมยิ้มพลางส่ายศีรษะ “หากข้าพักผ่อนแล้วเจ้าคงมาเสียเที่ยวมิใช่หรือ เหตุใดถึงมาหาถึงที่นี่ หรือว่ามีเรื่องอันใด”
มู่ชิงอีเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ “พรุ่งนี้ก็เป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพของฮ่องเต้แคว้นหวาแล้ว”
กู้ซิ่วถิงนิ่งชะงัก พวกเขาทั้งสองคนต่างก็เงียบไป สำหรับเรื่องฮ่องเต้แว่นแคว้นนี้สองพี่น้องไม่ได้สนทนาอะไรกันมากมาย มู่ชิงอีเอาแต่คิดว่าจะวางแผนแก้แค้นมู่หรงอวี้ มู่หรงอานและคนของจวนผิงหนานจวิ้นอ๋องเช่นไร แต่ความจริงพวกเขาต่างรู้แก่ใจดีว่าคนที่อยากให้คนในตระกูลกู้ตายก็คือฮ่องเต้ผู้สูงส่งต่างหาก มู่หรงอวี้แม้จะเป็นคนสารเลวเหมือนกัน แต่ถึงอย่างไรก็ตาม อย่างมากก็แค่อ่านความคิดของฮ่องเต้แคว้นหวาออกเลยคิดหาวิธีเอาใจ ส่วนพวกเขานั้นกลับได้รับการสั่งสอนและถูกกรอกหูว่าต้องภักดีต่อกษัตริย์และรักบ้านเมือง แต่ดั่งคำโบราณที่กล่าวไว้ว่า ‘กษัตริย์อยากให้ขุนนางตายขุนนางก็ต้องตาย’ ดังนั้นความแค้นที่มีต่อพวกมู่หรงอวี้จึงเทียบไม่ได้เลยกับความแค้นต่อฮ่องเต้แคว้นหวา
“นั่นสิ พรุ่งนี้เป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพของฮ่องเต้แคว้นหวา…” กู้ซิ่วถิงกระแอมเสียงเบาแล้วถอนหายใจออกมา
มู่ชิงอีเงียบไปพักหนึ่งแล้วเอ่ยเสียงทุ้มต่ำว่า “วันพรุ่งนี้ข้าต้องเข้าวังไปถวายพระพรในงานเลี้ยงด้วย”
กู้ซิ่วถิงนิ่งชะงักไปแล้วขมวดคิ้วถาม “เพราะเหตุใดหรือ ด้านนอกพากันเล่าลือว่าใบหน้าของมู่ชิงอีเสียโฉมแล้ว หากเป็นตามนี้เจ้าไม่ไปก็ได้”
มู่ชิงอียกยิ้มกล่าว “วันนี้ฝ่าบาทเพิ่งแต่งตั้งให้ข้าเป็นฉังหนิงจวิ้นจู่ ข้าจะไม่ไปกล่าวขอบพระทัยได้อย่างไร”
“ฉังหนิงหรือ” กู้ซิ่วถิงสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย ในเมืองหลวงคนที่รู้จักนามของจังฮูหยินมีอยู่ไม่น้อยแต่คนที่รู้จักสมญานามของนางกลับมีไม่มากนัก และกู้ซิ่วถิงก็เป็นหนึ่งในคนจำนวนน้อยพวกนั้นพอดี เขาเงยหน้ามองหญิงสาวใบหน้างดงามหมดจดภายใต้แสงจันทร์ ส่ายศีรษะกล่าว “ไม่ได้ อีเอ๋อร์เจ้าจะไปไม่ได้”
มู่ชิงอีคลี่ยิ้มบางแล้วยกมือมาลูบใบหน้าของตนอย่างเบามือ ฉับพลันรอยยิ้มก็ผุดความเย็นชาขึ้นมา เอ่ยว่า “ไม่เจ้าค่ะพี่ใหญ่ ข้าอยากไป ข้าไม่เพียงแต่อยากไปเท่านั้น แต่ข้าจะไป…ด้วยใบหน้านี้นั่นแหละ ข้าอยากจะเห็นนักว่าตกลงแล้วเขาคิดจะทำอะไรกันแน่!”
