ผ่านไปสักพักเว่ยอู๋จี้ก็เดินออกมาด้วยฝีเท้าอันว่องไวแล้วใช้แววตาเรียบนิ่งกวาดมององค์หญิงหมิงฮุ่ยอย่างเย็นชา จากนั้นก็เดินมาเบื้องหน้าฮองเฮาเอ่ยด้วยท่าทีนอบน้อยเล็กน้อยว่า “ถวายบังคมฮองเฮาพ่ะย่ะค่ะ” เว่ยอู๋จี้ไม่ได้เป็นขุนนางของแคว้นหวา ต่อให้ไม่ก้มลงทำความเคารพก็ไม่ถือว่าเป็นความผิดใหญ่โตอะไร เวลานี้ฮองเฮาไม่มีกะจิตกะใจมาคิดเล็กคิดน้อยเรื่องพวกนี้ เพียงเอ่ยเสียงเรียบว่า “คุณชายเว่ยไม่ต้องพิธีรีตองนัก”
องค์หญิงหมิงเวยเอ่ยถามเสียงเบาว่า “คุณชายเว่ย ไม่รู้ว่าแม่นางเชียนหลิงเป็นเช่นไรบ้างแล้ว”
เว่ยอู๋จี้กล่าว “เชียนหลิงหลับไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ เรื่องวันนี้โปรดฮองเฮาและฝ่าบาททรงให้ความเป็นธรรมแก่กระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ฮองเฮาถอนหายใจอย่างจนใจ นางเดาออกว่าต้องเป็นเช่นนี้แต่แรกแล้ว ระยะเวลาหลายปีมานี้นางเจอเว่ยอู๋จี้อยู่หลายครั้ง เว่ยอู๋จี้ไม่ได้เป็นคนเย็นชา กระทั่งชวนให้คนรู้สึกว่าเขาอบอุ่นราวกับลมในฤดูใบไม้ผลิหากเต็มใจด้วยซ้ำ แต่ความจริงคนที่ทำกิจการใหญ่โตสำเร็จด้วยความสามารถของตนเองเช่นนี้ นิสัยโดยแท้ของเว่ยอู๋จี้ย่อมต้องเป็นคนที่แข็งแกร่งและเผด็จการมากคนหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัยอยู่แล้ว เขาจะยอมให้คู่หมั้นของตัวเองถูกรังแกในวังหลวงแคว้นหวาได้เช่นไร นี่ไม่ใช่แค่เรื่องที่หญิงสาวคนหนึ่งถูกรังแกเท่านั้น ในมุมมองของเว่ยอู๋จี้แล้วถือว่าราชวงศ์แคว้นหวากำลังท้าทายและรังแกเขาอยู่ ตัวเว่ยอู๋จี้เองและความมั่งคั่งเบื้องหลังของเขาอาจจะเทียบกับทั่วทั้งแคว้นหวาไม่ได้ แต่ถ้าบีบบังคับเขาล่ะก็ เขาอาจจะเอาเงินทองทั้งหมดและความสามารถของเขาเข้าพวกกับแคว้นศัตรู…ดังนั้นนี่จึงเป็นเหตุผลที่ราชวงศ์ทั้งสามแคว้นละโมบต่อความร่ำรวยมหาศาลเช่นนี้แต่ก็ต้องยอมปล่อยให้เว่ยอู๋จี้ท่องผจญนอกจากสามแคว้นนี้บ้าง…อย่างสำนวนที่ว่าอยากตีหนูแต่ก็กลัวตีของข้างกายเขาไปด้วย
