ฮองเฮาชะงักไป เวลานี้นางเพิ่งนึกถึงความคลั่งไคล้ที่องค์หญิงหมิงฮุ่ยมีต่อคุณชายเว่ยขึ้นได้ หากรู้ว่าคู่หมั้นของคุณชายเว่ยเข้าวังมา ด้วยนิสัยของนางแล้วจะยอมปล่อยไปหรือ ฮองเฮาจึงขมวดคิ้วด้วยความกลัดกลุ้มแล้วถอนหายใจกล่าว “ข้าลืมเรื่องนี้ไปได้เช่นไรกันนะ”
ความจริงฮองเฮาไม่ได้ลืม แต่เพราะนางนึกเรื่องนี้ขึ้นได้เลยกังวลว่าตอนที่แม่นางเชียนหลิงมาองค์หญิงหมิงฮุ่ยจะอาละวาดเลยทรงรับสั่งให้พวกนางออกไปต่างหาก ใครจะไปรู้ว่าสุขภาพของเชียนหลิงจะย่ำแย่จนอาการกำเริบที่สวนดอกไม้พอดิบพอดีเล่า
ฮองเฮากำลังจะเปิดปากออกคำสั่ง คนด้านนอกก็มีคนเดินเข้ามาด้วยท่าทีรีบร้อน “กราบทูลฮองเฮา! องค์หญิงห้าขวางทางหมอหลวงอยู่ด้านนอกไม่ให้เข้าศาลารั่วหวาเพคะ ทางฝั่งแม่นางเชียนหลิง…”
“ชอบก่อกวนดีนัก!” ฮองเฮาเอ่ยอย่างเกรี้ยวโกรธ “รีบไปเรียกหมิงฮุ่ยมาให้ข้าประเดี๋ยวนี้! ไม่ต้อง…ข้าไปดูเองดีกว่า” พอใคร่ครวญดูแล้ว สุดท้ายฮองเฮาก็ตัดสินใจไปดูเอง ใครจะไปรู้ว่าสุขภาพของเชียนหลิงเป็นเช่นไรบ้าง หากแย่จนไม่ไหวจริงๆ แล้วหมิงฮุ่ยเองก็ไม่ฟังคำโน้มน้าวใคร ไปๆ มาๆ เช่นนี้จะทำให้ล่าช้า หากเกิดเรื่องอันใดขึ้นมาจริงๆ จะยุ่งยากเอาได้
องค์หญิงหมิงเวยกล่าว “หม่อมฉันไปกับเสด็จแม่แล้วกันเพคะ น้องหญิงห้ายังฟังคำโน้มน้าวหม่อมฉันบ้าง”
ฮองเฮาพยักหน้า จากนั้นก็หันไปมองหรงเฟยและโหรวเฟย
หรงเฟยเม้มปากเอ่ยยิ้มๆ “หม่อมฉันขอไม่ตามไปดูเรื่องสนุกๆ นี้แล้วกันนะเพคะ”
โหรวเฟยเองก็ย่อมไม่สนใจเรื่องนี้เช่นกันจึงยิ้มบางกล่าว “หม่อมฉันรู้สึกเพลีย เช่นนั้นคงต้องลำบากฮองเฮาแล้ว” ฮองเฮาเองก็ไม่ได้หวังว่าพวกนางจะแบ่งเบาอะไรตนได้อยู่แล้ว จึงพยักหน้ารับเบาๆ “เอาเถิด เช่นนั้นทางนี้ก็ฝากพวกเจ้าด้วยแล้วกัน”
ทั้งสองย่อมต้องน้อมรับพระบัญชาด้วยท่าทียำเกรงอยู่แล้ว องค์หญิงหมิงเวยลุกขึ้นยืนแล้วมองมู่ชิงอี “ฉังหมิงจวิ้นจู่ เจ้าเองก็ไปกับข้าเถิด” มู่ชิงอีไม่ได้อยากอยู่ที่นี่เผชิญหน้ากับท่าทีหยั่งเชิงของบรรดาสตรีที่แสนน่าเบื่อและแววตาแปลกๆ พวกนี้อยู่แล้วจึงรีบลุกขึ้นตามไปด้วย “ชิงอีน้อมรับพระบัญชาเพคะ”