“เหลวไหล!” กู้ซิ่วถิงไม่อยากจะคาดเดาอีกต่อไปแล้วว่าฮ่องเต้ที่กุมอำนาจทั่วใต้หล้าจะเหิมเกริมได้ถึงขนาดไหนกัน เขาเพียงไม่อยากให้ลูกพี่ลูกน้องเพียงหนึ่งเดียวได้รับอันตรายใดอีก
ครั้นเห็นกู้ซิ่วถิงขมวดคิ้วแน่น มู่ชิงอีก็ปิดปากยิ้มกล่าว “พี่ใหญ่อย่าได้กังวลไปเลยเจ้าค่ะ ชิงอีไม่ใช่ชิงอีครั้งวัยเยาว์อีกต่อไป ควรทำเช่นไรชิงอีรู้อยู่แก่ใจดี ในเมื่อฝ่าบาททรงแต่งตั้งให้ข้าเป็นจวิ้นจู่ ไม่ว่าเขาคิดจะทำอันใด แต่ในเวลาอันสั้นนี้ก็คงไม่ทำอะไรบุ่มบ่ามหรอกกระมัง ในเมื่อ…ต่อให้ฮ่องเต้จะเหิมเกริมแต่เขาก็หวงแหนศักดิ์ศรีอยู่ดี”
“เจ้าเองก็รู้ความคิดของฮ่องเต้หรือ” กู้ซิ่วถิงมุ่นคิ้วกล่าวแล้วมองใบหน้างดงามของหญิงสาวเบื้องหน้า อดนึกถึงน้าหญิงที่อ่อนโยนสง่างามของตนในยามนั้นไม่ได้
น้าหญิงเกิดมาในตระกูลเช่นนั้น เป็นหญิงสาวที่ฉลาดหลักแหลมขนาดนั้น เดิมทีควรจะมีชีวิตที่สงบสุขราบรื่นตราบชั่วชีวิต แต่เพียงเพราะนางบังเอิญช่วยชีวิตคนๆ หนึ่งไว้ นับตั้งแต่นั้นมาก็ไม่เคยใช้ชีวิตอย่างสบายใจได้เลยสักวัน บรรดาฮ่องเต้…ต่างก็ลืมบุญคุณราวกับว่าแต่ไหนแต่ไรมาควรเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว
มู่ชิงอีเอ่ยพลางยิ้มเย็นชา “ในเมื่อฝ่าบาทมีความคิดเช่นนี้แล้วข้าเอาแต่หลบหนีจะมีประโยชน์อย่างนั้นหรือ พี่ใหญ่ ข้า…ท่านแม่ข้าจะตายเปล่าไม่ได้ อีกอย่างคนในตระกูลกู้มีตั้งมากมาย ไหนจะท่าน…พี่หญิงอีก ในเมื่อคนพวกนี้ไร้หัวใจ เช่นนั้นพวกเขาก็ไม่ต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปอีก!”
“อีเอ๋อร์…” กู้ซิ่วถิงยกมือขึ้นลูบเส้นผมของมู่ชิงอีอย่างเบามือแล้วยิ้มบางกล่าว “ข้าที่เป็นพี่ใหญ่อายุมากกว่าเจ้าตั้งหลายปี ทว่าใจกลับไม่เด็ดเดี่ยวเท่าเจ้าที่เป็นสตรีคนหนึ่งเลย อีเอ๋อร์คงไม่นึกขำพี่ใหญ่หรอกกระมัง”
มู่ชิงอีเอาศีรษะถูฝ่ามือของกู้ซิ่วถิงด้วยความเคยชินแล้วเอ่ย “ไม่หรอกเจ้าค่ะ พี่ใหญ่เก่งที่สุดแล้ว!”