“อันที่จริงเรื่องนี้หมิงฮุ่ยเอาแต่ใจเกินไป โปรดคุณชายเว่ยให้อภัยนางด้วย โชคดีที่แม่นางเชียนหลิงไม่เป็นอะไร ข้าเตรียมเอาเรื่องนี้ไปกราบทูลฝ่าบาท คิดว่าฝ่าบาทคงให้คำตอบอันน่าพอใจแก่คุณชายได้” ฮองเฮากล่าวด้วยท่าทีสงบ
เว่ยอู๋จี้ขบคิดอยู่พักหนึ่งแล้วพยักหน้าเอ่ยเสียงเรียบว่า “ดีพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะรอคำตอบของฝ่าบาท แต่ว่า…” แววตาเย็นชาดั่งมีดอันแหลมคมกวาดมองใบหน้าขององค์หญิงหมิงฮุ่ย “หากองค์หญิงหมิงฮุ่ยกล้าเข้าใกล้เชียนหลิงอีกก็อย่าโทษว่ากระหม่อมเสียมารยาทแล้วกัน”
เรื่องที่ทำให้หญิงสาวคนหนึ่งที่รักเขาสุดหัวใจเจ็บปวดที่สุดคงไม่พ้นหากชายที่ตนรักทั้งหัวใจกล่าวโทษตนเพื่อหญิงอื่นกระทั่งข่มขู่
องค์หญิงหมิงฮุ่ยถลึงตาจ้องเว่ยอู๋จี้อย่างไม่เต็มใจในทันทีแล้วเอ่ย “ตกลงข้ามีตรงไหนไม่ดีกันแน่ เหตุใดเจ้าต้องทำเช่นนี้กับข้าด้วย” เว่ยอู๋จี้มุ่นคิ้วเล็กน้อยตอบเสียงเรียบ “กระหม่อมกับองค์หญิงมิได้เป็นอะไรกัน และไม่ได้เกิดความรู้สึกใดๆ ต่อกันด้วย โปรดองค์หญิงอย่าพูดจาเหลวไหลไปทั่วจนคนอื่นเข้าใจผิดอีก เช่นนี้จะไม่ดีต่อชื่อเสียงขององค์หญิง และสำหรับกระหม่อม…ก็เป็นความลำบากใจเช่นกัน”
ในที่สุดองค์หญิงหมิงฮุ่ยก็กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ชี้ไปทางอู๋เว่ยจี้แล้วเอ่ย “เว่ยอู๋จี้ เจ้าใจร้ายนัก! ข้าปฏิบัติต่อเจ้าเช่นไร…แบบนี้…เจ้ายัง…” ในที่สุดเว่ยอู๋จี้ก็ทนไม่ไหวแค่นเสียงเย็นชากล่าว “องค์หญิงปฏิบัติและกระทำกับกระหม่อมเช่นไร องค์หญิงคิดว่าเหตุใดตอนนั้นฮ่องเต้แคว้นหวาถึงต้องจับคู่องค์หญิงกับกระหม่อมเล่า แล้วกระหม่อมเกลี้ยกล่อมให้ฮ่องเต้ทรงยกเลิกการอภิเษกได้เช่นไร”
องค์หญิงหมิงฮุ่ยชะงักไปซึ่งนางไม่รู้ว่าระหว่างนั้นเกิดเรื่องอื่นอะไรขึ้นบ้างอย่างเห็นได้ชัด นางเข้าใจมาตลอดว่าเสด็จพ่อทรงต้องตาเว่ยอู๋จี้และคิดว่าเขาเป็นตัวเลือกที่ดีหากจะเอาเป็นราชบุตรเขย ส่วนเว่ยอู๋จี้ปฏิเสธเรื่องการอภิเษกได้โดยที่ฮ่องเต้แคว้นหวาไม่ทรงกริ้วเช่นไรนางไม่เคยคิดมาก่อนเลยจริงๆ รอยยิ้มของเว่ยอู๋จี้ในเวลานี้แฝงความเย็นชามากขึ้นกว่าเดิม เขามององค์หญิงหมิงฮุ่ยอย่างเฉยชาแล้วยิ้มเอ่ย “เพราะ…ตอนนั้นฝ่าบาทต้องการเงิน เพื่อขอให้ฝ่าบาททรงยกเลิกงานอภิเษก กระหม่อมแค่เสนอจำนวนเงินตำลึงที่ฝ่าบาทต้องการมากกว่าสองเท่า ไม่เช่นนั้นองค์หญิงลองดู หากกระหม่อมลองเสนอเงินอีกล้านตำลึง ฝ่าบาทจะทรงให้องค์หญิงอภิเษกไปเป็นพระสนมหวงเฟยที่แคว้นเย่ว์หรือไม่ จะลองดูก็ได้พ่ะย่ะค่ะ”