พวกนางรีบพุ่งตรงไปทางศาลารั่วหวาที่อยู่มุมตะวันออกเฉียงใต้ของสวนดอกไม้ ด้านนอกเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นแล้วจริงๆ หมอหลวงสองท่านที่เชิญมาถูกองค์หญิงหมิงฮุ่ยขวางไว้ด้านนอกไปไหนไม่ได้ สาวใช้สองคนตรงหน้าประตูศาลารั่วหวาคุกเข่าอ้อนวอนองค์หญิงหมิงฮุ่ยอยู่บนพื้นอย่างทุกข์ใจ ท่าทางเช่นนั้นเห็นได้ชัดว่าต้องเป็นบ่าวรับใช้ที่ติดตามแม่นางเชียนหลิงเข้าวังมาแน่นอน เห็นทีว่าคงกำลังวิงวอนให้องค์หญิงหมิงฮุ่ยยอมปล่อยหมอหลวงเข้าไป ทว่าใบหน้าอันงดงามขององค์หญิงหมิงฮุ่ยกลับเต็มไปด้วยความเกลียดชังและอิจฉา ดังนั้นสาวใช้ทั้งสองคนจะเรียกร้องขอความเห็นใจจากนางได้เช่นไร นางเพียงแค่ทำสีหน้าขึงขังพร้อมจับจ้องหมอหลวงทั้งสองไม่กะพริบตา ส่วนด้านข้างมีองค์หญิงไหวหยางและหย่งจยาจวิ้นจู่กำลังเอ่ยโน้มน้าวนางอยู่ แต่เวลานี้องค์หญิงหมิงฮุ่ยที่ถูกความริษยาครอบงำจิตใจไม่ว่าจะเป็นคำพูดใครก็ไม่เข้าหูนางแล้วทั้งนั้น ถึงแม้คนอื่นจะร้อนใจขนาดไหนก็ไม่กล้าแข็งข้อด้วย จึงทำได้แค่ยืนจนตรอกอยู่แบบนั้น
“หมิงฮุ่ย เจ้าทำอันใดกัน” ฮองเฮาเอ่ยเสียงขรึม
องค์หญิงหมิงฮุ่ยมองออกไปข้างนอก ครั้นเห็นว่าเป็นพวกฮองเฮานัยน์ตาก็ฉายแววหงุดหงิดและไม่พอใจพาดผ่านขึ้นมา เดินไปข้างหน้าแล้วกัดฟันกล่าว “ถวายบังคมเสด็จแม่ คารวะพี่หญิงเพคะ” ฮองเฮาขมวดคิ้วเอ่ยถาม “นี่เจ้ากำลังทำอันใดอยู่”
“ฮองเฮา! ฮองเฮาช่วยด้วยเพคะ…” องค์หญิงหมิงฮุ่ยยังไม่ทันตอบกลับ สาวใช้ทั้งสองที่นั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้าประตูก็พุ่งเข้ามาก้มลงต่อหน้าฮองเฮาพร้อมน้ำตานองหน้า “ฮองเฮา โปรดช่วยคุณหนูของพวกหม่อมฉันด้วยเพคะ คุณหนูของพวกหม่อมฉันใกล้จะ…”
“หุบปาก!” ฮองเฮาเอ่ยเสียงขรึม “วันนี้เป็นวันอะไร พวกเจ้าพูดจาเหลวไหลได้หรือ หมอหลวงยังไม่รีบเข้าไปดูอีก!” พอมีพระราชโองการจากฮองเฮา หมอหลวงทั้งสองก็กุลีกุจอรีบถือกล่องโอสถวิ่งพุ่งเข้าไปด้านใน พอเห็นเช่นนั้นองค์หญิงหมิงฮุ่ยก็กัดริมฝีปากอย่างไม่พอใจ แววตาที่จ้องสาวใช้ทั้งสองเขม็งจนแทบจะพ่นไฟออกมาได้อยู่แล้ว องค์หญิงหมิงเวยถอนหายใจเอ่ยเสียงทุ้มต่ำว่า “เสด็จแม่ มีเรื่องอันใดก็เข้าไปคุยกันข้างในเถิดเพคะ”