ได้ยินเช่นนั้นกู้ซิ่วถิงก็นิ่งไปพลางมองมือที่เพิ่งลูบไล้เส้นผมของมู่ชิงอีเมื่อครู่ สติพลันล่องลอยไปชั่วขณะ หลายปีก่อนหน้านี้มีสาวน้อยงดงามคนหนึ่งเองก็ชอบเอาศีรษะถูกับฝ่ามือของเขาเช่นนี้เหมือนกัน จากนั้นก็จะเงยหน้ายิ้มตาหยีกล่าว ‘พี่ใหญ่เก่งที่สุดแล้ว!’ เช่นกัน
อวิ๋นเกอ…เกอเอ๋อร์
แววตาที่กู้ซิ่วถิงจับจ้องหญิงสาวตรงหน้าภายใต้แสงจันทร์แฝงไปด้วยความซับซ้อนยิ่งขึ้นกว่าเดิม ครั้นมู่ชิงอีเห็นท่านพี่จับจ้องตนแน่นิ่งเช่นนั้นโดยไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ ก็อดถามไม่ได้ว่า “พี่ใหญ่ พี่ใหญ่คิดเรื่องใดอยู่หรือเจ้าคะ”
กู้ซิ่วถิงยิ้มบางกล่าว “ไม่มีอะไร ไม่ว่ามู่ชิงอีต้องการสิ่งใด พี่ใหญ่จะช่วยเจ้าทุกอย่าง ไม่สิ พี่ใหญ่จะตามชิงอีไปด้วย ทำให้พวกที่สมควรตายพวกนั้นไปที่ที่สมควรไปให้หมด!” ภายใต้แสงจันทร์คำพูดของคุณชายในชุดสีขาวนั้นทำให้รู้สึกได้ถึงไอสังหารเย็นยะเยือกอยู่บ้าง
“เอ๊ะ?”
ครั้นเห็นแววตาแปลกใจของนาง กู้ซิ่วถิงก็ยิ้มบางโดยไม่จะคิดอธิบายอะไร เอ่ยเพียงว่า “พรุ่งนี้เข้าวังต้องระวังตัวให้มาก รอเจ้ากลับมาแล้ว พี่ใหญ่มีของขวัญชิ้นหนึ่งมอบให้เจ้า ตอนนี้พี่ใหญ่เองก็ช่วยอะไรเจ้าไม่ได้ ดังนั้นต้องระวังตัวให้มาก”
มู่ชิงอียิ้มกล่าว “พี่ใหญ่จะให้ของขวัญข้าอย่างนั้นหรือ ดียิ่งนัก นานแล้วที่ไม่มีใครให้ของขวัญข้า แต่ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือพี่ใหญ่ต้องดูแลร่างกายให้ดีถึงจะถูก”
กู้ซิ่วถิงกล่าว “เจ้าวางใจเถิด เจ้าต้องถูกใจอย่างแน่นอน ไม่เคยเจอใครที่เอาใจง่ายเหมือนเจ้ามาก่อนเลย ตอนนั้นซื้อไม้แกะสลักให้ไม่กี่ชิ้นยังดีอกดีใจอยู่ตั้งนานแล้วยังซ่อนไม้แกะสลักใบบัวนั่นไม่ยอมให้ใครดูสักคน”
มู่ชิงอีหน้าแดงระเรื่อเอ่ยเสียงออดอ้อน “ข้าไม่ได้เอาใจง่ายขนาดนั้นเสียหน่อย เป็นเพราะนั่นไม่ใช่ของที่พี่ใหญ่ให้หรอกหรือ”
กู้ซิ่วถิงยิ้มโดยไม่พูดอะไรเพียงแค่จับจ้องหญิงสาวตรงหน้า แววตาผุดความอ่อนโยนและความสงสารเพิ่มขึ้นมา