ความน่ากลัวและเย็นชาของเว่ยอู๋จี้ในเวลานี้เก็บซุกซ่อนต่อหน้าองค์หญิงหมิงฮุ่ยไม่ได้อีกต่อไป อายุของฮ่องเต้แคว้นเย่ว์มากกว่าอายุของฮ่องเต้แคว้นหวาอยู่มากโข ปีนี้คงอายุได้หกสิบกว่าชันษาแล้ว อีกอย่างหากเทียบกับความขี้ระแวงของฮ่องเต้แคว้นหวาแล้ว หลายปีมานี้นิสัยของฮ่องเต้แคว้นเย่ว์เรียกได้ว่าขึ้นๆ ลงๆ และเย็นชาโมโหร้าย ในเมื่อเว่ยอู๋จี้คิดให้สตรีที่คลั่งไคล้เขาคนหนึ่งอภิเษกกับเฒ่าหัวงูได้ เรียกได้ว่าโหดเหี้ยมพอตัวทีเดียว หากองค์หญิงหมิงฮุ่ยยังคลั่งไคล้เขาไม่เปลี่ยนล่ะก็ เช่นนั้นก็คงไม่มียาใดรักษานางได้แล้ว
โชคดีที่องค์หญิงไม่ใช่แมงเม่าตัวนั้นที่จะบินเข้ากองไฟจริงๆ ก่อนหน้านี้เหตุที่นางเอาแต่ตามวอแวเว่ยอู๋จี้ นอกจากจะเพราะชอบเขาจากใจจริงและดื้อดึงเพราะยังไม่สมปรารถนาแล้ว ก็อาศัยความเป็นคนโปรดของฮ่องเต้ ไม่ว่านางจะทำอะไรคนธรรมดาอย่างเว่ยอู๋จี้ก็คงจัดการอะไรนางไม่ได้ แต่หลังจากรู้ความจริงว่าตนไม่มีเบี้ยมาต่อรองกับเว่ยอู๋จี้ องค์หญิงหมิงฮุ่ยก็ได้สติ เพียงแต่หญิงสาวที่โดนทำร้ายอย่างโหดร้ายเช่นนี้กลับไม่ยอมปล่อยวางง่ายๆ องค์หญิงหมิงฮุ่ยยกมือขึ้นมาปาดน้ำตาบนใบหน้าแรงๆ ครู่หนึ่งแล้วจ้องเว่ยอู๋จี้ตาเขม็งกล่าว “เว่ยอู๋จี้ ถือว่าข้าตาบอดไป เจ้ากอดหญิงขี้โรคนั่นตราบชั่วชีวิตจนวันตายไปเถิด! ข้าขออวยพรให้พวกเจ้า…ไม่พรากจากกัน อยู่ด้วยกันไม่ว่าจะยามเป็นหรือยามตายแล้วกัน!” พอพูดจบก็หมุนตัวเดินออกไปโดยไม่สนใจใครอีก
ไม่พรากจากกัน อยู่ด้วยกันไม่ว่าจะยามเป็นหรือยามตาย…ความจริงนี่เป็นคำแช่งมากกว่ากระมัง
พอเห็นสุขภาพของเชียนหลิงแล้วทุกคนต่างก็รู้สึกว่านางคงตายเร็ว เช่นนั้นนี่ไม่ใช่ว่าเป็นการแช่งให้เว่ยอู๋จี้ตายไวๆ หรอกหรือ