ฮองเฮาเลยทำได้แค่พยักหน้า องค์หญิงหมิงฮุ่ยเป็นพระธิดาคนโปรดของฮ่องเต้และไม่ใช่บุตรแท้ๆ ของนาง การสร้างปฏิสัมพันธ์ในยามปกติก็ไม่ง่ายเลย ต่อให้จะพูดหนักไปเบาไปก็ไม่ดีทั้งนั้น เพียงแต่ครั้งนี้องค์หญิงหมิงฮุ่ยก่อเรื่องเกินไป วันสำคัญเช่นนี้หากเกิดเรื่องความเป็นความตายขึ้นมา เรื่องนี้ใครก็หนีไม่พ้นทั้งสิ้น
พวกนางเดินเข้าไปในศาลารั่วหวา ด้านในหมอหลวงกำลังตรวจดูอาการให้เชียนหลิงอยู่ พวกฮองเฮาก็เข้าไปนั่งที่เรือนติดกันด้านข้าง ฮองเฮาพรูลมหายใจยาวแล้วมององค์หญิงหมิงฮุ่ยพร้อมเอ่ยถามว่า “เจ้าว่ามาเถิด ตกลงเกิดอะไรขึ้นกันหรือ”
องค์หญิงหมิงฮุ่ยขบริมฝีปากเบาๆ แล้วปิดปากไม่พูดอะไรอย่างดื้อรั้น ฮองเฮาเบนสายตาไปทางหย่งจยาจวิ้นจู่แทน “จวิ้นจู่?” ถึงแม้จะไปมาหาสู่กันได้ไม่นาน แต่ฮองเฮาก็พอเข้าใจแขกสองคนนี้อยู่บ้าง เทียบกับองค์หญิงไหวหยางแล้ว เห็นได้ชัดว่าฮองเฮาเชื่อถือหย่งจยาจวิ้นจู่ผู้ใบหน้างดงามตรงไปตรงมาผู้นี้มากกว่า
หย่งจยาจวิ้นจู่มุ่นคิ้วแล้วมององค์หญิงหมิงฮุ่ยอย่างไม่เห็นด้วยแวบหนึ่ง จากนั้นก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างละเอียดทั้งหมดให้ฟัง เดิมทีพวกนางกำลังชมดอกไม้อยู่ในสวน ไม่รู้ได้ยินใครพูดขึ้นว่าคุณชายเว่ยพาคู่หมั้นเข้าวัง องค์หญิงหมิงฮุ่ยก็โวยวายจะมาดูนางให้ได้ แต่ใครก็ดูออกว่าท่าทีของนางเหมือนคนแค่ขอมาดูเฉยๆ ที่ไหนกัน เห็นอยู่ทนโท่ว่าจะมาก่อเรื่องชัดๆ เหล่าองค์หญิงจวิ้นจู่คนอื่นๆ ที่มาเที่ยวเล่นกับพวกนางพอจะรู้อิทธิพลของคุณชายเว่ยอยู่บ้างเลยไม่อยากก่อเรื่องอะไร สุดท้ายจึงมีแค่องค์หญิงไหวหยางและหย่งจยาจวิ้นจู่มาเป็นเพื่อน หลังจากนั้นก็เป็นฉากที่องค์หญิงหมิงฮุ่ยมาขวางทางไม่ให้หมอหลวงเข้าไปเลยทำให้หย่งจยาจวิ้นจู่ทนดูไม่ได้ ถ้าไม่ติดเรื่องมารยาทนางคงหมุนตัวเดินออกไปนานแล้ว