กระทั่งส่งมู่ชิงอีกลับไป คุณชายซิ่วถิงที่อยู่ใต้แสงจันทร์ก็มองพระจันทร์บนท้องฟ้าแล้วถอนหายใจ จากนั้นก็เอ่ยพึมพำกับตัวเองอย่างนึกสงสัยว่า “เกอเอ๋อร์…เป็นเจ้าหรือไม่นะ” ปีนั้นเขาเพิ่งได้ขึ้นเป็นขุนนาง เงินเดือนยังไม่มากนักเลยซื้อไม้แกะสลักประณีตไม่กี่ชิ้นให้เหล่าหญิงสาวในตระกูล ในนั้น ลูกพี่ลูกน้องหญิงคนเล็กหยิบหรูอี้สั่วไปชิ้นหนึ่ง ส่วนคนที่หยิบเอาไม้แกะสลักใบบัวไปคือคุณหนูใหญ่ตระกูลกู้…กู้อวิ๋นเกอ
ก่อนหน้าวันคล้ายวันพระราชสมภพของฮ่องเต้แคว้นหวาหนึ่งวันได้ทรงแต่งตั้งมู่ชิงอีบุตรภรรยาเอกของจวนซู่เฉิงโหวขึ้นเป็นจวิ้นจู่ อีกทั้งยังเสียโฉมอีกต่างหาก ในเวลาอันสั้นทุกคนในเมืองหลวงต่างพากันพูดถึง บ้างก็เล่าลือไปว่าฮ่องเต้ถูกโหรวเฟยพูดโน้มน้าวจนเตรียมเอาตัวมู่ชิงอีมาอภิเษกเข้าจวนหนิงอ๋องเพื่อเป็นการแก้เคล็ด ส่วนตำแหน่งจวิ้นจู่คือสิ่งชดเชยที่ฮ่องเต้ทรงพระราชทานให้มู่ชิงอี อีกทั้งยังมีคนเล่าลือว่าคนที่ต้องอภิเษกเข้าจวนหนิงอ๋องก็ยังคงเป็นพระคู่หมั้นอยู่ซึ่งก็คือมู่อวิ๋นหลง แต่เพื่อชดเชยให้กับจวนซู่เฉิงโหวจึงได้พระราชทานยศบรรดาศักดิ์จวิ้นจู่แก่บุตรสาวภรรยาเอกของจวนซู่เฉิงโหว แต่สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงการคาดเดาอันน่าเบื่อหน่ายของทุกคน และทุกคนต่างเข้าใจดีว่าการคาดเดาเช่นนี้ดูไม่ค่อยสมเหตุสมผลนัก ต่อให้ฮ่องเต้ทรงอยากชดเชยให้จวนซู่เฉิงโหวจริงแต่ย่อมไม่มีทางแต่งตั้งตำแหน่งที่สูงศักดิ์ให้หญิงสาวคนหนึ่งสูงกว่าท่านพ่อของนางอยู่แล้ว นอกเสียจากหญิงผู้นั้นเตรียมตัวจะเข้าอภิเษกกับองค์ชาย แต่ถ้าเพื่อการอภิเษกแล้วล่ะก็ เห็นได้ชัดว่าบรรดาศักดิ์จวิ้นจู่ยังสูงส่งสู้ตำแหน่งองค์หญิงไม่ได้เลย ในเมื่อคิดจะแต่งตั้งตำแหน่งให้สตรีเพื่อเข้ารับการอภิเษกก็ไม่ควรอาลัยอาวรณ์หวงตำแหน่งองค์หญิงกระมัง นอกจากนี้แล้ว หญิงสาวที่เสียโฉมหากจะเอามาอภิเษกกับองค์ชายจะมีใครเอาจริงๆ หรือ แต่พอนึกย้อนดูแล้วเรื่องทำนองที่ผู้หญิงมีสถานะสูงกว่าผู้ชายไม่ได้เกิดขึ้นครั้งแรกในจวนซู่เฉิงโหว หลังจากจังฮูหยินจากโลกนี้ไปในปีนั้นฮ่องเต้ก็ทรงแต่งตั้งตำแหน่งฉินกั๋วฮูหยินให้ แต่หากวันหน้าซู่เฉิงโหวจากโลกนี้ไปมิทรงแต่งตั้งตำแหน่งกั๋วกงให้เลยหรือ เช่นนั้นเรื่องราวสนุกๆ นี้คงไปกันใหญ่แล้ว
ตอนต่อไป