ครั้นเห็นว่าบรรยากาศพลันอึมครึ้ม ฮองเฮาจึงถอนหายใจกล่าวเสียงเรียบว่า “คุณชายเว่ย รอฝ่าบาทไปบูชาฟ้าดินกลับมาแล้ว ข้าจะทูลเรื่องนี้ให้ฝ่าบาททรงทราบ พระตำหนักเสียนเต๋อยังมีเรื่องอีกมาก ข้าคงต้องขอตัวก่อน” ไม่ว่าคำพูดที่เว่ยอู๋จี้พูดไปเมื่อครู่จะเป็นจริงหรือไม่ แต่ในเมื่อกล้าพูดต่อหน้าองค์หญิงไหวหยางและหย่งจยาจวิ้นจู่อย่างชัดแจ้งขนาดนี้ก็เหมือนเป็นการฉีกหน้าบ้านเมืองไม่น้อย ฮองเฮาเลยรู้สึกไม่พอพระทัยสักเท่าไร
ทว่าเหมือนเว่ยอู๋จี้จะไม่สังเกตเห็นความไม่ชอบใจของฮองเฮา เพียงพยักหน้ากล่าว “เชิญฮองเฮาตามสบายพ่ะย่ะค่ะ”
พอออกมาจากศาลารั่วหวาแล้ว ฮองเฮาก็ส่งยิ้มให้พวกองค์หญิงหมิงเวย “พวกเจ้าอยู่ในพระตำหนักอึดอัดแย่ ไม่ต้องกลับไปกับข้าหรอก องค์หญิงใหญ่ เจ้าพาองค์หญิงไหวหยางและหย่งจยาจวิ้นจู่ไปเดินเล่นเถิด” เดิมทีองค์หญิงหมิงฮุ่ยอยู่เป็นเพื่อนแขกมากที่สุด ถึงแม้ในเรื่องเว่ยอู๋จี้องค์หญิงหมิงฮุ่ยจะทำตัวไม่ได้เรื่องนักแต่เรื่องที่ฮ่องเต้รับสั่งกลับทำได้เป็นอย่างดี แต่ตอนนี้ดูท่าคงไม่เหมาะ ฮองเฮาเลยทำได้แค่ส่งตัวองค์หญิงหมิงเวยไปดูแลแขกแทน
เดิมทีองค์หญิงหมิงเวยเองก็นึกรำคาญพระตำหนักเสียนเต๋อเพราะคนมากจนตาลายพอดี จึงพยักหน้ารับ “เสด็จแม่โปรดวางพระทัย ลูกจะดูแลพวกนางทั้งสองอย่างดีเลยเพคะ”
องค์หญิงหมิงเวยจะทำอะไรก็ตาม ฮองเฮาก็ทรงวางพระทัยอยู่แล้ว นางพยักหน้าแล้วกลับพระตำหนักเสียนเต๋อไป ที่นั่นยังมีบรรดาเหล่าพระชายา ฮูหยินและคุณหนูอื่นๆ รอนางต้อนรับอยู่ เหมือนพวกนางจะลืมกันไปอย่างพร้อมเพรียงว่าในศาลารั่วหวายังมีแม่นางเชียนหลิงนอนอยู่อีกหนึ่งคน
สอนดอกไม้ในวังของแคว้นหวากินพื้นที่ของวังหลวงไปหนึ่งในหกของพื้นที่ทั้งหมดและสถานที่ที่ให้เดินชมก็มากมายเช่นกัน เพราะเพิ่งเกิดเรื่องเมื่อครู่พวกนางสี่คนจึงไม่มีอารมณ์ไปหาพวกองค์หญิงจวิ้นจู่คนอื่นๆ แล้ว องค์หญิงหมิงเวยพาพวกนางมาศาลาพักผ่อนชมทิวทัศน์มุมหนึ่งของสวนดอกไม้ ศาลาชมทิวทัศน์แห่งนี้สร้างอยู่บนภูเขาปลอม แค่นั่งในศาลาก็แทบเห็นทิวทัศน์สวนดอกไม้ด้านล่างจากด้านบนได้เกือบทั้งหมด แม้แต่เหล่าสาวน้อยที่กำลังเล่นอย่างสนุกสนานอยู่อีกฝั่งของสวนดอกไม้ที่ไกลออกไป พวกนางก็ยังมองเห็นได้อย่างชัดเจน
ตอนต่อไป