ไม่ใช่ว่าหย่งจยาจวิ้นจู่ให้ความสำคัญกับชีวิตของเชียงหลิงแต่อย่างใด นางเพียงรู้สึกว่าการกระทำเช่นนี้ขององค์หญิงหมิงฮุ่ยไม่มีความหมายอะไรเลย หากเชียนหลิงตายขึ้นมาจริงๆ แล้วคุณชายเว่ยจะชอบสตรีคนหนึ่งที่ฆ่าคู่หมั้นของเขาตายหรือ อีกอย่างทำเรื่องแบบนี้ต่อหน้าคนมากมาย ถึงแม้นางจะเป็นพระธิดาของฮ่องเต้อาจจะไม่ต้องชดใช้ด้วยชีวิตแต่ฮ่องเต้ก็คงมิอาจเมินเฉยไม่ให้ความเป็นธรรมแก่เว่ยอู๋จี้กระมัง ไม่แน่องค์หญิงหมิงฮุ่ยอาจไม่ได้เป็นที่โปรดปรานอีก สำหรับองค์หญิงที่พระมารดาสิ้นพระชนม์ไปแล้วและไม่มีพี่น้องสักคน หากไร้ซึ่งความโปรดปรานจากฮ่องเต้ไป วันข้างหน้าจะใช้ชีวิตเช่นไร
ครั้นได้ฟังหย่งจยาจวิ้นจู่เล่าเช่นนั้น ถึงแม้องค์หญิงหมิงฮุ่ยจะไม่พอใจแต่ก็ไม่ได้ปริปากคัดค้านอะไร คิดแล้วหย่งจยาจวิ้นจู่คงไม่ได้ตอกสีตีไข่ รอกระทั่งหย่งจยาจวิ้นจู่พูดจบ ฮองเฮาถึงจ้ององค์หญิงหมิงฮุ่ยแน่นิ่งเอ่ย “เจ้าเอาใหญ่ขึ้นทุกวันแล้ว”
องค์หญิงหมิงฮุ่ยแค่นเสียงเบาแต่ก็ไม่ได้เปิดปากพูดอะไร
ฮองเฮาส่ายศีรษะแล้วถอนหายใจกล่าว “เอาเถิด ข้ารู้ว่าข้าพูดอะไรไปเจ้าก็คงไม่ฟัง แต่ครั้งนี้คงต้องกราบทูลฝ่าบาทแล้วดูว่าพระองค์จะจัดการเช่นใด” ใบหน้าสะสวยขององค์หญิงหมิงฮุ่ยปรากฏความผ่อนคลายและได้ใจขึ้นมา คิดดูแล้วหลายปีมานี้ฮ่องเต้ช่างโปรดปรานองค์หญิงผู้นี้มากจริงๆ ดังนั้นถึงได้เหลิงจนองค์ชายทุกคนต่างไม่ค่อยชอบนาง และเหตุนี้นางถึงก่อเรื่องในวังโดยไร้การยับยั้งชั่งใจจนผู้คนต่างหวาดกลัวไปหมด เพียงแต่ไม่รู้ว่าฮ่องเต้ทรงรักใคร่นางเช่นนี้เป็นเพราะรักนางจริงๆหรือทำร้ายนางกันแน่
“แต่นังจิ้งจอกที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้าเช่นนี้ มีอะไรดีกัน!” องค์หญิงหมิงฮุ่ยเอ่ยพึมพำเสียงต่ำ
“น้องหญิงห้า!” องค์หญิงหมิงเวยขมวดคิ้วกล่าว “ผู้มาเยือนถือเป็นแขก แม่นางเชียนหลิงเป็นคู่หมั้นของคุณชายเว่ยนะ!” สำหรับพฤติกรรมไม่คิดก่อนพูดเช่นนี้ของน้องหญิงห้า ชวนให้องค์หญิงหมิงเวยไม่ชอบใจสักนิด แต่องค์หญิงหมิงฮุ่ยกลับไม่คิดเช่นนั้น นางเป็นองค์หญิงคนโปรดของฮ่องเต้แคว้นหวาผู้สูงส่ง ในเมื่อแม้แต่เหล่าองค์ชายและพระชายายังต้องยอมนาง แล้วเหตุใดนางต้องกลัวหญิงที่อ่อนแอและไม่มีหัวนอนปลายเท้าคนหนึ่งด้วย
ตอนต่อไป